The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.319 วัฏจักรชีวิต
EP.319 วัฏจักรชีวิต
“องค์หญิงทรงประกาศให้ประชาชนทุกคนเข้าเมืองทันที และประตูเมืองจะปิดหลังพระอาทิตย์ตก หากปราศจากคำสั่งของพระองค์ ประตูเมืองจะไม่มีวันเปิดจนกว่าวิกฤตการณ์จะคลี่คลาย”
จางเหว่ยถือดาบยาวยืนบนกำแพงเมืองและตะโกนเสียงดัง
หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยืนด้านข้างทำอะไรไม่ถูก
“ในฐานะแม่ทัพใหญ่ ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่สามารถป้องกันไว้ได้” เฟิงจี้สิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกล่าว “ศัตรูแข็งแกร่ง และเราอ่อนแอ ไม่มีทางเลยที่จะชนะ ไม่รู้ว่าเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์จะส่งกองทหารให้เมื่อใด ตราบใดที่มีกำลังเสริม เราควรจู่โจมจากสองทางทั้งด้านในและด้านนอก และจะสามารถเอาชนะพวกที่เรียกว่าทหารอาสาเหล่านี้ได้”
เฟิงจี้สิงมองไปยังหลินมู่อวี่และถามว่า “อาอวี่ เจ้าต้องการเรียกกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเข้ามายังเมืองหลันเยี่ยนหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น”
หลินมู่อวี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าส่งคนไปยังกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพื่อรายงานให้พวกเขาป้องกันตัวเช่นเดียวกับพวกเรา ภูเขาหลงหยานโจมตีได้ยาก แม้แต่กองทหารนับล้านก็ไม่สามารถโจมตีได้ในเวลาอันสั้น กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดบนภูเขาหลงหยานสามารถใช้อาวุธซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ศัตรู และหากจำเป็น กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดก็สามารถเข้าร่วมโจมตีกับเราได้ทุกเมื่อ”
เฟิงจี้สิงปรบมือและหัวเราะเบาๆ “ดี! ข้าเคยเห็นกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของอาอวี่ ซึ่งมีพลังต่อสู้น่าเกรงขามและมีอาวุธยอดเยี่ยมที่สุดในจักรวรรดิ พูดตามตรงหากทหารอาสาเข้าปิดล้อมเมืองด้วยกองกำลังน้อยกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย พวกเราสามารถเปิดประตูเมืองออกไปต่อสู้ได้ และมีโอกาสชนะกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์”
“แล้วหากเกินสองแสนนายล่ะ” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถามด้วยรอยยิ้ม
ความมั่นใจของเฟิงจี้สิงลดลง “หากเป็นเช่นนั้นคงทำได้เพียงยึดที่มั่นไว้ ความแตกต่างของทหารมีมากเกินไป การออกจากเมืองเท่ากับการฆ่าตัวตายเท่านั้น แทบไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตเทวะที่แข็งแกร่ง รวมทั้งขอบเขตปราชญ์อีกเกือบสิบคน”
หลินมู่อวี่ยื่นมือออกไปเช็ดฝุ่นบนเชิงเทียนที่เป็นน้ำแข็ง และอดไม่ได้ที่จะหนาวสั่นในใจ “ข้าไม่รู้ว่าสถานการณ์ขององค์จักรพรรดิที่ทะเลสาบภูตเป็นอย่างไร ข้าไม่ได้ข่าวใดๆ เลย ข้าสั่งผู้ส่งสารออกไปหลายคน เหตุใดจึงไม่มีส่งกลับมาแม้แต่ฉบับเดียว?”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “ข้าหวังว่าองค์จักรพรรดิจะสามารถเปลี่ยนความโชคร้ายให้กลายเป็นดีได้”
ทว่าการเปลี่ยนความชั่วร้ายให้กลายเป็นดีนั้น…หากเป็นความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร…
…
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขี่ม้าผ่านถนนทงเทียนอันมืดมิดในกลางดึก ไม่นานก็มาหยุดที่หน้าจวนเสินโหว เมื่อลงจากหลังม้า เขาก็ยืนมองประเหล็กอย่างเงียบงันด้วยความลังเล จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไป
“นั่นใคร?”
เสียงทหารรักษาการณ์ดังขึ้นจากด้านใน
“ผู้บัญชาการทหารค่ายเขาเหินฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน มาเพื่อพบคุณหนูเจิ้งเซียง”
ทหารรักษาการณ์พูดอย่างเย้ยหยัน “ฮ่า ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่พวกเรารู้จักดี มิใช่ว่าท่านเคยพูดว่าจะไม่เจอคุณหนูอีกต่อไปหรือ?”
“ทว่าข้ามิได้ขอพบหน้า เพียงต้องการสนทนาผ่านประตูเท่านั้น”
“ฮึ่ม! รอสักครู่!”
“ขอบคุณ”
ไม่นานเสียงอ่อนโยนของเจิ้งเซียงก็ดังลอดมาจากอีกฝั่งของประตูเหล็ก “ท่านฉู่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมาหาดึกดื่นเช่นนี้”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนประสานหมัด “คุณหนู มณฑลชางหนานและมณฑลดาราถูกตีพ่ายตามลำดับ เมืองหลันเยี่ยนถูกตัดขาดแล้ว คุณหนูเจิ้งเซียงเป็นบุตรีของเสินโหว ส่วนจื่อเย่าและหลินอี้เป็นอดีตทหารของเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ทำให้คุณหนูต้องอับอาย ข้าขอให้คุณหนูเจิ้งเซียงออกจากเมืองทันที เพื่อกลับไปยังมณฑลเทียนชู่และอยู่กับเสินโหวอย่างสงบสุข”
เจิ้งเซียงยิ้ม “ท่านฉู่ เจิ้งเซียงมีความคิดเป็นของตนเอง ขอบคุณท่านที่เป็นกังวล ข้าจะตัดสินใจเองว่าจะอยู่หรือไป”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกัดฟันแน่น “เซียงเซียง เจ้าต้องออกไปทันที กองกำลังหลิงหนานจะเข้าล้อมเมื่อใดก็ได้ หากไม่ไปเสียตอนนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่มีโอกาสอีก”
“ฮว๋ายเหมี่ยน…” เจิ้งเซียงเรียกชื่อเขาแผ่วเบา “มิใช่ว่าท่านเคยพูดว่าจะติดตามเซียงเซียงไปตลอดหรือ? หากเซียงเซียงไป เราอาจไม่ได้พบกันอีก เช่นนั้นข้าจะไม่ไปไหน หากท่านตายในสนามรบ ข้าก็ยินดีตายพร้อมท่าน”
ร่างกายของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนสั่นสะท้านและดวงตาแดงก่ำ “เซียงเซียงเจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
ไม่มีเสียงตอบกลับจากด้านในประตู…
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยืนนิ่งอยู่ด้านนอกกว่าหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะควบม้าออกไป
…
เช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพองครักษ์สามหมื่นนายและกองทัพเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนายก็เข้ามายังเมืองหลันเยี่ยน และประจำการที่ประตูทุกทิศ ซึ่งทำให้เมืองหลันเยี่ยนคับคั่งมากขึ้น ผู้คนต่างปิดประตูใช้ชีวิตความหวาดกลัว ไม่รู้เลยว่าสิ่งใดจะมาเยือนพวกเขาก่อน…จะเป็นความตายหรือการเกิดใหม่กันแน่
ในเวลาเช้าตรู่มีหมอกหนาปกคลุมเมืองหลันเยี่ยน
หยดน้ำค้างไหลจากชุดเกราะของหลินมู่อวี่ที่เฝ้ากำแพงประตูทิศเหนือของเมืองหลันเยี่ยน เขาไม่ได้นอนทั้งคืน จึงทำให้มีสีหน้าเหนื่อยล้า
“อาอวี่ ไปนอนพักสักครู่เถิด” เฟิงจี้สิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เห็นหรือไม่ว่าหน้าเจ้าซีดเซียวเพียงใด หากปล่อยให้องค์หญิงอินเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพระองค์จะทรงเป็นทุกข์ในพระทัยมากเพียงใด”
หลินมู่อวี่ยิ้มและส่ายหัว “ข้านอนไม่หลับ…พี่เฟิงสามารถหลับได้หรือ?”
“ไม่…” เฟิงจี้สิงยิ้มอย่างทุกข์ใจ “นี่อาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเรา”
“ข้ายังไม่ได้รับสารจากองค์จักรพรรดิที่ทะเลสาบภูตเลย”
“ข้าเองก็ไม่…ไม่มีเลย”
“เฮ้อ…” หลินมู่อวี่ถอนหายใจและชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมาเช็ดน้ำค้างบนใบมีด “พี่เฟิงกลัวหรือไม่?”
“กลัวเหรอ?”
เฟิงจี้สิงยิ้ม “มีอะไรต้องกลัว? ข้าเป็นทหารแห่งจักรวรรดิ นี่จะเป็นเกียรติที่ได้ตายเพื่อจักรวรรดิ และ…วีรบุรุษมักเกิดในช่วงวิกฤติเสมอ อาอวี่ไม่คิดเช่นนั้นหรือ? ว่านี่คือโอกาสของเรา…”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น” หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ข้ากลัว…ข้ากลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่างที่ข้าห่วงใย ข้ากลัวจะสูญเสียเสี่ยวอิน เสี่ยวซี และพวกเจ้าทุกคน หากข้าเลือกได้ ข้าไม่ขอเลือกการนองเลือดเพื่อศักดิ์ศรีเช่นนี้”
“บางทีเจ้าอาจพูดถูก”
เฟิงจี้สิงนั่งลงข้างหลินมู่อวี่และหยิบสุราออกมาดื่ม เขากลืนเข้าไปอึกใหญ่และหัวเราะ “ทว่านี่คือโชคชะตา ยิ่งวิ่งหนีจากสงครามเหล่านี้มากเพียงใด เจ้าจะยิ่งไม่สามารถหนีจากมันไปได้ อาอวี่ เจ้าเกลียดการเข่นฆ่า ทว่าเจ้าจำเป็นต้องเผชิญกับทุกสิ่งตรงหน้า การต่อสู้ครานี้ มือของเจ้าจะเต็มไปด้วยเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…รอดูเถิด”
ขณะเดียวกัน ‘พรึ่บ’ มีเสียงดังขึ้นในอากาศ นกส่งสารตัวหนึ่งบินร่อนลงมาเกาะที่ไหล่เฟิงจี้สิงอย่างรวดเร็ว เขารีบหยิบม้วนจดหมายออกมาและกวาดตาอ่าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เร็วอะไรเช่นนี้…ทหารม้าหนักของกองทัพอาสาอยู่ห่างจากเมืองหลันเยี่ยนไม่ถึงสามร้อยไมล์ และจะมาถึงด้านใต้ของเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดินวันนี้!”
“แม่งเอ๊ย…”
หลินมู่อวี่เก็บกระบี่เข้าฝักและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พวกมันต้องการทำลายเมืองหลันเยี่ยนให้สิ้นซาก”
เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “จางเหว่ยรับคำสั่ง ให้ทั้งเมืองตื่นตัวและเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย อีกทั้งกองทัพเทียนชงจากเมืองหน้าด่านชีไห่กำลังจะกลับมาแล้ว”
จางเหว่ยพยักหน้า “อาจราวหนึ่งชั่วโมงขอรับ”
“อืม ดีมาก!”
…
ไม่นานเสียงเกือกม้าก็ดังก้องภายใต้สายหมอก นายพลระดับผู้บัญชาการมาถึงเมืองพร้อมดาบยาวในมือ เขาคือแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิ…ตู้ไห่ ด้านหลังมีทหารราบถือโล่เคลื่อนทัพมาอย่างหนาแน่น พวกเขาทั้งหมดคือกองทัพเทียนฉง อีกทั้งยังลำเลียงเมล็ดพืชและหญ้ามาอีกมากมาย
“เปิดประตู” ตู้ไห่กล่าวเสียงดัง
เฟิงจี้สิงยืนอยู่บนกำแพงเมืองกล่าวเสียงดัง “แม่ทัพตู้ไห่นำทหารกลับมาทั้งหมดกี่นายขอรับ?”
ตู้ไห่เงยหน้ามองและยิ้ม “เป็นท่านแม่ทัพเฟิงจี้สิงเองหรือ กองทัพเทียนฉงมิได้แกร่งกล้าเช่นเดิมแล้ว เนื่องจากสงครามในเมืองหน้าด่านอสูร เราเสียทหารไปเกือบหมื่นนาย และพระองค์ทรงนำไปด้วยห้าหมื่นนาย จึงมีทหารราบและพลธนูเหลือเพียงสามหมื่นนายเท่านั้น”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “อืม สามหมื่นนายก็เพียงพอ ทหารเขาเหินเฝ้าประตูทิศใต้ กองทัพจักรวรรดิเฝ้าประตูทางเหนือและตะวันออก ส่วนกองทัพเทียนฉงเฝ้าประตูทิศตะวันตก ท่านแม่ทัพคิดว่าอย่างไร?”
“ขอบคุณ ข้าจะพาพี่น้องไปยังประตูทิศตะวันตก”
“ขอรับ”
ตู้ไห่เป็นคนจิตใจดี แม้ว่าตำแหน่งทางทหารจะสูงกว่าเฟิงจี้สิง ทว่าเขาก็รับฟังคำสั่งของเฟิงจี้สิงอย่างดี ตู้ไห่เป็นแม่ทัพที่ยอดเยี่ยมมาก ขณะที่กองทัพทหารอาสากำลังเคลื่อนทัพมาอย่างดุเดือด ภายในจักรวรรดิก็มีนายพลมากมายที่ลาออกและยอมจำนน ดังนั้นการที่ตู้ไห่กลับมายังเมืองหลันเยี่ยนเพื่อช่วยป้องกันครานี้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความภักดีของเขา
เมื่อกองทัพเทียนฉงเข้ามาในเมืองทีละคน หลินมู่อวี่ก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยถาม “เว่ยโฉว สถานการณ์ในค่ายรังอินทรีเป็นอย่างไร?”
เว่ยโฉวประสานหมัดและกล่าวว่า “พี่น้องทั้งเจ็ดร้อยยี่สิบสี่คนอยู่ที่กำแพงด้านทิศเหนือ สามารถสั่งการและส่งไปรบได้ทุกเมื่อขอรับ”
“ดีมาก ให้พลธนูทุกคนเตรียมพร้อม เมื่อใดที่ทหารอาสาเข้ามาในระยะ จงยิงได้เลย”
“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ”
…
เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน เริ่มมีแสงแดดสาดส่องลงมา เสียงฝีเท้าของกองทัพหลิงหนานเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น
มีนกส่งสารจำนวนมากบินอยู่ในอากาศ ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทำให้ผู้คนหวาดกลัวและสั่นสะท้าน
หลินอี้นำกองทัพหนึ่งแสนนายออกจากมณฑลดาราและเข้าสู่มณฑลหลิงเป่ย พวกเขากำลังจะมาถึงอีกไม่นาน
ด้านทิศมณฑลชางหนาน แม่ทัพพันธมิตรกองทหารอาสาจื่อเย่าเคลื่อนทัพทหารสองแสนห้าหมื่นนายเข้ามา หลงเซียนหลินเป็นกองหน้าพิชิตเมืองเล็กสิบเจ็ดเมืองระหว่างเมืองหลันเยี่ยนและเมืองห้าหุบเขาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะมาถึงในอีกสามชั่วโมง
ใกล้เทือกเขาฉินพบทหารหลิงหนานกำลังเคลื่อนทัพเข้ามายังมณฑลหลิงเป่ยอีกครั้ง
ยังไม่มีข่าวสารจากทิศของทะเลสาบภูต
สี่แม่ทัพหลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และตู้ไห่ รับผิดชอบป้องกันประตูเมืองหลันเยี่ยน ฉินเหลยนำกองทัพไพรสัณฑ์ป้องกันตำหนักเจ๋อเทียน ขณะที่แม่ทัพหลิงหนานเทียนจากจวนเจิ้นกั๋วดูแลความเรียบร้อยในเมืองหลันเยี่ยน สงครามกำลังเริ่มขึ้นแล้ว…
…
ขณะเดียวกัน ณ ทะเลสาบภูตในมณฑลเทียนชู
ทะเลสาบถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด มีศพลอยอยู่ในทะเลสาบจำนวนนับไม่ถ้วน ศพส่วนใหญ่เริ่มเน่าเปื่อยและบวมอืด พวกเขาถูกปลาเข้ามากัดกินจนร่างกายแหว่ง ขณะที่ธงของกองทัพเทียนฉงและกองทัพหลงฉวนลอยอยู่เหนือน้ำไหลห่างไปหลายร้อยไมล์ ขณะนี้ทั่วทั้งทะเลสาบภูตเงียบสงัด
ในโคลนตมของทะเลสาบมีรอยเท้าย่ำอย่างอลหม่าน ชายผู้หนึ่งจมอยู่ในโคลนน้ำตื้นและมีวัชพืชพันคอจนบวมอืด เมื่อเข้าไปใกล้ผืนน้ำจะเห็นว่าดวงตาทั้งสองเบิกโพลงอย่างไม่เต็มใจและเต็มไปด้วยความโกรธ ฝ่ามือเกร็งคล้ายกับอุ้งเท้าสัตว์พร้อมเล็บที่ฉีกขาด เขาตายในระหว่างการต่อสู้ กระนั้นก็ไม่สามารถบรรลุความต้องการได้ และจมน้ำตายในที่สุด
ไม่ว่าก่อนหน้าเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติเช่นไร ทว่าก็ไม่สามารถรอดพ้นจากวัฏจักรชีวิตของโลกนี้ไปได้
หลังจากความตาย ก็เป็นได้เพียงซากศพที่เย็นชืดเท่านั้น…