The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.323 ถูกล้อมบนภูเขาเทียนชู่
EP.323 ถูกล้อมบนภูเขาเทียนชู่
‘ตุบ!’
วัตถุแข็งตกลงบนใบหน้าหลินมู่อวี่ เขาคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว มันคือขนมปังแห้งแข็ง เมื่อมองไปยังคนที่โยนมาก็พบว่าเป็นเด็กอายุราวสิบปีโดยมีปู่ยืนอยู่ด้านข้าง เขากล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว “ทะ…ท่านแม่ทัพ…เด็กนี่โง่เขลา อย่าตำหนิเขาเลย…”
หลินมู่อวี่มองเขาอย่างเฉยเมยก่อนจะหันไปสบตากับเด็กคนนั้น “เหตุใดเจ้าจึงโยนขนมปังใส่ข้า?”
ดวงตาเด็กน้อยเต็มไปด้วยความเกลียดชังไม่สมกับอายุ “เจ้าสุนัขรับใช้จักรวรรดิ เหตุใดจึงไม่ให้ทหารจักรวรรดิอี้เหอเข้ามาในเมืองหลันเยี่ยน?! ตราบใดที่พวกเขาเข้ามา คุณปู่ก็จะได้ทำไร่นา และครอบครัวก็จะได้มีขนมปังอุ่นๆ กินทุกวัน!”
หลินมู่อวี่ยิ้มและขี่ม้าเข้ามาด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้าแน่ใจว่าเมื่อคนของจักรวรรดิอี้เหอเข้ามา พวกเขาจะแบ่งปันสิ่งของให้แก่เจ้าแทนที่จะนำสิ่งที่เจ้ามีไปหรือ?”
เด็กคนนั้นส่ายหัว “กองทัพจักรวรรดิอี้เหอเป็นคนดี!”
เว่ยโฉวด้านข้างเคลื่อนตัวเข้ามาพร้อมดาบและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพ ตราบใดที่ท่านออกคำสั่ง ข้าน้อยจะสังหารสัตว์ร้ายตัวน้อยผู้โง่เขลานี้ด้วยความผิดฐานโจมตีทหารแห่งจักรวรรดิ”
ปู่ของเด็กคนนี้พลันคุกเข่าอย่างรวดเร็วและร้องขอความเมตตา “ได้โปรดเถิด เขายังเป็นเด็ก ได้โปรดอย่าฆ่าเขาเลยขอรับ”
หลินมู่อวี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “ช่างเถิด แล้วไปกันได้แล้ว ให้ทุกคนได้พักผ่อน”
“ขอรับ!” เว่ยโฉวพยักหน้า
ทว่าขณะเดียวกัน ‘ตุบ!’ ก้อนอิฐเย็นกระแทกใบหน้าเซี้ยโหวซางจนมีเลือดออกจมูก เซี้ยโฮวซางได้รับบาดเจ็บปางตายอยู่ก่อนแล้ว เขาหันไปมองหน้าผู้ที่โยนอิฐนี้มาก็พบว่าเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบปี ชายผู้นั้นชักดาบยาวพร้อมตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้สารเลว ไปตายซะ!”
ชายหนุ่มหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในตรอก
เซี้ยโหวซางต้องการไล่ตามไป ทว่าหลินมู่อวี่รีบพูดว่า “เซี้ยโหวกลับมา อย่าไล่ตาม อย่าทำให้ยุ่งยากไปมากกว่านี้เลย”
ใบหน้าเซี้ยโหวซางตกตะลึง ดวงตาของเขาแดงก่ำและมือที่ถือดาบสั่นเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพ เซี้ยโหวซางภักดีต่อจักรวรรดิมาตลอดชีวิต มิใช่ว่าเราต่อสู้เพื่อจักรวรรดิและเพื่อปกป้องชาวบ้านในเมืองหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติต่อเราเช่นนี้…ทั้งๆ ที่เซี้ยโหวไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดมาก่อนในชีวิต…”
หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าและข้าต่างก็เป็นทหารของจักรวรรดิ นี่คือสิ่งที่เราต้องแบกรับ ปล่อยมันไปเถิด แล้วกลับค่ายของเรา”
“ขอรับ!”
…
ทันทีที่หลินมู่อวี่เข้าไปในค่ายรังอินทรี ทหารค่ายเขาเหินก็วิ่งเขามาอย่างรวดเร็วพร้อมหัวเราะอย่างร่าเริง “แม่ทัพหลินสำเร็จแล้ว! มันสำเร็จแล้ว!”
“อะไรสำเร็จ?”
“แผนการของพวกเราสำเร็จแล้ว! ทิศที่ตั้งเมืองฉิวเฟิ่งกำลังลุกเป็นไฟ!”
“โอ้?”
หลินมู่อวี่รีบวิ่งไปยังกำแพงทางตอนเหนือ เมื่อก้าวขึ้นไปบนกำแพงก็เห็นริ้วไฟลุกโชนที่ขอบฟ้าทิศตะวันออก แน่นอนว่านั่นคือเมืองฉิวเฟิ่งที่ทหารอาสาใช้กักตุนอาหารและหญ้า ดูเหมือนว่ากลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะทำสำเร็จ!
เสียงกระพือปีกดังขึ้นพร้อมนกส่งสารร่อนลงอย่างเชื่องช้า หลินมู่อวี่คว้าม้วนกระดาษและเปิดดูซึ่งมาจากหลัวอวี่ ‘ท่านผู้บัญชาการ ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ ค่ายกักเก็บอาหารและหญ้าในเมืองฉิวเฟิ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน ทหารอาสาส่งกองทหารคุ้มกันสี่หมื่นคน ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดสูญเสียไปห้าพันคนและมีผู้บาดเจ็บอีกมาก ข้าน้อยขออภัยขอรับ’
หลินมู่อวี่โล่งอกและดีใจอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไป ‘ทำดีมาก ปกป้องภูเขาหลงหยานต่อไป และรอคำสั่ง’
เมื่อหลินมู่อวี่หันกลับไปก็พบกลุ่มคนเดินกำลังเดินเข้ามา พวกเขาคือเฟิงจี้สิง จางเหว่ย หลัวเลี่ย และทหารคนอื่นๆ จากกองทัพองครักษ์ เฟิงจี้สิงเงยหน้าขึ้นและเห็นหลินมู่อวี่ในเมืองก็ตะโกนเสียงดัง “อาอวี่เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าได้ยินว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ”
“แผลเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก พี่เฟิงสถานการณ์ของกองทัพองครักษ์เป็นอย่างไร?”
“ทหารสามพันนายได้รับบาดเจ็บ และกองกำลังหลักของศัตรูมิได้อยู่ที่ประตูทิศตะวันออก”
“โอ้ เป็นเช่นนั้นเอง”
เฟิงจี้สิงมองไปยังขอบฟ้าทิศตะวันออก “เนื่องจากยุ้งฉางกักเก็บอาหารและหญ้าของทหารอาสาถูกเผา พวกมันจะต้องล่าถอยอย่างแน่นอน พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว รีบไปให้คำตอบแก่ทุกคนในตำหนักเจ๋อเทียนกันเถิด”
“อือ”
มันสายเกินกว่าที่จะเปลี่ยนชุด หลินมู่อวี่พาเว่ยโฉวและเซี้ยโหวซางไปยังตำหนักเจ๋อเทียน ขณะที่สภาพเฟิงจี้สิงนั้นไม่แตกต่างจากหลินมู่อวี่และทุกคน เสื้อคลุมถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด แม้แต่ชุดจักรวรรดิสีน้ำเงินเข้มด้านในชุดเกราะก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
…
ด้านในโถงตำหนักเจ๋อเทียน เหล่าสาวใช้จุดตะเกียงขึ้นทีละดวง ขณะที่เหล่าข้าราชบริพารรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นเฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเดินเข้ามาในโถง
เหล่าข้าราชบริพารต่างส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง ผู้บัญชาการฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และผู้บัญชาการหลินมู่อวี่กลับมาแล้ว!”
ฉินอินกำลังนอนหลับโดยใช้มือวางเท้าแก้มชมพู นางลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปและพบกับหลินมู่อวี่ “พี่อาอวี่ สำเร็จหรือไม่เจ้าคะ?”
“อื้ม”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าได้รับม้วนหนังสือจากนกส่งสารของกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดว่า เสบียงของทหารอาสาถูกเผาไหม้เป็นจุณ”
“ดีเจ้าค่ะ!”
ฉินอินมีความสุขมาก ทว่าเมื่อสายตาเลื่อนลงมาเห็นร่างกายของหลินมู่อวี่ก็รู้สึกเป็นทุกข์ทันที “พะ…พี่ได้รับบาดเจ็บ?”
“ไม่เป็นไร บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บ”
หลินมู่อวี่ยิ้ม ฉินอินเป็นผู้ปกครองเมืองหลันเยี่ยนและองค์หญิงผู้เป็นดั่งที่พึ่งของทุกคนขณะนี้ ฉินอินเป็นของทุกคน มิใช่ของเขาคนเดียว หลินมู่อวี่รู้ดีว่าฉินอินรักเขาอย่างลึกซึ้ง ทว่าเวลานี้ไม่เหมาะสมนัก มิเช่นนั้นอาจทำให้ประชาชนสูญเสียความภักดีในจิตใจ
ฉินอินตระหนักถึงการกระทำของหลินมู่อวี่ จึงยิ้มอย่างเขินอาย “อื้ม ข้ารู้”
จากนั้นฉินอินหันกลับแล้วเดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์และกล่าวว่า “ทุกคนต่างทำงานอย่างหนักเพื่อทำลายแหล่งเสบียงของฉินอี้ ท่านเฟิงจี้สิงประสบความสำเร็จเป็นคนแรก จากนั้นเป็นท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและพี่อาอวี่ ข้าจะมีรางวัลตอบแทนให้อย่างแน่นอน! จริงสิ มีข่าวจากเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์หรือไม่?”
ตู้ไห่กัดฟันและกล่าวว่า “มีข่าวจากเมืองหยาดสายัณห์พ่ะย่ะค่ะ หยุนกงเขียนกลับมาแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้มีหิมะตกหนักอีกครั้งหลังฤดูใบไม้ผลิในมณฑลอวิ้นจง และตกต่อเนื่องกว่าห้าวันแล้วจนปิดกั้นถนนสายเก่า แม้หยุนกงจะรวบรวมกองกำลังได้กว่าสองแสนนาย ทว่าก็ไม่สามารถเคลื่อนทัพมาสนับสนุนได้ กระนั้นองค์หญิงโปรดวางพระทัย เมื่อใดที่พวกเขากำจัดหิมะออกจากถนนได้ ก็จะเดินทางมาเป็นกำลังเสริมเราพ่ะย่ะค่ะ”
“หิมะตกหนักต่อเนื่องห้าวันอาจเป็นสาเหตุให้กองทัพทั้งสองแสนคนเคลื่อนทัพล่าช้าลง”
ใบหน้าเฟิงจี้สิงบิดเบี้ยวและกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้ออ้าง! มันเป็นเพียงข้ออ้าง ซูมู่หยุนเพียงต้องการแก้ตัว คงรอจนกว่าเมืองหลันเยี่ยนแตกพ่ายก่อนหิมะจึงจะละลายใช่หรือไม่?!”
“ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงโปรดระวังคำพูดด้วย!” ชางชู่หลิงและหลัวซิ่งกล่าวอย่างเย้ยหยัน “หยุนกงเป็นพระอัยยิกาขององค์หญิงอิน เขาคงไม่ทนดูเมืองหลันเยี่ยนล่มสลาย เรื่องง่ายๆ เช่นนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ?”
เฟิงจี้สิงยิ้ม “ข้ารู้เพียงกลยุทธ์ทางทหาร ทว่าไม่รู้ความซับซ้อนของผู้คน คงต้องขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์หลัวซิ่งแล้วขอรับ”
หลัวซิ่งพ่นลมออกจากจมูกอย่างเย็นชาและไม่พูดสิ่งใดอีก
ฉินอินเอ่ยถามต่อ “มีข่าวจากเมืองชีไห่หรือไม่? นี่ผ่านไปกี่วันแล้ว เสี่ยวซีควรจะถึงเมืองชีไห่แล้วใช่ไหม? เหตุใด…ยังไม่มีข่าวคราวเลย”
ตู้ไห่ประสานมือและกล่าวว่า “องค์หญิงอิน เนื่องจากอวี่เหวินเซี่ยประเมินศัตรูต่ำเกินไป ทำให้กองทัพเมืองชีไห่สูญเสียทหารกว่าหกหมื่นนายในสงคราม ณ เมืองอสูร และมีทหารบาดเจ็บสาหัสมากมาย บางทีอาจเป็นเหตุให้หลานกงไม่พอใจและไม่ต้องการส่งกองกำลังมา? กระหม่อมคิดว่าองค์หญิงอินควรเขียนสาส์นใหม่อีกครั้งเพื่อชี้แจงสถานการณ์วิกฤตของเมืองหลันเยี่ยนในปัจจุบัน กระหม่อมเชื่อว่าหลานกงจะส่งกองกำลังมาอย่างแน่นอน”
ฉินอินพยักหน้า “อืม นั่นเป็นความคิดที่ดี”
ขณะเดียวกันนายพลวัยกลางคนรีบเข้ามาในห้องโถงและประสานหมัดรายงาน “องค์หญิงอินสถานการณ์ไม่ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกิดหลุมขนาดใหญ่ทำลายกำแพงทางทิศตะวันออก และกองทัพจักรวรรดิอี้เหอบุกเข้ามาโจมตีพร้อมสังหารผู้คนด้านใน!”
“อะไรนะ!?”
ฉินอินลุกขึ้นยืนและถาม “ถูกฆ่ากี่คนแล้ว?”
“ประมาณสองพันคน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ ทว่าทหารกองทัพองครักษณ์พยายามสกัดพวกมันไว้”
“อืม…”
ฉินอินโบกมือและกล่าวว่า “ส่งกองกำลังเสริมออกไป และให้แน่ใจว่าขับไล่ทหารอาสาออกจากเมืองหลันเยี่ยนทั้งหมด จากนั้นซ่อมกำแพงเมืองให้เสร็จภายในหนึ่งวัน มิเช่นนั้นห้ามกลับมา”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!” ทหารนายนั้นออกจากโถงด้วยใบหน้าซีดเซียว
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนประสานหมัด “องค์หญิงอิน กระหม่อมจะนำทหารค่ายเขาเหินออกไปสกัดทหารอาสาที่เข้ามาในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
“คงต้องลำบากท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ไปเถิด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิงจี้สิงมองตามหลังฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก่อนจะหันมองฉินอินและกล่าวว่า “องค์หญิงอิน เครื่องยิงหินของจักรวรรดิอี้เหอทรงพลังมาก กำแพงเมืองหลันเยี่ยนทั้งสี่ด้านได้รับความเสียหายรุนแรง กระหม่อมเกรงว่าจะไม่สามารถทนได้นาน”
“ข้ารู้…ข้ารู้…”
ฉินอินมองออกไปไกลด้วยความรู้สึกว่างเปล่าและพึมพำ “ไม่มีข่าวคราวจากเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์ เราทำได้เพียงสิ่งที่เราสามารถทำได้และยอมรับชะตากรรม เมืองหลันเยี่ยนอาจยืนหยัดได้อีกระยะหนึ่ง!”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”
ขณะเดียวกัน จู่ๆ นายพลเลือดท่วมกายก็คลานเข้ามา เมื่อมาถึงโถงก็มีน้ำตาเอ่อล้นไหลอาบรวมกับเลือดบนใบหน้า
“นั่นใคร?” เฟิงจี้สิงตะโกน “หยาบคายยิ่งนัก!”
นายพลผู้นั้นเช็ดน้ำตาและกล่าวว่า “ข้าเองจางจง ผู้บัญชาการกองทหารม้าเหล็กแห่งกองทัพองครักษณ์ ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”
“ผู้บัญชาการจางจง?”
เฟิงจี้สิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เหตุใดจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้? นักรบกองทัพองครักษณ์ต่างเป็นทหารของราชวงศ์ฉิน ทว่าเจ้ากลับอยู่ในสภาพน่าเวทนาเหลือเกิน!”
จางจงส่งเสียงร้องขณะที่ดึงกระดาษเปื้อนเลือดออกจากแขนด้วยมือสั่นเทา “กระหม่อมฉวยโอกาสคว้าม้วนหนังสือของนกส่งสารจักรวรรดิจากความโกลาหล มันเป็นม้วนหนังสือจากองค์จักรพรรดิ ฝะ…ฝ่าบาทยังไม่สิ้นพระชนม์พ่ะย่ะค่ะ…”
“อะไรนะ เสด็จพ่อยังไม่สิ้นพระชนม์!?”
ฉินอินยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและคว้าจดหมายจากมือจางจง เมื่อเห็นลายมือบนกระดาษ ก็รู้ได้ว่าเป็นลายมือของฉินจิ้น ‘ข้าและกองทัพเทียนฉงฝ่าวงล้อมศัตรู และถูกล้อมในภูเขาเทียนชู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวง โปรดรีบส่งกองกำลังมาช่วยโดยเร็ว!’
…
ฝ่ามือฉินอินสั่นเล็กน้อยขณะถือจดหมาย น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาคู่งาม “สะ…เสด็จพ่อยังมีพระชนม์ชีพ…ฮือ…”