The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.329 ข้าปกป้องนางไม่ได้แล้ว
Ep.329 ข้าปกป้องนางไม่ได้แล้ว
ลั่วหลานในชุดคลุมสีทองลอยอยู่กลางอากาศมองเหล่ยหงพร้อมกับพลังเทวะที่อยู่รอบตัว “เจ้าคือเหล่ยหง ผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสองขอบเขตปราชญ์แห่งหลันเยี่ยนใช่หรือไม่?”
เหล่ยหงกระชับหอกเหล็กในมือก่อนจะกล่าวโดยปราศจากความกลัว “ลั่วหลาน วิหารศักดิ์สิทธิ์คือสถานที่ฝึกยุทธ์ของจักรวรรดิที่ไม่เคยถูกลบหลู่มาแต่โบราณกาล ต่อให้เกิดสงครามยิ่งใหญ่เพียงใดก็มิควรล่วงล้ำเข้ามาในวิหาร ต่อให้ด้านนอกจะเกิดการฆ่าฟันหรือล้างบางทั้งเมืองจากจักรวรรดิอี้เหอ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาสังหารใครในวิหารของข้า”
“ข้าจะไม่สังหารผู้ใดทั้งนั้น”
ลั่วหลานยิ้มมุมปาก “ข้าเพื่อพบกับสองปราชญ์ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า”
เหล่ยหงหันไปมองคนพลุ่งพล่านในวิหารก่อนจะตะโกนสั่งเกอหยาง ฉินเหยียนและคนอื่นๆ “ปิดประตูวิหาร ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นอย่าออกมา!”
ฉินเหยียนกัดฟัน “ท่านผู้นำศักดิ์สิทธิ์!”
เหล่ยหงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ปิดประตู!”
เกอหยางใช้โอกาสที่เหล่ยหงสร้างให้ปิดประตูวิหาร เมื่อมองผ่านช่องว่างของประตู เหล่ยหงในชุดคลุมสีขาวยกหอกเหล็กขึ้นพร้อมกับควงหอกอย่างรวดเร็วด้วยวิชาหวนคืนสวรรค์
…
“ได้!”
ลั่วหลานตะโกนก่อนจะหัวเราะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ประมือกับคู่ต่อสู้ที่ต่ำกว่าขอบเขตเทวะเช่นเจ้า ช่างไม่สมกับที่หวังไว้เลยสักนิด ไม่นึกเลยว่าหลังการขึ้นสวรรค์ของเทพจักรพรรดิฉินอี้ จอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ผู้เป็นรองเทพและเป็นผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์จะอ่อนแอถึงเพียงนี้”
ลั่วหลานวาดมือออก ทันใดนั้นดาบสีแดงเลือดก็ปรากฏจากร่างกาย วิญญาณยุทธ์ชั้นหนึ่งดาบโลหิตอสูร!
วินาทีต่อมา แสงจากดาบโลหิตอสูรก็เปล่งประกาย!
“ตูม!”
ด้วยแรงโจมตีทำให้เกิดฝุ่นตลบไปทั่ว หอกของเหล่ยหงหักครึ่ง! บนบ่ามีบาดแผลเลือดไหลซึมออกมา ทว่าเจ้าตัวกลับไม่มีท่าทีเจ็บปวดใด เหล่ยหงดึงมือซ้ายไปข้างหลังพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้ากระโจนเข้าใส่ลั่วหลานอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ยกมือขึ้นวิญญาณยุทธ์ดาบแสงดาวก็ปรากฏ ดาบเปล่งแสงสีทองด้วยวิชาหวนคืนสวรรค์แหวกอากาศไป!
“เยี่ยมยอด!”
ลั่วหลานหัวเราะก่อนจะรวบรวมพลังเทวะผสานเข้ากับชุดเกราะรบที่สวมอยู่ “เคร้ง!” เขาสะท้อนการโจมตีของเหล่ยหงด้วยพลังเกราะ
ทว่าเหล่ยหงยังไม่ยอมแพ้ เข้าโจมตีอยากต่อเนื่อง!
วิญญาณยุทธ์ระเบิดออก เหล่ยหงยกฝ่ามือขึ้น ทันใดนั้นวิชาหวนคืนสวรรค์ก็สำแดงฤทธิ์กลายเป็นมังกรสีทองลอยลงมาจากฟากฟ้า เสียงคล้ายกระดิ่งลั่นดังไปทั่วบริเวณ มังกรทองลอยไปรัดตัวลั่วหลานและดาบโลหิตอสูรไว้ ทันใดนั้นแสงจากเปลวเพลิงก็เปล่งออก “ซูม!” เพลิงร้อนทะยานสู่ท้องฟ้า มันเผาไหม้ทุกสิ่งอย่าไร้ปรานี!
ลั่วหลานตายแล้วหรือ?
ไม่มีทาง…คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเทพเจ้า ไม่มีทางมาจบชีวิตง่ายๆ เช่นนี้แน่
ทันใดนั้น ด้านหลังเหล่ยหง “เปรี๊ยะ!” มิติถูกบิดเบือนและแตกร้าว ร่างของลั่วหลานแหวกรอยแยกออกมาพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “พอเท่านั้นแหละเหล่ยหง ตายเสียเถิด!”
“ชิ้ง!”
รัศมีแห่งดาบโลหิตอสูรเปล่งประกายก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังขอบเขตเทวะปกคลุมทั้งเหล่ยหงและลั่วหลาน!
“อึก…”
เหล่ยหงกระอักเลือด ของเหลวสีแดงข้นไหลออกจากมุมปากก่อนจะทรุดร่างลงกับพื้น พลังขอบเขตปราชญ์ของเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย…ช่างอ่อนแอนักเมื่ออยู่ต่อหน้าลั่วหลานผู้นี้ เลือดที่ไหลจากปาของเหล่ยหงกลายเป็นหยดน้ำกลมลอยไปสู่ดาบโลหิตอสูรอันเป็นดาบเลื่องชื่อ พลังของมันจะยิ่งแข็งแกร่งเมื่อได้กลืนกินเลือดและพลังของคู่ต่อสู้!
พลังสีชาดผสมกับสีทองเปล่งแสงเจิดจ้า ลั่วหลานเผยท่าทีน่ากลัวและระเบิดเสียงหัวเราะ “จงยอมรับชะตากรรมของตนเสีย ประวัติศาสตร์แห่งจักรวรรดินี้ได้จบสิ้นลงแล้ว!”
ร่างกายของเหล่ยหงเริ่มบิดเบี้ยว เขากัดฟันต้านพลังอันมหาศาลโดยไม่แสดงความเจ็บปวดใดออกมาแม้ทั้งตัวจะโชกเลือดอยู่ก็ตาม ทั้งเลือดและพลังชีวิตของเขากำลังถูกดาบโลหิตอสูรแย่งชิงไป! ทว่าเหล่ยหงทนฝืน…เขาไม่ยอมสละชีวิตตนเองให้ดาบปีศาจเช่นนี้แน่!
“อา…อาอวี่!”
เหล่ยหงเงยหน้าตะโกนลั่นขณะเดียวกันก็ดีดศิลาสีน้ำเงินออกจากโล่เต่าทมิฬ ทันใดนั้นด้วยพลังแห่งดาบโลหิตอสูรทำให้ร่างกายเหล่ยหงเริ่มทนไม่ไหว กล้ามเนื้อและเส้นเลือดพองตัวออก เหล่ยหงคำราม “ล้างแค้นให้ข้าด้วย!”
“ตูม”
แสงสีทองระเบิด ทั้งลานกว้างหน้าวิหารกลายเป็นหลุมใหญ่ ร่างของเหล่ยหงหายไปเหลือเพียงเศษธุลีที่ร่วงหล่น ผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์จบชีวิตลงโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก
“กริ๊ง…”
ศิลาสีน้ำเงินนั้นแข็งแกร่งมาก มันตกลงไปในหลุมยักษ์…ไม่ถูกทำลายไปพร้อมกับเจ้าของ
“หึ!”
ลั่วหลานแค่นเสียงออกมาอย่างเลือดเย็น ยืนมือไปทางประตูของวิหารก่อนจะปล่อยพลัง! ประตูเหล็กกลายเป็นผุยผงในพริบตา ลั่วหลานมองเกอหยาง ฉินเหยียนและสมาชิกคนอื่นๆ ก่อนจะพูดอย่างไม่แยแส “ข้าคือเทพลั่วหลาน ข้าไม่อยากสังหารคนธรรมดา…ฉะนั้นข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป แลกกับการบอกข้าว่าขอบเขตปราชญ์อีกผู้ที่เหลืออยู่…ชวีฉูอยู่ที่ใด?”
ฉินเหยียนหยิบหอกเขี้ยวอัคคีก้าวออกไปพร้อมกับเรียกปราการเกล็ดมังกรออกมาปกป้องตัวเองก่อนจะกล่าวด้วยแววตาแห่งความโกรธแค้น “เป็นเทพแล้วคิดจะหยามชีวิตใครก็ได้อย่างนั้นรึ? หากเจ้าอยากจะสังหารท่านผู้เฒ่า…ก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
“ฮ่าๆๆ”
ลั่วหลานจ้องหน้าฉินเหยียน “ถอยไปเสีย คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรกับข้า”
“ไอ้สารเลว!”
ฉินเหยียนคำรามลั่นยกหอกเขี้ยวอัคคีขึ้น จ้วงแทงอย่างรุนแรงราวกับสายฟ้า!
ทว่าลั่วหลานกลับไม่ขยับร่างเลยแม้แต่น้อย ใช้ผิวเกราะจากร่างกายสะท้อนการโจมตีของฉินเหยียนจนกระเด็นออกไป ฉินเหยียนกระแทกลงกับพื้นอย่างอับอายพร้อมกับกระอักเลือดและได้รับบาดเจ็บที่แขน เกอหยางรีบเข้าไปช่วยพยุงก่อนจะส่งสายตาเป็นนัยว่าอย่าได้ทำอันใดอีกจะดีกว่า
เหล่าครูฝึกและลูกศิษย์ต่างหวาดกลัวราวกับวิญญาณจะออกจากร่าง เท่านี้ก็เพียงพอจะพิสูจน์แล้วว่าเทพเจ้าผู้นี้ทรงพลังขนาดไหน แม้แต่ครูฝึกที่เก่งกาจที่สุดในวิหารยังบาดเจ็บสาหัสทันทีที่สัมผัสตัว คนอื่นๆ จึงหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าจะถูกแยกเป็นชิ้นเสียก่อน
เกอหยางกล่าวพร้อมส่ายหัวขณะมองหน้าลั่วหลาน “หลังการกวาดล้างของจักรวรรดิอี้เหอ ทุกคนต่างกระจัดกระจายไปทั่ว เราไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านชวีฉูอยู่ที่ใด…”
“หึ!”
ลั่วหลานหัวเราะในลำคออย่างหยามเกียรติก่อนจะบินไป
เกอหยางถอนหายใจอย่างโล่งอก “อย่ารีรอ…เร่งอพยพคนออกจากเมืองมาให้ไวได้เท่าไรยิ่งดี ใต้เท้าฉินเหยียน…พอขยับตัวได้หรือไม่?”
ฉินเหยียนคว้าหอกไว้พลางปาดคราบเลือดที่มุมปาก “ข้าไม่เป็นไร ไปกันเถิด…ข้าไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ชายข้ากับท่านพี่หลินมู่อวี่จะเป็นอย่างไรบ้าง…”
ครูฝึกคนหนึ่งคำนับและเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาว่า…กองทัพค่ายเขาเหินแตกพ่ายและท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเสียชีวิตแล้วขอรับ…”
“…”
ฉินเหยียนตกตะลึงก่อนจะเอ่ยด้วยแววตาแห่งความอาลัย “ในฐานะประชาชนแห่งจักรวรรดิ ขณะที่ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนต้องเสียเลือดเนื้อแลกชีวิต แต่เรากลับทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ที่นี่ ช่างน่าละอายยิ่งนัก…”
เกอหยางกล่าว “ตอนนี้เป็นหน้าที่ของเราแล้วที่ต้องคอยช่วยอพยพคนที่เหลือรอดออกจากเมือง อย่ารอช้ารีบไปพาทุกคนมาซ่อนตัวในวิหาร มิเช่นนั้นคงได้ตายกันหมดเป็นแน่!”
“ขอรับ!”
…
ใกล้กับซากกำแพงเมือง หลินมู่อวี่ เว่ยโฉวและคนอื่นๆ แต่กายเป็นทหารอี้เหอและค่อยๆ ควบม้าเข้าเมืองหลันเยี่ยนจากฝั่งใต้อย่างเงียบเชียบ มองหาฉินอินท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบบริเวณ
ณ ประตูเมือง กลุ่มทหารจักรวรรดิอี้เหอยืนถืออาวุธคอยกันผู้คนไม่ให้หนีออกจากเมือง ใครก็ตามที่พยายามฝ่าฝืนจะถูกฆ่าทำให้มีศพกองเป็นพะเนินเต็มไปหมด บางคนถูกเผาทั้งเป็น บ้างก็ถูกลากแล้วฝัง รวมไปถึงถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง
“ท่านผู้บัญชาการ!” เมื่อเห็นยศของหลินมู่อวี่นายทหารลาดตระเวนคนหนึ่งก็รีบคำนับก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านจะไปที่ใดขอรับ?”
หลินมู่อวี่มองหน้านายทหาร “ฉินอินยังอยู่ในซากเมืองนี้หรือไม่?”
ทหารลาดตระเวนยิ้มกริ่ม “ท่านคงมาเอารางวัลล้านเหรียญทองสินะ…”
“ล้านเหรียญทองหรือ?”
“ขอรับ เช้านี้ท่านจื่อเย่าได้ประกาศว่าหากใครจับฉินอินได้สำเร็จจะมีรางวัลเป็นเงินหนึ่งล้านเหรียญทองให้ ทว่าการไล่จับนางนั้นไม่ง่ายเลย ทหารอารักขาของจักรวรรดิยังไม่ตาย กล่าวกันว่าฉินเหลยนำทัพหนึ่งพันคนคอยคุ้มกันฉินอินเพื่อหนีออกประตูทางใต้ ป่านนี้คงยังไปได้ไม่ไกล…ซึ่งท่านแม่ทัพลู่จ่าวกำลังนำทหารสองหมื่นนายไล่ล่าอยู่ขอรับ”
“แล้วกองทัพไพรสัณฑ์เล่า?”
“อยู่ชานเมืองทางใต้ขอรับ”
“เข้าใจล่ะ…หลีกทางไป เราจะออกไปตามล่าพวกมัน”
“รับทราบ!”
…
ตลอดทางที่ควบม้าออกจากเมืองมีแต่ศพเกลื่อนกลาดไปหมด พวกจักรวรรดิอี้เหอทำการสังหารหมู่ผู้คนราวกับงานเฉลิมฉลอง หลินมู่อวี่ทำได้เพียงขี่ม้าไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางและคนอื่นๆ มีสีหน้าสลด ดวงตาแดงก่ำนั้นเผยให้เห็นถึงความรู้สึกในฐานะทหารอวี้หลินที่ล้มเหลวในการปกป้องประชาชนของตน ซึ่งเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวด
“ท่านผู้บัญชาการ”
เว่ยโฉวได้ยินเสียงบางอย่างหลังตั้งใจฟังมาครู่หนึ่ง “มีเสียงสู้รบมาจากทางใต้!”
“อืม”
ทักษะชีพจรวิญญาณของหลินมู่อวี่เองก็สัมผัสได้ถึงรัศมีพลังที่แปรปรวนอย่างมาก “เร็วเข้า เราอาจยังไปทัน”
“ขอรับ!”
เกือกม้าย่ำไปตามผืนดินที่เต็มไปด้วยคราบเลือดมุ่งตรงไปยังทิศที่สัมผัสได้ เมื่อพวกหลินมู่อวี่มาถึงป่าก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังสู้รบกันอยู่ไม่ไกล ทว่าเมื่อไปถึงการต่อสู้ก็จบสิ้นแล้ว ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยศพของกองทัพไพรสัณฑ์และจักรวรรดิอี้เหอ ตรงกลางป่า กลุ่มทหารกว่าร้อยนายกำลังง้างธนูและหน้าไม้ก่อนจะยิงใส่ใครบางคนที่อยู่กลางวงล้อมทันที
“เรียบร้อย!”
แม่ทัพระดับกลางคนหนึ่งยกมือขึ้นสั่ง “องครักษ์อวี้หลินตายหมดแล้ว อย่ารอช้า! รีบไล่ตามฉินอินไปแล้วสังหารนางเสีย!”
“ขอรับ!”
เมื่อกองทหารอาสากว่าร้อยคนจากไป พวกหลินมู่อวี่ก็รุดเข้าไปในจุดที่เกิดการปะทะ รอบบริเวณเต็มไปด้วยศพของทหารอวี้หลิน ท่ามกลางศพเป็นพะเนิน ชายคนหนึ่งนั่งคุกเข่าด้วยธนูปักเต็มร่าง ผ้าคลุมขาวที่มีดอกจื่อยินสีทองปักอยู่ด้านหลังบัดนี้ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ผ้าคลุมสำคัญของทหารองครักษ์อวี้หลินนั่นเป็นของ…ฉินเหลย!
หลินมู่อวี่ใจสลายรีบลงจากม้าทรงตัวแทบไม่ไหว พยายามเข้าไปกอดร่างฉินเหลยด้วยความสั่นเทา ทว่าไม่มีที่ว่างให้หลินมู่อวี่…เพราะทั้งร่างของฉิเหลยที่นั่งคุกเข่าอยู่นั้นเต็มไปด้วยลูกธนู โดยเฉพาะรอบคอที่ถูกเสียบอยู่เจ็ดถึงแปดดอก เลือดไหลทะลักไม่หยุด
“ท่านพี่…ท่านพี่ฉินเหลย…” หลินมู่อวี่เสียงสั่นเครือพูดไปไม่เป็นคำ
ฉินเหลยหลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลปนกับเลือด ร้องไห้ด้วยลมหายใจอันรวยริน “นั่นอาอวี่…อาอวี่! ข้าปกป้องนางไม่ได้…ข้าปกป้องนางไม่ได้แล้ว…”
………………………………….