The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - Ep.342 วางยาพิษ
Ep.342 วางยาพิษ
ณ ตำหนักเจ๋อเทียน เฟิงจี้สิงแต่งกายด้วยชุดเกราะสีขาวของทหารอวี้หลินอีกครั้งด้วยหน้าตาสะอาดสะอ้าน ชุดเกราะนี้ฉินอินเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งมีเพียงผู้มีอำนาจทั้งหกแห่งจักรวรรดิเท่านั้นที่จะสวมชุดสีขาวขององครักษ์มังกรนี้ได้ ซึ่งประกอบไปด้วย ตู้ไห่ เฟิงจี้สิง ชวีฉู ฉินเหลย เหล่ยหงและเหยาหยวน ซึ่งตอนนี้ตู้ไห่หายตัวไป ชวีฉู ฉินเหลยและเหล่ยหงตายในสนามรบ ส่วนเหยาหยวนไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด จึงมีเพียงเฟิงจี้สิงเท่านั้นที่ยังเป็นองครักษ์มังกรอยู่
ตรงปกเสื้อมีดาวสีทองสามดวงติดอยู่กับตราดอกจื่อยิน ซึ่งสื่อถึงอันดับผู้บัญชาการทางทหาร
เฟิงจี้สิงรู้สึกเจ็บปวดใจราวถูกศรปักอก
จางเหว่ยถูกเลื่อนขั้นเป็นรองผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์ เฟิงจี้สิงสั่งให้เซี่ยโหวซางออกจากกลุ่มมังกรผงาดมาเข้าร่วมกับตน ทำให้ทั้งสามคนกลายเป็นกลุ่มที่น่าเกรงขามอย่างมาก
…
“ยินดีกับผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงด้วย…” ถังหลานประสานหมัดและยิ้ม
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ขอบพระคุณมากท่านหลานกง…”
ทว่าถังเทียน ถังลู่ ถังเว่ย และแม่ทัพตระกูลถังคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่หลังถังหลานกลับริษยาเฟิงจี้สิง ดูเหมือนการกลับมาของเขาจะเป็นการท้าทายอำนาจของตระกูลถังแห่งชีไห่อย่างมาก เพราะเฟิงจี้สิงเคยเป็นอดีตแม่ทัพที่รับใช้ฉินจิ้น หนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งจักรวรรดิ ดังนั้นการที่เขากลับมาหาฉินอินและซูมู่หยุนจึงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักเท่าไร
ฉินอินกล่าวขณะนั่งบนบัลลังก์ “แม่ทัพเฟิงจี้สิงนั้นซื่อสัตย์และไม่ย่อท้อ จะได้รับการอวยยศเป็นแม่ทัพอันดับสอง และในฐานะผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ อนุญาตให้รวบรวมกำลังพลใหม่ในเมืองหลันเยี่ยนได้ ส่วนงานแรกที่จะมอบหมายคือให้นำกองกำลังห้าหมื่นนายออกเดินทางผ่านป่าล่ามังกรไปยังมณฑลเทียนชู่ เพื่อนำหัวของอวี่จื้อหยานมาให้ข้า ผู้บัญชาการเฟิงรับทราบหรือไม่?”
เฟิงจี้สิงประสานหมัด “วางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
เซี่ยงอวี้ที่ครั้งหนึ่งเคยก่ออาชญากรรมในรัชสมัยของฉินจิ้นจึงไม่ได้รับการอวยยศ ต่างจากเฟิงจี้สิงที่เดิมทีเป็นแม่ทัพของจักรวรรดิอยู่แล้วจึงไม่แปลกหากจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพอันดับสอง
ซูมู่หยุนที่อยู่ด้านข้างยิ้ม “ผู้บัญชาการเฟิง เราได้จัดเตรียมทหารฝีมือดีทั้งห้าหมื่นนายไว้ให้แล้ว คืนนี้จงพักผ่อนเสียเถิด ต่อเมื่อรุ่งสางค่อยเคลื่อนทัพเดินทาง”
“ขอรับท่านหยุนกง…”
เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างนอบน้อม เขารู้ว่าอำนาจทางทหารตอนนี้ไม่ได้เป็นของฉินอิน ทว่าเป็นของซูมู่หยุนและถังหลาน เขาจึงต้องเคารพสองคนนี้ให้มาก
…
กลางดึก ณ ค่ายทหารองครักษ์ จางเหว่ยและเซี่ยโหวซางกำลังเตรียมม้า อาวุธและชุดเกราะกันอยู่อย่างอารมณ์ดีในขณะที่เฟิงจี้สิงถือเหยือกไวน์นั่งบนหลังม้า “พวกเจ้าเตรียมสัมภาระต่อเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่น”
จางเหว่ยรีบเอ่ยแทรก “ผู้บัญชาการ ให้ข้า ให้ข้านำทหารองครักษ์ไปกับท่านเถิด ช่วงนี้จักรวรรดิกำลังยุ่งเหยิง ไม่มีที่ใดปลอดภัยนะขอรับ”
เฟิงจี้สิงหัวเราะ “อย่าห่วง ในเมืองหลันเยี่ยนแห่งนี้ใครจะทำร้ายข้าได้?”
จางเหว่ยพูดไม่ออก อย่างที่เฟิงจี้สิงกล่าว ตอนนี้เซี่ยงอวี้อยู่ระหว่างเดินทาง ในเมืองหลันเยี่ยนแห่งนี้จึงไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้อีก
ใต้ผืนฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดารา เฟิงจี้สิงควบม้าตรงไปยังสุสานราชวงศ์ฉิน ไม่ไกลนัก…ด้วยแสงจากดวงดาวบนฟ้าทำให้เห็นอนุสรณ์สถานที่ตั้งตระหง่านอยู่
เฟิงจี้สิงนั่งลงข้างอนุสรณ์ เงยหน้ามองชื่อของหลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และฉินเหลยที่สลักอยู่บนนั้น เขากระดกไวน์รสเข้มจนร้อนคอก่อนจะยิ้มและหัวเราะไปพร้อมกัน หยดน้ำตาย้อยลงอาบแก้ม เฟิงจี้สิงเอนตัวพิงแท่นหินร้องไห้สะอึกสะอื้นใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา “อาอวี่ ครั้งหนึ่งเจ้าเคยถามข้าว่ากลัวหรือไม่ ตอนนั้นข้าตอบเจ้าว่าไม่ ทว่าบัดนี้ข้ากลัวเหลือเกิน…อย่างเช่นที่เจ้าเคยรู้สึก แค่เพียงพริบตาสี่วีรบุรุษแห่งหลันเยี่ยนก็เหลือจ้าเพียงคนเดียวเสียแล้ว ข้ากลัวว่าจากนี้จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร…อาอวี่ ตาเฒ่าฉู่ อาเหลย ทางนั้นเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ?”
เฟิงจี้สิ้งนอนพิงอนุสรณ์อันเย็นเยียบพลางร้องไห้คร่ำครวญราวกับเด็กขณะที่นำเมายังเต็มปาก “หากย้อนเวลากลับไปตอนที่เรานั่งดื่มอยู่ในหอสดับพิรุณได้คงดี…”
เฟิงจี้สิงกวาดตามองไปยังป่าโดยรอบด้วยแววตาสิ้นหวัง เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
เนิ่นนานกว่าเฟิงจี้สิงจะลุกขึ้นได้ เขาเทไวน์ที่เหลือใส่ในเหยือกใต้แท่นอนุสรณ์ด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “พี่น้องข้ารอก่อนเถิด เฟิงจี้สิงผู้นี้จะเป็นใหญ่ในจักรวรรดิให้ได้ แล้วข้าจะกลับมาดื่มกับพวกเจ้าอีกในวันอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิ…”
เฟิงจี้สิงขึ้นควบม้าแล้วจากไป
วันต่อมา เฟิงจี้สิงนำกองทัพห้าหมื่นนายออกเดินทางไปทางตะวันออกตรงไปมณฑลเทียนชู่ เป็นเวลาเดียวกับที่เซี่ยงอวี้นำทัพเข้าโจมตีเมืองห้าหุบเขา เท่ากับเป็นการโจมตีจักรวรรดิอี้เหอแบบตัวต่อตัว เมื่อมณฑลเทียนชู่สูญเสียแนวป้องกัน เมืองห้าหุบเขาจะถูกลอยแพไร้แนวร่วม
…
ในวันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนมิถุนายน ปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดตามปฏิทินจักรวรรดิ ณ ค่ายพักแรมของเซี่ยงอวี้ สิบไมล์ทางเหนือของเมืองห้าหุบเขา
ถังลูกเบอร์รี่สีแดงเลือดถูกลำเลียงไปยังค่าย กลิ่นหอมของมันคละคลุ้งไปทั่ว ทว่าเหล่าทหารคุ้มกันกลับไม่ได้สนใจเลยไม่แต่น้อย
“ยินดีต้อนรับกลับขอรับท่านแม่ทัพ” ผู้บัญชาการนายหนึ่งลงจากม้าและทำความเคารพ
เซี่ยงอวี้ถือหอกเปื้อนเลือดควบม้าเดินเข้าไปกลางค่ายและถาม “พร้อมกันหรือยัง?”
“ขอรับท่านแม่ทัพ…” หนึ่งในสมาชิกทหารสวมชุดคลุมสีม่วงประสานหมัดกล่าว “เราได้หาผลไม้สีเลือดจากมณฑลชางหนานมาเกือบหมด และรวบรวมบรรจุลงในถังทั้งหนึ่งร้อยแปดสิบสองใบเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“พิษแรงขนาดไหน?” เซี่ยงอวี้ถาม
ทหารสมาชิกหัวเราะ “มันสามารถล้มช้างป่าอายุพันปีได้เลยขอรับ ในถังไม้เหล่านี้มีอย่างน้อยถังละหนึ่งร้อยลูก ท่านแม่ทัพลองคิดดูสิขอรับว่าเบอร์รี่สีแดงทั้งร้อยแปดสิบกว่าถังนี้จะมีพิษร้ายแรงเพียงใด”
“เยี่ยมมาก..”
เซี่ยงอวี้คลี่ยิ้ม “จากวันนี้เป็นต้นไป น้ำกินน้ำใช้ให้ลำเลียงมาจากป่าล่ามังกรเท่านั้น อย่าใช้จากแม่น้ำต้าวเจียงเด็ดขาด เพราะเราจะเทเบอร์รี่พิษนี้ใส่แม่น้ำต้าวเจียงซึ่งเป็นแหล่งน้ำของเมืองห้าหุบเขา เมื่อพวกมันติดพิษกันหมดแล้วเราก็เวลาเข้าจัดการเพียงเท่านั้น…”
“ขอรับ…”
ผู้บัญชาการกองหมื่นแห่งเมืองชีไห่ตกตะลึง “ท่านแม่ทัพ ผลไม่สีเลือดพวกนี้ไม่เพียงแต่จะฆ่าพวกกบฏจากอี้เหอเท่านั้น ชาวเมืองห้าหุบเขาทั้งสองล้านสี่แสนคนเองก็จะโดนลูกหลงไปด้วย…”
“แล้วอย่างไร?”
เซี่ยงอวี้กล่าวอย่างไม่แยแส “แม้ว่าเดิมทีประชาชนพวกนั้นจะเป็นคนของจักรวรรดิ ทว่าบัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอี้เหอเท่านี้ก็สมควรตายแล้ว กระจายคำสั่งไปให้ทั่วอย่าให้มีผิดพลาด หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นเซี่ยงอวี้ผู้นี้จะรับผิดชอบเอง…”
“ขอรับ…”
ตกค่ำ ถังเบอร์รี่ทั้งร้อยแปดสิบสองถูกเทลงไปในแม่น้ำต้าวเจียง เบอร์รี่พิษละลายทันทีที่สัมผัสกับน้ำ เมืองห้าหุบเขานั้นถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำสายนี้ซึ่งเป็นแหล่งดำรงชีวิตหลัก
…
วันต่อมา ผู้คนในเมืองห้าหุบเขาหลายแสนคนล้มตายในทันที ทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความอลหม่าน
ตลอดสองข้างถนนในเมืองเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนของคนที่โดยพิษ เป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
ติงซี่สวมชุดคลุมแม่ทัพเหน็บดาวไว้ที่เอว นำกองทัพทหารม้าเดินเข้าเมืองอย่างช้าๆ พลางมองสองข้างทาง “ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าแม่น้ำคือแหล่งพิษ?”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” ทหารองครักษ์พยักหน้า “แม่น้ำต้าวเจียงตลอดทั้งสายถูกวางยาขอรับ มีปลาตายลอดขึ้นผิวน้ำจนนับไม่ถ้วน”
“สารเลว…”
ติงซี่กำหมัดแน่น “กระจายคำสั่งห้ามดื่มน้ำจากแม่น้ำต้าวเจียง ให้ขุดน้ำจากใต้ดินกินไปก่อน”
“ท่านแม่ทัพขอรับ…แม่น้ำต้าวเจียงนั้นลึกมาก ข้าเกรงว่าพิษคงลามไปถึงแหล่งน้ำใต้ดินด้วย แม้แต่น้ำจากบ่อยังอันตรายเลยขอรับ”
“บัดซบ…”
ติงซี่ขมวดคิ้ว “ถอนกำลังและตามข้าไปพบท่านฉินอี้เร็วเข้า…”
“ขอรับ…”
ณ จวนผู้ว่าเมืองห้าหุบเขา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเมืองหลวงของฉินอี้ไปแล้ว ติงซี่ถือดาบเดินเข้าไปในห้องโถงก่อนจะพบจื่อเย่าและลู่จ่าว โดยมีฉินอี้นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ด้านบนด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า ดูเหมือนว่าหลังจากการเดินทางขึ้นเหนือทำให้คนของจักรวรรดิฉินกว่าครึ่งถูกกวาดล้าง ถึงกระนั้นฉินอี้ก็ไม่ได้มีความสุขกับการขึ้นเป็นผู้ปกครองเลยแม้แต่น้อย
“แม่ทัพติงซี่เองหรือ?” ฉินอี้ถาม
“ข้าเองขอรับ” ติงซี่ประสานหมัดกล่าว “เซี่ยงอวี้ใช้ผลไม้สีเลือดมีพิษวางยาแม่น้ำต้างเจียงเกือบทั้งสาย ทำให้ประชาชนกว่าแสนคนต้องล้มตายในวันนี้ โปรดอนุญาตให้ข้านำกองทัพอพยพผู้คนไปทางใต้สู่เมืองไป๋หลิงด้วยเถิด ที่นั่นพวกเขาจะปลอดภัย”
ลู่จ่าวทำสีหน้าเย็นชา “ติงซี่ เจ้าคิดจะให้เมืองหลวงทอดทิ้งแปดมณฑลทางเหนือของอี้เหออย่างนั้นหรือ?”
“ข้ามิบังอาจ…”
ฉินอี้ลืมตา “กระจายคำสั่งในสามวันนี้ให้ทุกคนดื่มน้ำจากบ่อไปก่อน หากเซี่ยงอวี้ยังคงวางยาพิษอยู่ค่อยถอนกำลัง”
“ขอรับ…”
“แล้วตอนนี้หลงเซียนหลินอยู่ที่ใด?”
“หึ!” ลู่จ่าวแค่นเสียงอย่างดูถูก “ไอ้เด็กตาขาวนั่นพากองทัพของตัวเองไปหลบซ่อนได้สักพักแล้ว มันไม่กล้าเข้าใกล้เมืองห้าหุบเขาด้วยกลัวพวกทหารจักรวรรดิฉิน”
ฉินอินกล่าวอย่างไม่แยแส “หลงเซียนหลินไม่ใช่คนเช่นนั้น เอาล่ะ…พวกเจ้าไปเตรียมการตามที่สั่งเถิด”
“ขอรับ…”
…
หลายวันต่อมา ประชาชนเมืองห้าหุบเขายังคงล้มตายอย่างต่อเนื่อง
ในวันที่สี่กรกฎาคม เมืองห้าหุบเขาแตกพ่าย เมื่อเซี่ยงอวี้นำกองทัพเข้าบุกก่อนจะพบว่าทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว ประชากรสองล้านสี่แสนคนถูกฆ่าตายกว่าล้านแปด ที่เหลืออีกแสนกว่าต้องลี้ภัยออกจากเมือง ส่วนกองทัพอี้เหอที่ถอนกำลังไม่ทันถูกจับเป็นเชลยสี่หมื่นนาย และถูกสังหารสามหมื่นนายโดยกองทัพของเซี่ยงอวี้
วันที่เจ็ดกรกฎาคม เซี่ยงอวี้นำกองกำลังสามหมื่นบุกไปสังหารฉินอี้ ก่อนจะถูกโต้กลับด้วยกองทัพของหลงเซียนหลินและเสียกำลังคนไปกว่าหมื่นนาย ในที่สุดก็ตัดสินใจถอนกำลังกลับ
วันที่สิบห้ากรกฎาคม ปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดตามปฏิทินของจักรวรรดิ เฟิงจี้สิงตีมณฑลเทียนชู่จนพ่าย จับเชลยได้สี่หมื่นคนพร้อมกับอวี่จื้อเทียนและอวี่จื้อหยานบุตรชาย ยึดครองเมืองเซินหยิงและมณฑลเทียนชู่ได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้มณฑลดารา ชางหนานและเทียนชู่ที่อยู่ติดกับเมืองหลันเยี่ยนได้รับการฟื้นฟูกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฉินอีกครั้ง
กองทัพจักรวรรดิอี้เหอได้ถอยร่นกลับหลิงหนานไปแล้ว เหลือกองทัพอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังอยู่ในมณฑลทงเทียนและหลิงตง อาณาจักรจึงถูกแบ่งกลับไปสองส่วนคือเหนือและใต้เหมือนเดิม
และในวันที่ยี่สิบเอ็ดกันยายนปีเจ็ดพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด ฉินอินได้เข้าร่วมพิธีราชาภิเษกเป็นจักรพรรดินีหญิงแห่งจักรวรรดิฉิน