The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.343 จักรพรรดินี
EP.343 จักรพรรดินี
วันที่ยี่สิบเอ็ดกันยายน…วันราชาภิเษกจักรพรรดินี
ในวันนี้ ทั่วทั้งเมืองหลันเยี่ยนมีแต่เสียงหัวเราะและเต็มไปด้วยความสุข ฉินอินประกาศการราชาภิเษกจักรพรรดินี ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศสถาปนาจักรวรรดิใหม่ที่แท้จริง ผู้คนในเมืองหลันเยี่ยนได้รับความทุกข์ทรมานจากการรุกรานของจักรวรรดิอี้เหอ ความเจ็บปวดนี้ได้แทรกซึมเข้ากระดูกดำและคงอยู่ตลอดไปอย่างไม่รู้ลืม เมื่อเทียบกับความโหดร้ายของจักรวรรดิอี้เหอแล้ว ประชาชนต่างรักจักรพรรดินีผู้ใจกว้างและมีเมตตายิ่งผู้นี้
จัตุรัสตำหนักเจ๋อเทียนเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนยาวไปถึงถนนทงเทียนที่มารอชมพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินี ซึ่งทำให้ทั้งเมืองดูมีชีวิตชีวามาก
…
เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ข้าราชบริพารแบ่งออกเป็นสองฝั่งด้านนอกโถง ส่วนภายในโถงเรียงรายไปด้วยกองทัพไพรสัณฑ์และกองทัพองครักษ์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เฟิงจี้สิงและเซี่ยงอวี้ที่เพิ่งได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพระดับหนึ่งของจักรวรรดิกำลังอารักขาอยู่ด้านหน้าประตูโถง
“องค์หญิงทรงเสด็จ”
ซูมู่หยุนตะโกนเสียงดังพร้อมรอยยิ้ม
ฉินอินค่อยๆ เดินออกมายังห้องโถงที่รายล้อมไปด้วยข้าราชบริพาร นางยืนสงบนิ่งอย่างสง่างามมองทุกคน บนศีรษะมีมงกุฎสีทองรูปหงส์ดูสวยงามและน่าเกรงขาม ผ้าคลุมไหล่กำมะหยี่สีน้ำเงินซึ่งเป็นสีเดียวกับชุดของทหารแห่งจักรพรรดิ ที่เอวประดับพู่สีทองและเงิน และด้านหน้าของเสื้อปักลายดอกจื่อยินสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ
“เสี่ยวซี มอบไข่มุกแห่งอำนาจจักรวรรดิ”
ภายใต้คำสั่งถังหลาน ถังเสี่ยวซีในชุดสีแดงเพลิงงดงามเดินถือพานมาหาฉินอินอย่างเคารพ ก่อนจะเงยหน้าและยิ้ม “เสี่ยวอิน”
ฉินอินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มและยื่นมือออกไปถือคทาสีทองซึ่งเป็นสมบัติที่แสดงอำนาจของราชวงศ์ และเป็นสมบัติที่ครั้งหนึ่งฉินจิ้นเคยครอบครอง ฉินอินมีรอยยิ้มจางๆ ประดับบนใบหน้าขณะทอดสายตามองเหล่าข้าราชบริพารและประชาชนระยะไกล
ทันใดนั้นทุกคนก็ตะโกน ‘ทรงพระเจริญ’ กึกก้องไปทั่วเมืองหลันเยี่ยน
“เสี่ยวซี มากับข้าเถิด” ฉินอินหันหน้ามองสหายรัก
ถังเสี่ยวซียิ้มเล็กน้อยและยื่นมือออกไปจับมือฉินอิน จากนั้นทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันไป ขณะที่ข้าราชบริพารกำลังถือมงกุฎแห่งเกียรติยศสีทองซึ่งจัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อจักรพรรดินี
“ท่านตา” ฉินอินกล่าวเสียงแผ่วเบา
ซูมู่หยุนก้าวออกมาด้านหน้าและคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมชูมงกุฎแห่งเกียรติยศ ฉินอินถอดมงกุฎเดิมออกและสวมมงกุฎแห่งเกียรติยศ ทันใดนั้นเหล่าข้าราชบริพารคุกเข่าลงและตะโกนเสียงดัง “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
“ลุกขึ้นเถิด”
ฉินอินยกมือขึ้นและรอกระทั่งข้าราชบริพารยืนขึ้น ก่อนกล่าวว่า “ทุกคนช่วยฉินอินกอบกู้เมืองหลันเยี่ยนและยังได้รับการสนับสนุนจากมณฑลชางหนาน มณฑลเทียนชู่ มณฑลดารา อีกทั้งหกแคว้นหลักในมณฑลหลิงเป่ยได้กลับคืนสู่ดินแดนของจักรวรรดิ ฉินอินขอเป็นตัวแทนขอบคุณทุกคน”
นางก้มศีรษะลงเพื่อโค้งคำนับ จากนั้นเหล่าข้าราชบริพารก็โค้งคำนับกลับ
King of the Clouds
ฉินอินทำตามข้อตกลงต่อไป “ซูมู่หยุนแห่งมณฑลอวิ้นจงมีส่วนร่วมในการกอบกู้เมืองเป็นอย่างมาก เขาจะได้รับการขนานนามเป็น ‘ราชาแห่งอวิ้นจง’ และชื่อนี้จะได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น”
ทุกคนตะโกนดัง “ยินดีกับราชาแห่งอวิ้นจง”
ซูมู่หยุนคุกเข่าลงต่อหน้าฉินอินอย่างเคารพและกล่าวว่า “กระหม่อมขอบพระทัยองค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินกล่าวว่า “ถังหลานแห่งมณฑลชีไห่มีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้อย่างยิ่ง เขาจะได้รับการขนานนามเป็น ‘ราชาแห่งชีไห่’ ชื่อนี้จะได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้ถังลู่บุตรคนที่สองของถังจินจะได้ชื่อว่าเป็นหลิงเป่ยโหว ถังเทียนบุตรคนโตของถังจูจะได้ชื่อว่าเป็นหลิงซี่โหว ส่วนถังเว่ยบุตรีของถังจินจะได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงเว่ย”
จากนั้นตระกูลถังก็คุกเข่าแสดงความขอบคุณ
ฉินอินยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทุกคนยืนขึ้น ถังเสี่ยวซีด้านข้างกล่าวขึ้น “ขุนนางสองคนและองค์หญิงหนึ่งคน นี่คือสิ่งที่ท่านปู่ต้องการให้เจ้าแต่งตั้งหรือ?”
“ใช่” ฉินอินกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตระกูลถังมีบุญคุณในการฟื้นฟูภูเขาและแหล่งน้ำของจักรวรรดิ นี่คือสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ”
ถังเสี่ยวซียิ้มอย่างขมขื่น “ถังลู่ ถังเทียน และถังเว่ย แม้พวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน ทว่าก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรหลังได้รับการแต่งตั้งเช่นนี้…”
ฉินอินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เสี่ยวซี เจ้าช่างเป็นห่วงเ็นใยผู้อื่น”
“อื้ม”
ถังเสี่ยวซีหันมองฉินอินและกล่าวเสียงแผ่วเบา “เสี่ยวอิน จักรวรรดิเพิ่งถูกกวาดล้างและสูญเสียผู้คนมากมาย ทำให้ทุ่งนาจำนวนมากถูกทิ้งร้าง ข้าเกรงว่าอาจต้องใช้เวลาราวสามปีในการเพาะปลูก ก่อนที่จะทำสงครามได้อีกครั้งเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนและกองทัพ”
“อืม”
“นอกจากนี้จากคำพูดของหยุนกงและท่านปู่ ข้าผู้เป็นองค์หญิงแห่งเมืองชีไห่จำเป็นต้องไปเมืองหน้าด่านอสูรเพื่อรับตำแหน่ง”
“เจ้าจะเดินทางไปเมื่อใด?” ฉินอินกล่าวด้วยเสียงขาดหาย
ถังเสี่ยวซียิ้มเล็กน้อย “ข้าจะออกเดินทางวันรุ่งขึ้น ทว่าเสี่ยวอินอย่ากังวลไปเลย ข้าจะกลับมายังเมืองหลันเยี่ยนเพื่อพบเจ้าทุกเมื่อที่ต้องการ และ…หยุนกงดูเหมือนจะกังวลเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์อสูร หากข้ามิใช่ผู้เฝ้าประตูเอง เขาคงกังวลว่าเผ่าพันธุ์อสูรจะบุกเข้ามาในแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง”
“อืม…ท่านตาวิตกเกินไป”
“ใช่…” ถังเสี่ยวซีทำหน้ามุ่ย “ข้าไม่สามารถอยู่กับเจ้าในเมืองหลันเยี่ยนได้ทุกวัน เจ้าคงต้องเบื่อมากแน่ๆ น่าเสียดาย…หากอาอวี่ยังอยู่ที่นี่ละก็…”
ดวงตาฉินอินเปลี่ยนเป็นสีแดงและนิ่งเงียบไป
…
ค่ำคืนนี้ถายในตำหนักเจ๋อเทียนจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าราชบริพารทุกคน
เฟิงจี้สิงนั่งคุยกับนายพลอาวุโสจางเหว่ยและเว่ยโฉว ขณะที่เซี่ยงอวี้ดูสง่างามกว่าทุกคน ด้วยตำแหน่งนายพลบนไหล่เปล่งประกายสีทองงดงาม สายลมฤดูใบไม้ผลิสะท้อนให้เป็นความรุ่งเรืองของจักรวรรดิอีกครั้ง
“ยินดีกับท่านถังลู่ที่ได้รับตำแหน่งหลิงเป่ยโหว” เซี่ยงอวี้ประสานหมัดกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถังลู่เป็นเด็กหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่ดึงดูดสายหา มุมปากเขายกขึ้น “อืม มันมิได้มีพลังอำนาจเทียบเท่าแม่ทัพเซี่ยงอวี้ หลิงเป่ยโหวของข้าเป็นเพียงชื่อเท่านั้น ไม่เหมือนกับท่านเซี่ยงอวี้ที่สามารถเปลี่ยนแม่น้ำให้กลายเป็นแม่น้ำเลือด รวมทั้งเปลี่ยนเมืองห้าหุบเขาและห้าเมืองใหญ่ให้กลายเป็นเมืองแห่งความตาย ฮ่า…บางทีในแผ่นดินนี้ คงไม่มีผู้ใดเก่งกล้าเท่าท่านแม่ทัพอีกแล้ว ใช่หรือไม่?”
เซี่ยงอวี้ตะลึงจนใบหน้าขาวซีด “นี่คือความสำเร็จอย่างหนึ่ง และมันเป็นวิถีที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล เหตุใดท่านจึงต้องเยาะเย้ยข้าเช่นนี้”
“เหอะ!”
ถังลู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและตบไหล่เซี่ยงอวี้เบาๆ พร้อมโน้มตัวไปพูดว่า “เซี่ยงอวี้ เจ้าเป็นเพียงหมาแก่ หากมิใช่เพราะว่าท่านปูเก็บเจ้ามา คงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าเช่นนี้ ทว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ข้าคิดว่าเจ้าควรรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร”
ใบหน้าเซี่ยงอวี้ซีดเซียว ก่อนจะประสานหมัดด้วยความเคารพ “ท่านโหวสอนเซี่ยงอวี้ให้พึงระลึกถึงชีวิตที่หลานกงมอบให้เสมอ หากลืมสิ่งนี้ จะต้องรับคมดาบขอรับ”
“หึ! ดี…”
ถังลู่ยิ้มจางๆ ก่อนจะเดินผ่านเซี่ยงอวี้เพื่อไปทักทายถังเทียน สำหรับตำแหน่งหลิงเป่ยโหวและหลิงซี่โหว ทำให้ทั้งสองค่อนข้างเป็นบุคคลสำคัญของจักรวรรดิ
…
ภายในโถงงานเลี้ยง ฉินอินนั่งข้างซูมู่หยุนอย่างเงียบงัน
“เสี่ยวอิน เป็นอะไรไปหรือ?” ซูมู่หยุนถามด้วยรอยยิ้ม
ฉินอินเหม่อมองจานผลไม้บนโต๊ะและพึมพำ “ท่านตา ข้าต้องการสร้างระบบทหารขึ้นใหม่ ปฏิบัติกับกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดดั่งกองทัพจักรวรรดิปกติ ก่อตั้งกองทัพสามหมื่นนาย และส่งเสริมเว่ยโฉวให้เป็นหนึ่งในแม่ทัพพิทักษ์เมืองระดับสาม ข้าไม่รู้ว่าท่านตาจะคิดอย่างไร?”
“ขยายกองทัพมังกรผงาด…”
ซูมู่หยุนขมวดคิ้วและตบไหล่ฉินอินแผ่วเบา “ทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อนเถิด อีกทั้งเว่ยโฉวยังเด็ก หากต้องการมอบความรับผิดชอบอันหนักอึ้งให้ บางทีอาจส่งเว่ยโฉวไปเป็นผู้บัญชากาารกองหมื่นในกองทัพเขี้ยวกระบี่ ด้วยความสามารถของเขา ข้าเชื่อว่ามันเพียงพอแล้ว”
“เหตุใด…”
ฉินอินกำมือแน่นและกัดริมฝีปาก “เหตุใดในฐานะจักรพรรดินีจึงไม่มีแม้แต่พลังที่จะสร้างกองทัพ”
ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “เด็กโง่ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่ แน่นอนว่าเจ้าเป็นจักรพรรดินี ทว่า…เรื่องการทหาร ตาจะช่วยเจ้าจัดการเอง รวมทั้งป้าของเจ้าด้วย ดังนั้นจึงมิต้องกังวล อีกทั้งเจ้ายังเด็กเกินไป ตามิได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นเลย นอกจากชีวิตของเจ้าต่อจากนี้”
ฉินอินนิ่งเงียบ
ซูมู่หยุนกล่าวว่า “เด็กนั่น ฉินเหยียนบุตรของอ๋องจี้หนิง หลังจากอ๋องจี้หนิงและองค์จักรพรรดิถูกลอบปลงพระชนม์ในทะเลสาบภูต เหล่ากองทัพของอ๋องจี้หนิงได้ติดตามฉินเหยียน ข้าคิดว่าเขาจะกลายเป็นบุคคลสำคัญ เสี่ยวอิน…หากเจ้าไม่รังเกียจ ในอีกสองปีเมื่อฉินเหยียนโตเต็มวัย ตาจะดูแลเรื่องการอภิเษกสมรสให้เจ้าเอง”
ฉินอินกำมือแน่นจนเล็บจมเข้าไปในเนื้อ ดวงตาทั้งสองมีน้ำตาไหลรินพร้อมส่ายหัว “ไม่ ฉินอินโตแล้ว ข้าจะอยู่กับคนที่ข้ารักเท่านั้น เรื่องนี้จะไม่ถูกพูดถึงอีก มิเช่นนั้น…ท่านตาก็รู้นิสัยข้าดี”
ซูมู่หยุนประหลาดใจเล็กน้อย “ตกลง…ข้าจะไม่พูดถึงมันอีก ทว่าเสี่ยวอิน…เจ้าอย่าลืมว่าตอนนี้ถังหลานได้รับยกย่องให้เป็นราชา ทำให้อำนาจทหารในมือทรงพลังยิ่งขึ้น เจ้ากลับไม่นึกถึงมันเลย”
“เรื่องนั้นเป็นปัญหาระหว่างท่านตา ข้าจะไม่เข้าไปวุ่นวาย”
ฉินอินยืนขึ้นและกล่าวว่า “ข้าจะไปหาเสี่ยวซี ขอตัวเจ้าค่ะ”
เมื่อมองแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของฉินอิน ทำให้ซูมู่หยุนได้แต่ถอนหายใจ
ซูอวี่ด้านข้างดื่มไวน์องุ่นและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อ เสี่ยวอินมิใช่หุ่นเชิดของท่าน ทำเช่นนี้…มิเกินไปหรือ?”
ซูมู่หยุนหันมองบุตรีด้วยสายตาเฉียบคมราวกับใบดาบ
…
ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ เมื่อเทียบกับงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสุราและอาหารในเมืองหลันเยี่ยน ป่าล่ามังกรเวลากลางคืนหนาวเหน็บกว่ามาก และขณะนี้มีฝนห่าใหญ่ตกลงมาจากท้องนภา
‘ตูม’
จู่ๆ ก็มีดินถล่มลงมากะทันหัน ทำให้ผลึกน้ำแข็งที่ถูกฝังในผืนโลกโผล่ออกมา จากนั้นสายฝนชะล้างจนผลึกน้ำแข็งสะอาด
หลังจากฝนหยุดตกและเมฆเปิด แสงของดวงดาวก็สาดส่องลงมายังผลึกน้ำแข็งนี้
ทันใดนั้น! ร่างมนุษย์ในผลึกน้ำแข็งดูเหมือนจะขยับเปลือกตาเล็กน้อย!
…
“เจ้าเด็กโง่” ราชาปีศาจเจ็ดประทีปร้องเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า “เจ้าไก่อ่อนหลิน ถึงเวลาที่ต้องตื่นแล้ว ตอนนี้เจ้าได้ดูดซับแสงดวงดารา สามจิตเจ็ดวิญญาณควรถูกปลุกได้แล้ว เจ้าจะนอนอีกนานเพียงใด? ข้าเป็นถึงเทพเจ้า แต่ต้องมาปลุกเจ้าแรมเดือน เจ้าไม่รู้สึกสิ่งใดเลยรึ?”
“อา…”
ทันใดนั้นวิญญาณที่หลับใหลมานานก็ตื่นขึ้น
ทะเลจิตเกิดความปั่นป่วน ขณะที่แสงสีขาวควบแน่นล้อมรอบร่างกายหลินมู่อวี่ เขาลืมตาขึ้นมองรอบบริเวณด้วยความตื่นตกใจ “ข้าอยู่ที่ไหน?”