The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.400 นักล่าอสูร
EP.400 นักล่าอสูร
หลินมู่อวี่จ้องมองคนในชุดเกราะจำนวนมากกว่าครึ่งโหลปีนขึ้นไปบนตัวงูยักษ์พร้อมดาบในมือ พวกเขาใช้ขวานตัดเนื้อและกระดูกของมันออกเป็นชิ้นๆ และโยนลงบนพื้น ชายคนหนึ่งผ่าหัวของงูยักษ์ก่อนกล่าวออกด้วยความขุ่นเคือง “ศิลาวิญญาณหายไปแล้ว บ้าเอ๊ย! อย่าให้เต๋อเหวินผู้นี้รู้เชียวว่าใครเอาไป มันไม่ตายดีแน่”
“นั่น…” หลินมู่อวี่ที่ยืนดูอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กับมังกรน้อยส่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“โฮก!?”
เมื่อสังเกตเห็นคนแปลกหน้า เต๋อเหวินจึงรีบก้าวมาหาอีกฝ่ายทันที “เจ้าเป็นใคร?”
หลินมู่อวี่ประสานหมัดพร้อมกล่าว “ข้ามีนามว่าหลินมู่อวี่ เพิ่งมายังแดนโกลาหลนี้ได้ไม่นาน”
“โอ้?”
กลุ่มคนด้านหลังของเต๋อเหวินต่างพากันมามุ่งดูด้วยความตื่นเต้น เขายิ้มพร้อมกระชับดาบในมือ “แล้วเจ้ามาจากที่ใดล่ะพ่อหนุ่ม?”
“แผ่นดินที่ข้าจากมาถูกเรียกว่าดินแดนซุ่ยติง”
“ดินแดนซุ่ยติง?”
เต๋อเหวินเผยสีหน้าฉงนก่อนกล่าว “มีคนมาจากดินแดนซุ่ยติงอีกแล้ว”
“หือ?” หลินมู่อวี่ใจกระตุกวูบ “ท่านหมายความว่ามีคนมาจากดินแดนซุ่ยติงก่อนหน้านี้งั้นหรือ?”
“ใช่”
ใบหน้าของเต๋อเหวินเผยร่องรอยความกลัว เขากล่าว “ตาเฒ่านั่นไม่ธรรมดาเลย เขาเกือบทำให้แดนโกลาหลพินาศแล้วเชียว หากองค์จักรพรรดิมิได้ส่งปรมาจารย์วิญญาณทั้งสี่ไปกำราบเขา ข้าว่าแดนโกลาหลคงต้องตกเป็นของชวี…”
“ชายผู้นั้นมีนามว่าชวีฉู่งั้นหรือ?”
“จะ…เจ้ารู้จักเขางั้นรึ?”
“อ๋อ…ไม่รู้จัก …เพียงเคยได้ยินชื่อ” หลินมู่อวี่รู้ว่าควรวางตัวอย่างไร เขายิ้มก่อนเอ่ยต่อ “ท่านเต๋อเหวิน เหตุใดจึงต้องชำแหละซากงูเช่นนี้หรือ?”
“อืม สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่างู มันคือหนอนโกลาหล เหตุใดจึงต้องถามเช่นนี้ เจ้าเป็นใครกันแน่?” เต๋อเหวินถามอย่างไม่พอใจ
“อย่างที่ข้ากล่าว ข้าเดินทางข้ามพิภพมาจากแผ่นดินอื่น ว่าแต่…นี่คือสิ่งที่ท่านตามหาใช่หรือไม่?” หลินมู่อี่หยิบศิลาวิญญาณหนอนโกลาหลซึ่งเป็นศิลาวิญญาณอัคนีที่มีอายุราวห้าพันปีออกมาจากถุงสรรพสิ่ง เขายิ้มพร้อมกับนับมันบนมือและกล่าวออก “ท่านเต๋อเหวิน ข้าเพิ่งมาที่นี่และฆ่าหนอนโกลาหลไปโดยมิได้ตั้งใจ หากท่านต้องการศิลาวิญญาณนี้ ก็เพียงแค่ตกลงเป็นมิตรกับข้า คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าข้าจะกลับไปดินแดนที่จากมาได้ ระหว่างนี้ท่านก็ดูแลข้าไปก่อน ตกลงหรือไม่?”
เต๋อเหวินจ้องมองไปยังศิลาวิญญาณอัคนีพร้อมเผยยิ้ม “พ่อหนุ่มเจ้ารู้หรือไม่ว่าศิลาวิญญาณนี้มีค่าเพียงใด?”
“ข้าไม่รู้หรอก…”
“ฮ่าๆ สิ่งนี้สามารถเลี้ยงคนนับสิบได้เป็นร้อยๆ ปีเชียวนะ!”
“ไม่เป็นไร ท่านรับไว้เถิด!”
หลินมู่อวี่โยนศิลาวิญญาณให้อีกฝ่ายทันทีที่เอ่ยจบ
เต๋อเหวินคว้ามันไว้พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขก่อนกล่าวออก “พ่อหนุ่มหลินมู่อวี่ช่างใจกว้างนัก! ข้านับถือใจเจ้า…”
“ข้าเพียงทำตามข้อตกลงของเรา หากใช่ความเอื้อเฟื้อใดไม่”
หลินมู่อวี่กระโดดลงจากก้อนหินพร้อมมังกรน้อยที่ตามมาติดๆ เขากล่าวต่อ “ไม่กี่วันนี้ข้าคงต้องรบกวนท่านสักหน่อย ว่าแต่พวกท่านเป็นใครกัน?”
“พวกข้า? ฮ่าๆ…” เต๋อเหวินยิ้มพร้อมกล่าว “ในดินแดนแห่งนี้ พวกข้าเป็นที่รู้จักในนาม ‘นักล่าอสูร’ คนเหล่านี้…คือพี่น้องของข้า มานี่สิ นี่คือพ่อหนุ่มหลิน!”
กลุ่มนักล่าอสูรทั้งหมดประสานหมัดพร้อมกล่าว “ยินดีที่ได้พบขอรับ! ”
หลินมู่อวี่เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ยินดีที่ได้พบทุกคนเช่นกัน”
เต๋อเหวินจ้องมองตรายศบนปกเสื้อของหลินมู่อวี่ก่อนเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “พ่อหนุ่มหลิน เจ้าคงเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์มิน้อยเลยสิท่า เป็นถึงแม่ทัพตำแหน่งใหญ่โตใช่หรือไม่”
หลินมู่อวี่ยิ้มพลางกล่าวตอบ “ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่เห็นผิดเป็นชอบจนข้าได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารกว่าสองหมื่นนายในดินแดนซุ่ยติง ว่าแต่นักล่าอสูรอย่างท่านต้องล่าอะไรหรือ?”
“เจ้ามองขึ้นไปด้านบนสิ”
ทั้งสองเงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนเต๋อเหวินจะเริ่มอธิบาย “ดินแดนโกลาหลเป็นดาวเคราะห์ที่แตกสลาย ต้องขอบคุณผืนฟ้าแห่งนี้ที่ทำให้พวกเรายังสามารถอยู่รอด ทว่าหนอนโกลาหลบัดซบพวกนี้มักจะทะลุชั้นบรรยากาศมาและทำให้อากาศที่พวกเราหายใจลดน้อยลง ผู้คนที่อยู่ในชั้นแรกของแดนโกลาหลจึงไล่ฆ่าหนอนพวกนี้ โชคดีที่หนอนโกลาหลก็มีประโยชน์กับเราอยู่บ้าง ผิวของมันสามารถนำมาทำชุดเกราะได้ เนื้อก็นำมาทำอาหารได้ กระดูกของมันก็เป็นยารักษาโรค อีกทั้งศิลาวิญญาณจากมันยังสามารถนำไปขายให้แก่จอมมารและปรมาจารย์วิญญาณเพื่อแลกกับเหรียญทองจำนวนมากได้อีก พวกเราคือนักล่าหนอนโกลาหลมืออาชีพ!”
หลินมู่อวี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมเอ่ย “พวกหนอนโกลาหลอาศัยอยู่สูงยิ่ง ท่านล่าพวกมันได้อย่างไรกัน?”
“ก็ต้องหวังพึ่งโชครอพวกมันพลาดตกลงมาน่ะสิ”
“ว่าแต่…ท่านเต๋อเหวินเพิ่งกล่าวว่าที่นี่คือชั้นแรก เช่นนี้แดนโกลาหลก็มีหลายชั้นงั้นหรือ?”
“อืม…”
เต๋อเหวินกล่าว “อันที่จริงแดนโกลาหลนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองชั้นอย่างชัดเจน ชั้นแรกคือความว่างเปล่าซึ่งก็คือจุดเหนือท้องฟ้า ที่อยู่ของพวกหนอนโกลาหล ชั้นที่สองก็คือที่นี่ สถานที่ของคนจน นักล่าอสูร ทหารรับจ้างและผู้ฝึกตนอีกจำนวนเล็กน้อย ส่วนชั้นที่สามคือแกนของแดนโกลาหล เป็นที่ที่องค์จักรพรรดิ จอมมารและปรมาจารย์วิญญาณอาศัยอยู่”
“แล้ว…เกิดอะไรขึ้นกับชวีฉู่ที่ท่านว่าหรือ?”
“เขา…” เต๋อเหวินยิ้มพลางกล่าวขณะเหวี่ยงดาบในมือตัดเนื้อแมลงโกลาหล “อันที่จริงการที่ชวีฉู่พลัดหลงมายังแดนโกลาหลนั้นมิใช่เรื่องแปลกใหม่ ผู้คนแดนอื่นมากมายก็ทะลุมิติมาที่นี่เป็นเรื่องปกติ กระทั่งชวีฉู่ไปยั่วโมโหองค์จักรพรรดิเข้าจึงถูกจับขังในเหวมังกรโกลาหล ไม่รู้เขายังมีชีวิตรอดหรือไม่”
“เหวมังกรโกลาหล?”
หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงเครียด “แล้วชวีฉู่ทำเหตุใดให้องค์จักรพรรดิโกรธเคืองหรือ?”
เต๋อเหวินกล่าวตอบ “องค์จักรพรรดิทรงอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม เฮ…เจ้าก็ยังหนุ่มยังแน่นน่าจะเข้าใจดี พระองค์ทรงมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ซึ่งก็คือก่อนที่หญิงสาวในแดนโกลาหลจะออกเรือน ทุกนางจะต้องผ่านมือพระองค์ในคืนแรกของวันแต่งงานเสียก่อน ทว่าลูกสาวของบ้านที่ชวีฉู่ไปอาศัยอยู่ด้วยนั้นปฏิเสธที่จะทำตามกฎขององค์จักรพรรดิ นางจึงถูกจอมมารสังหาร ชวีฉู่ทนความโกรธไม่ไหวจึงฆ่าจอมมารตนนั้นทิ้งและนั่นทำให้พระองค์กริ้วเป็นอย่างมาก”
“กฎที่ทุกคนต้องปฏิบัติงั้นหรือ…” หลินมู่อวี่เผยสีหน้าฉงนก่อนกล่าว “องค์จักรพรรดิของท่านนั้นแข็งแกร่งถึงขั้นร่วมรักกับหญิงสาวได้ทั้งอาณาจักรเลยรึ?”
“แล้วเหตุใดจึงจะไม่ได้เล่า?”
เต๋อเหวินกล่าวต่อ “พ่อหนุ่ม แดนโกลาหลไม่ได้กว้างใหญ่อย่างที่เจ้าคิดหรอก ข้าจะบอกให้ว่าทั้งอาณาจักรมีคนไม่ถึงสองหมื่นเสียด้วยซ้ำ ว่าแต่เจ้ามาที่แดนโกลาหลนี่ได้อย่างไรกัน?”
“โอ้…ข้าตั้งใจจะเดินทางทะลุมิติเพื่อกลับไปยังโลก ทว่าคงมีอะไรผิดพลาดจึงมาโผล่ที่นี่เสียอย่างนั้น”
“โลก?” เต๋อเหวินเผยสีหน้าประหลาดใจ “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เจ้าคงมาจากแดนอื่นจริงๆ ในเมื่ออยู่ที่นี่เจ้าก็ไม่มีอะไรทำ อยากช่วยพวกข้าล่าหนอนโกลาหลดูหรือไม่พ่อหนุ่ม?”
“อืม ก็ได้…”
หลินมู่อวี่ที่ต้องการให้เต๋อเหวินเล่าเรื่องชั้นที่สามของแดนโกลาหลให้ฟังจึงต้องรับบทนักล่าอสูรอย่างเลี่ยงมิได้ อีกทั้งเขาก็เพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นานจึงไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะแม้แต่ชวีฉู่ผู้อยู่ในขอบเขตปราชญ์ขั้นแรกก็ยังพ่ายแพ้ต่อพวกปรมาจารย์วิญญาณของดินแดนแห่งนี้ เขาจึงต้องระวังตัวให้มาก มิเช่นนั้นคงตายตกเสียก่อนจะได้ช่วยชวีฉู่
…
ยามท้องฟ้าเริ่มมืดลง รถลากและเกวียนของเหล่านักล่าอสูรที่เต็มไปด้วยซากหนอนโกลาหลก็ทยอยกลับเข้าเมืองที่เป็นตลาดขนาดย่อม เนื้อของหนอนพวกนี้ขายดีใช่ย่อย เพียงไม่นานก็มีเหล่าคนจนหน้าตาซีดเซียวมาซื้อเนื้อจากพวกเขาเสียจนหมด เต๋อเหวินกล่าวออกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นี่พ่อหนุ่มหลิน ข้าจะลงไปชั้นล่างของแดนโกลาหลเพื่อขายศิลาวิญญาณ เจ้าอยากเห็นชั้นที่สามมิใช่หรือ จะไปกับข้าหรือไม่?”
“อืม เยี่ยมเลย” หลินมู่อวี่มองไปรอบตัวก่อนเอ่ยถาม “ว่าแต่ไปกันสองคนเท่านั้นหรือ?”
“ใช่”
เต๋อเหวินยิ้มพร้อมกล่าว “ของดีเยี่ยงนี้ ยิ่งน้อยคนรู้ก็ยิ่งดีมิใช่รึ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
ทั้งสองเดินออกจากเมืองไปได้ราวหนึ่งชั่วโมง ก่อนทักษะชีพจรวิญญาณของหลินมู่อวี่จะทำให้เขารู้สึกถึงรัศมีบางอย่างที่กำลังตามติดพวกเขาอยู่ไม่ไกล เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านเต๋อเหวิน มีใครบางคนตามเราอยู่”
“หือ?” เต๋อเหวินผงะไปครู่หนึ่ง
“รีบเดินต่อเถิด อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงทางเข้าชั้นล่าง?”
“ใกล้ถึงแล้วล่ะ อย่ากลัวไปเลยพ่อหนุ่ม”
“ฮ่าๆ ข้าเปล่าเสียหน่อย”
ทว่าไม่กี่นาทีหลังจากนั้น หลินมู่อวี่ได้แต่ยืนอึ้งกับสถานที่ตรงหน้า เบื้องหน้าของเขาไม่มีหน้าผาหรือหุบเหวใด หากแต่เป็นมหาสมุทรแห่งดวงดาวทอดยาวไม่มีจุดสิ้นสุด ดินแดนโกลาหลแห่งนี้เสมือนแผ่นกระเบื้องที่แตกสลายลอยเคว้งอยู่ในจักรวาล ภาพรูหนอนที่เขมือบพวกดาวเคราะห์ตรงหน้าของเขานั้นช่างน่าสะพรึงกลัวนัก
“นี่คือเส้นทางลักลอบเข้าชั้นล่าง”
เต๋อเหวินชี้ไปยังขั้นก้อนหินทอดยาวลงไปยังเบื้องล่าง ดูคล้ายบันไดสภาพผุพังที่ห้อยอยู่ริมหน้าผา เมื่อเห็นหลินมู่อวี่อึ้งไป เต๋อเหวินจึงยิ้มด้วยความประหม่าพลางกล่าว “อย่าตกใจไปเลยพ่อหนุ่ม เหล่านักล่าอสูรและทหารรับจ้างนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ชั้นล่างได้ หากต้องการจะขายศิลาวิญญาณก็ต้องลักลอบเข้าไปทางนี้”
“ไม่เป็นไร ลงไปกันเถิด”
หลินมู่อวี่ตบบ่าอีกฝ่ายพลางกล่าว “รีบไปดีกว่า เราถูกตามมาสักพักแล้ว มันต้องรู้แน่ว่าท่านมีศิลาวิญญาณ”
“ทำอย่างไรดีล่ะ?”
“ไม่เป็นไร ซ่อนมันไว้อย่าให้ใครเห็น ”
“ซ่อน…”
เต๋อเหวินหยิบศิลาวิญญาณขึ้นมาดูด้วยความกังวลก่อนปีนบันไดหินลงไปทีละขั้นอย่างระมัดระวัง หลินมู่อวี่ปีนตามอีกฝ่ายลงไปติดๆ ทว่าเขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองจักรวาลกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ด้านข้าง ยิ่งปีนลึกลงไป แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งลดน้อยตาม หากเขาพลาดสะดุดล้ม คงไม่พ้นต้องลอยเคว้งในจักรวาลที่ไม่มีจุดสิ้นสุดนี้เป็นแน่
………………………………..