The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - EP.423 ปิดล้อมเมืองซิงเจว๋
EP.423 ปิดล้อมเมืองซิงเจว๋
คราบเลือดแปดเปื้อนไปทั่วบริเวณจัตุรัสทางใต้ของเมืองซิงเจว๋ ซากศพสองพันสามร้อยแปดสิบสี่ศพถูกขนไปฝังนอกเมือง ม้าศึกของจักรวรรดิอี้เหอราวสามพันตัวกลายเป็นถ้วยรางวัลแห่งชัยชนะของหลินมู่อวี่
ในตอนบ่าย ม้าศึกและรถม้าเบียดเสียดกันเต็มถนนในเมืองซิงเจว๋ ทั้งทอง อัญมณี เมล็ดพืชและเหล็กต่างถูกเก็บจนหมดสิ้น รถม้าคันแล้วคันเล่าขนเสบียงจำนวนมากทยอยออกจากเมือง แม้เมืองซิงเจว๋จะรุ่งเรืองเพียงใด กองทัพก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน เหล่าปีศาจจะกลับมาเมื่อพวกมันชนะศึกในมณฑลหลิงหนานและหลังจากนั้นเมืองซิงเจว๋ก็จะกลายเป็นเมืองมรณะ
พลเรือนหลายแสนคนต่างพากันออกจากเมืองอย่างล้นหลาม แม้ในคราแรกเจ้าเมืองซิงเจว๋ยังคงยืนยันที่จะปกป้องเมือง ทว่าหลินมู่อวี่ได้เกลี้ยกล่อมให้เขาล่าถอยจนสำเร็จ โดยกล่าวว่าจะเขียนจดหมายถึงท่านหวังจื่อเพื่อส่งตัวเขาไปยังเมืองปู้กู่และรอจนกว่าหลินมู่อวี่จะกลับไปเจรจากับฉินอินในการมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้เขา
…
เหล่าผู้บัญชาการทั้งหลินมู่อวี่ เว่ยโฉวและฉินเหยียนต่างยืนบนกำแพงเมืองเฝ้าดูรถม้าเคลื่อนออกจากเมืองซิงเจว๋ไป
“ท่านผู้บัญชาการหลิน พลเรือนอพยพไปหมดแล้ว เราจะอยู่ที่นี่ต่อหรือขอรับ?”
“จะรีบไปไหน”
หลินมู่อวี่กล่าวตอบ
“จะใจเย็นอยู่ได้อย่างไร…” เฝิงสี่ด้านข้างกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านผู้บัญชาการหลิน เราตีกองทัพทหารม้าทั้งสามพันนายของจักรวรรดิอี้เหอแตกพ่ายแล้ว ในกำแพงเหล็กคงจะทราบข่าวในเร็ววัน หากเราไม่รีบกลับในตอนนี้ ข้าเกรงว่าเราอาจจะไม่ได้กลับไปอีก!”
ฉินเหยียนเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ท่านรอคอยบางสิ่งอยู่หรือขอรับ?”
“อืม…”
หลินมู่อวี่กล่าวคำออกอย่างจริงจัง “เว่ยโฉว เสบียงอาหารในเมืองพอให้กองทัพมังกรผงาดอยู่ได้อีกนานเท่าใด
?”
“เสบียงยังมีเหลือเฟือขอรับ อย่างน้อยก็เพียงพอให้คนกว่าสี่พันกินอยู่เป็นเวลาสามปี หากแต่…กองหญ้าเหลือไม่มากนัก อีกทั้งกองทัพของเราเป็นทหารม้าทั้งหมด ดูจากปริมาณที่หญ้าเหลืออยู่เราน่าจะอยู่เมืองซิงเจว๋ได้อีกหนึ่งเดือนขอรับ”
“พอแล้วล่ะ”
หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “จงดูแลม้าศึกให้ดีและฝึกใช้กล่องลูกศรทุกวัน ในขณะนี้ให้ใช้เมืองซิงเจว๋เป็นที่ตั้งค่ายพักกองทหารมังกรผงาดของเราไปก่อน”
“ขอรับ!”
…
ณ เมืองสายัณห์ มณฑลหลิงหนาน
“แย่แล้ว…แย่แล้วขอรับ!”
คนส่งสารวิ่งเข้ามาในโถงด้วยท่าทีตื่นตระหนก
หม่านหนิงผู้กำลังโอบกอดนางสนมรูปงามและชื่นชมการร้องระบำเบื้องหน้าถึงกับหยุดชะงัก เขากล่าวออกอย่างขุ่นเคือง “ตื่นตระหนกอะไรนัก! เลิกทำให้ข้าหวั่นใจแล้วกล่าวออกมาซะ!”
คนส่งสารประสานหมัดพลางกล่าวออกด้วยใบหน้าซีดเซียว “ท่านซีหยางโหว หน่วยสอดแนมเพิ่งรายงานมาว่ากองทหารม้าสามพันนายของผู้บัญชาการซ๋งเชาถูกกองทัพมังกรผงาดของหลินมู่อวี่ตีแตกพ่ายหมดแล้วขอรับ!”
“ว่าอย่างไรนะ!?” ซีหยางโหวผลักนางสนมออกจากอ้อมแขนก่อนลุกขึ้นยืน ไขมันบนใบหน้าสั่นกระเพื่อมด้วยโทสะ
คนส่งสารกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “กองทหารม้าทั้งสามพันนายของผู้บัญชาการซ๋งเชาถูกตีแตกพ่ายแล้วขอรับ… ยืนยันแล้วว่าหลินมู่อวี่นำทัพกองทหารมังกรผงาดเกือบห้าพันนายไปปักหลักอยู่ที่เมืองซิงเจว๋และยังคงไม่เคลื่อนไหวขอรับ”
“หลินมู่อวี่ ไอ้หมารับใช้จักรวรรดิ!”
ซีหยางโหวตบพนักพิงเก้าอี้ดังลั่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “เจ้าซ๋งเชา โง่เสียจนล้มเหลวไม่เป็นท่า หากเรื่องนี้ไปถึงหูราชาผู้พิชิตละก็…ฉิบหายกันหมดแน่ ข้าจะเอาหน้าไปที่ไหน! จงไปบอกแม่ทัพติงซี่ให้นำกองกำลังไปล้อมเมืองซิงเจว๋ หลินมู่อวี่บังอาจทำลายกองทัพของข้า มันจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”
ลู่จ่าวด้านข้างลุกขึ้นยืนก่อนประสานหมัด “ท่านซีหยางโหว เหตุใดจึงไม่ส่งข้าไปช่วยแม่ทัพติงซี่จัดการพวกมันล่ะขอรับ?”
หม่านหนิงยิ้มพร้อมกล่าวคำออก “แม่ทัพลู่จ้าวเปรียบเสมือนเสาหลักของจักรวรรดิอี้เหอ อีกทั้งกองทัพมังกรผงาดยังมีทหารเพียงห้าพันนาย ปล่อยให้แม่ทัพติงซี่จัดการเถิด สิ่งที่ข้าและท่านต้องทำก็มีเพียงนั่งรอหัวของหลินมู่อวี่เท่านั้น”
“ขอรับ ท่านโหวช่างปราดเปรื่องนัก!”
…
สามวันต่อมา แม่ทัพติงซี่นำกองทัพทหารกว่าห้าหมื่นนายออกจากกำแพงเหล็กไปล้อมเมืองซิงเจว๋
“พี่ใหญ่ เพราะท่านนั่นแหละที่กล่าวว่าไม่ต้องรีบร้อน เราจึงติดอยู่ที่นี่!” ฉินเหยียนหยิบทวนออกมาขณะต่อว่าหลินมู่อวี่
หลินมู่อวี่ยิ้มพลางทอดสายตาออกไปไกล “อย่ากังวลไปเลย”
“ท่านยังยิ้มอยู่งั้นรึ…” ฉินเหยียนกล่าวคำออกอย่างหงุดหงิด “ข้าเกรงว่าเราจะไม่รอดจริงๆ ก็ครานี้ ทหารม้ากว่าห้าหมื่นนายเหล่านี้เป็นกองทัพของติงซี่…หนึ่งในเจ็ดแม่ทัพของจักรวรรดิอี้เหอซึ่งชำนาญการรบยิ่ง เขาไม่ปล่อยเราไปแน่!”
“วางใจเถิด”
หลินมู่อวี่กล่าวต่ออย่างหนักแน่น “หากติงซี่นำทัพมาล้อมเมืองซิงเจว๋ อย่างไรเราก็สามารถฝ่าออกไปได้แน่”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ?” เว่ยโฉวถามด้วยความฉงน
หลินมู่อวี่ชี้ไปยังกองทัพจักรวรรดิอี้เหอซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ไมล์พร้อมอธิบาย “เจ้าลองดูสิ ติงซี่แบ่งทหารห้าหมื่นนายออกเป็นสี่ทิศเท่าๆกัน ดังนั้นหมายความว่าแต่ละทิศจะมีทหารราวหนึ่งหมื่นสองพันนาย ทว่ากองทัพมังกรผงาดของเรามีทหารม้าหนักทั้งหมดห้าพันนาย เจ้าคิดว่าทหารราบเพียงหมื่นจะสามารถสกัดการบุกทะลวงของทหารม้านักห้าพันนายได้หรือ? หากข้าเป็นติงซี่คงนำทหารมาอย่างน้อยแสนนาย”
“ท่านหมายความว่า…ติงซี่ไม่ได้มาเพื่อกำจัดเราหรือขอรับ?”
“อืม รอดูไปก่อนเถิด”
“ขอรับ!”
ในขณะนั้น พิราบสื่อสารพลันบินลงมาจากฟากฟ้า เว่ยโฉวหยิบสารมาอ่านก่อนยกยิ้มพร้อมกล่าวคำออก “มณฑลชางหนานส่งรายงานการรบมาขอรับ ผู้บัญชาการเซี่ยงอวี่นำทัพโจมตีเมืองหน้าด่านเทือกเข้าฉินเมื่อคืน โดยใช้เครื่องยิงหินยิงถังน้ำมันบีชสีดำโจมตีจนได้รับชัยชนะมา เรายึดเมืองหน้าด่านทั้งสี่ของเทือกเขาฉินในมณฑลชางหนานกลับมาได้แล้วขอรับ”
ฉินเหยียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เช่นนี้แล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่หากขอให้ผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ส่งทหารม้ามาเสริมกำลังทัพของเราภายในสองวันนี้! รีบส่งสารขนนกไปบอกเขาเถิดขอรับ!”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อาเหยียน เจ้าคิดว่าเซี่ยงอวี้จะมีน้ำใจส่งกองทัพมาช่วยเรางั้นรึ? ไม่จำเป็นหรอก ส่งสารขนนกกลับไปรายงานสถานการณ์ของเราที่เมืองหลันเยี่ยนเถิด”
“ขอรับ”
…
ต้องการจะข่มขู่เหล่าทหารมังกรผงาดเท่านั้น ทว่าสิ่งที่เป็นไปตามคาดคือเซี่ยงอวี้ไม่ส่งกองทัพมาช่วยพวกเขาแม้แต่น้อย ทั้งที่เขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแต่กลับปล่อยให้กองทัพมังกรผงาดถูกห้อมล้อมโดยจักรวรรดิอีี้เหอ
ณ เมืองหลันเยี่ยน
ฉินอินอยู่ในชุดเสื้อคลุมจักรพรรดินีขณะที่เปิดสารขนนกขึ้นมาอ่านอย่างใจจดใจจ่อ ทว่ากลับดูสง่างามไร้ที่ติจนเหล่าขุนนางถึงกับต้องกลืนน้ำลายตามกันไป แม้แต่ถังลู่ ถังเทียนและคนอื่นๆ ก็ต่างชื่นชมความงามของฉินอินหากแต่ก็ตระหนักดีว่าตนนั้นไม่คู่ควรกับนางแม้แต่น้อย
ชวีฉู่ผู้ยืนอยู่ด้านข้างองค์จักรพรรดินีกล่าวคำเบา “กองทัพของอาอวี่ถูกปิดล้อมที่เมืองซิงเจว๋ ฝ่าบาทคิดว่าควรทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินเงยหน้ามองดูเหล่าขุนนางก่อนกล่าวคำออก “กองทัพมังกรผงาดถูกล้อมอยู่ที่เมืองซิงเจว๋ มีท่านผู้บัญชาการคนใดเต็มใจจะนำกองทัพไปช่วยพวกเขาหรือไม่?”
ถังหลานประสานหมัดพร้อมกล่าว “ข้าแต่ฝ่าพระบาท กระหม่อมคิดว่าการที่กองทัพมังกรผงาดถูกห้อมล้อมเช่นนี้จะเป็นกลอุบายของจักรวรรดิอี้เหอพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาต้องจัดกองทัพทางทิศเหนือเพื่อสกัดกั้นกำลังเสริมของเราไม่ให้ไปถึงเมืองซิงเจว๋เป็นแน่ ทางที่ดีกระหม่อมคิดว่าเราควรส่งสารขนนกไปแจ้งท่านผู้บัญชาการหลินให้ฝ่าวงล้อมออกมา เขาเป็นมีสติปัญญาหลักแหลมอย่างที่ผู้ใดก็มิอาจเทียบเทียม อย่างไรเสียเขาต้องรอดกลับมาได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินเอ่ยถามคิ้วขมวด “มีคำแนะนำอื่นอีกหรือไม่?”
“มีพ่ะย่ะค่ะ” ซูมุ่หยุนประสานหมัดพร้อมกล่าวคำออก “ผิงหนานโหวได้นำกองทัพทหารกว่าแสนนายเข้ายึดเมืองหน้าด่านเทือกเขาฉินในมณฑลชางหนานได้สำเร็จลุล่วงแล้ว คาดว่ากองทหารม้าคงใช้เวลาเดินทางมากสุดเพียงสองวันจากที่นั่นถึงเมืองซิงเจว๋ ซึ่งกองทัพของผิงหนานโหวก็มีทหารม้าอย่างน้อยสามหมื่นนาย กระหม่อมมั่นใจว่าการโจมตีที่ไม่คาดคิดของทหารม้าราวสามหมื่นจะช่วยให้กองทหารมังกรผงาดฝ่าวงล้อมในเมืองซิงเจว๋ออกมาได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
ถังหลานหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านหยุนกงก็พูดไปเล่นไป นอกจากกองทัพหลิงเป่ยจะไม่คุ้นเคยเส้นทางในมณฑลหลิงหนานแล้ว การจัดการกับติงซี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องเตรียมกำลังเสริมไว้แล้วเป็นแน่ อีกทั้งกองทัพของผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ยังขาดแคลนอาหารและหญ้า ยิ่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ เหล่าทหารก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อของพวกเป็นผ้าฝ้ายเพื่อป้องกันความหนาวเย็น สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลาพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ?”
ซูมู่หยุนหรี่ตาของเขาก่อนกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “แต่มณฑลทั้งสองที่ติดกับเทือกเขาฉิน ไม่ว่าจะมณฑลชางหนานหรือมณฑลดาราต่างก็อยู่ในความดูแลของท่านหลานกงไม่ใช่หรือ? หากไม่ส่งกองทัพไปช่วยผู้บัญชาการหลิน ท่านต้องการเห็นเลือดของราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิองค์แรกหลั่งรินงั้นหรือ จะปล่อยให้องค์จักรพรรดินีสูญเสียพระเชษฐาเพียงคนเดียวของพระองค์ไปหรืออย่างไร?”
ถังหลานรีบกล่าวปฏิเสธทันใด “หาใช่เช่นนั้นไม่ กระหม่อมจะส่งสารขนนกไปให้ถังฉีผู้บัญชาการกองทัพเมืองเหลิ่งซิงเพื่อให้เขาเคลื่อนทัพออกจากเมืองหน้าด่านโม่ซงและไปช่วยผู้บัญชาการหลินทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ถังฉีรึ?”
ซูอวี่ขมวดคิ้วพลางกล่าว “ผู้บัญชาการถังฉีห่างเหินจากการรบมานานนัก เขาจะรับมือกับติงซี่ได้งั้นหรือ?”
“แล้วผู้ใดจะสามารถอีก?” ถังหลานถามกลับ
ซูอวี่ไม่กล่าวตอบคำใด ผู้บัญชาการที่มีชื่อเสียงก็เหลือเพียงไม่กี่คนในจักรวรรดิ อีกทั้งก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถต่อสู้กับติงซี่ได้ แม้กองทัพของหลินมู่อวี่ถูกห้อมล้อม เซี่ยงอวี้ก็ยังคงนิ่งเฉย ส่วนเฟิงจี้สิงก็ต้องช่วยปกป้องเมืองหลันเยี่ยน ขณะที่เหยาหยวนรับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยในแถบชายฝั่งแม่น้ำต้าวเจียง คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว…
…
ขณะที่ทุกคนนิ่งเงียบ ฉินอินลุกขึ้นยืนพร้อมกระชับด้ามกระบี่จื่อยินของนางก่อนกล่าวคำออก “เช่นนั้นข้าจะไปเอง เฟิงจี้สิง จงรวบรวมทหารม้าทั้งหมดของกองทัพจักรวรรดิเพื่อเคลื่อนทัพไปยังเมืองซิงเจว๋กับข้า!”
เฟิงจี้สิงประสานหมัด “น้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูมู่หยุนผงะ “…ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หากเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร ข้างนอกนั่นมีทั้งพวกกบฏอี้เหอและเหล่าปีศาจนับไม่ถ้วน พระองค์เสด็จออกไปคงไม่ดีแน่”
ฉินอินยกยิ้มก่อนกล่าว “ท่านตาโปรดวางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร”
ชวีฉู่ด้านข้างกล่าวคำเบา “ท่านหยุนกง อย่ากังวลไปเลยขอรับ พลังยุทธ์ของฝ่าบาททรงพัฒนาอย่างมากและได้ทะลวงสู่ขอบเขตนภาขั้นที่สามแล้ว อีกทั้งข้าและเฟิงจี้สิงจะเดินทางไปยังมณฑลหลิงหนานกับพระองค์ด้วย แม้แต่ลั่วหลานก็ไม่สามารถแตะต้องพระองค์ได้เแน่”
ซูมู่หยุนถอนหายใจอย่างหมดหนทาง “เช่นนั้นก็…ซูอวี่จงนำทหารกองทัพเขี้ยวกระบี่สามหมื่นนายไปกับฝ่าบาท”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ!” ซูอวี่กล่าวตอบอย่างกระตือรือร้น
…
ขณะนั้นสารถูกส่งมาจากเมืองไป๋หลิง หลังต่อสู้กับกองทัพปีศาจของเหล่ยฉงอยู่หลายอาทิตย์ กองทัพทหารม้ามังกรของหลงเซียนหลินและกองทหารกว่าเจ็ดหมื่นนายของฉินหวนต่างถูกอสูรเกราะสังหารตายตกไปกว่าครึ่ง กองทัพจักรวรรดิอี้เหอต้องถอยกลับกำแพงเหล็กทางทิศใต้อย่างไม่มีทางสู้
ทางเหนือของกำแพงเหล็กจึงกลายเป็นดินแดนของเหล่าปีศาจอีกครั้ง!
…………………………………..