The Black Card - ตอนที่ 387
ตอนที่ 387 – การใช้บัตรภาษาสัตว์ครั้งที่สอง
สือเหล่ยมองไปข้างหน้าและเห็นอาคารขนาดเล็กที่เขาไปมาเมื่อคืน มันอยู่ห่างออกไปในความมืดเกือบ 200 เมตร
ในเวลานี้ สือเหล่ยหมดหวังที่จะรับรู้การสนทนาระหว่างหยูปันจือและรองนายกไป่ไปแล้ว สือเหล่ยจำเป็นต้องรู้ว่าหยูปันจือต้องการอะไร เนื่องจากมันสามารถใช้ตัดสินได้ว่าเขาจะช่วยเว่ยชิงเยว่ได้อย่างไร
เขาลงมาจากรถพร้อมกับไป่ชู และฟุ้งซ่านเป็นอย่างมาก คนอย่างไป่ชูยังสามารถสังเกตถึงความฟุ้งซ่านของสือเหล่ย “พี่เขย…” บางทีเขาอาจจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีคนมากมายอยู่ภายในตัวอาคาร เขาจึงรีบเปลี่ยนวิธีการเรียกสือเหล่ย “พี่หิน เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ถึงรู้ไร้วิญญาณขนาดนี้? พี่กำลังคิดถึงสาวตะวันตกงั้นเหรอ? ไม่ต้องอายไป พวกเราต่างก็เป็นผู้ชาย”
สือเหล่ยพูดไม่ออก “สาวตะวันตกบ้านนายสิ ฉันรู้สึกมวนๆท้อง รีบเข้าไปเลย ฉันไปห้องน้ำก่อน”
ไป่ชูหัวเราะเสียงดังและตามสือเหล่ยเข้าไป
มันมีคนไม่มากเท่ากับเมื่อวาน บางทีบางคนอาจจะยังมาไม่ถึงเนื่องจากพวกเขามาเร็วกว่าเมื่อวานมาก
สือเหล่ยเดินตรงไปยังห้องน้ำเนื่องจากมันเป็นสถานที่เดียวที่เขาสามารถปิดประตูและคิดว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ต้องหาทางรู้ว่าหยูปันจือและรองนายกไป่คุยอะไรกันให้ได้
เขาเปิดหน้าต่างในห้องน้ำและมีสายลมโบกพัดเข้ามา ทำให้สือเหล่ยสั่นในขณะที่จิตใจของเขาชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ตาม การมีจิตใจที่ชัดเจนไม่ได้หมายความว่าสือเหล่ยจะสามารถคิดหาแนวทางที่ดีได้ แม้ว่าด้วยทักษะของสือเหล่ย ไม่ต้องพูดถึงการแอบฟังเลย แค่การแอบเข้าไปในเลานจ์แห่งนั้นก็ยังยาก
หลังจากคิดทุกวิถีทางแล้ว สือเหล่ยก็ยังคิดว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือบัตรศิลปะการต่อสู้ เลานจ์ถูกสร้างขึ้นเหมือนกับสวน กำแพงไม่ได้สูงนักและพื้นที่ก็ไม่ได้ใหญ่ด้วยตัวอาคารขนาดแค่สองชั้น เขาน่าจะสามารถลอบเข้าไปได้ด้วยทักษะของปรมาจารย์แห่งการต่อสู้ในความมืด ถ้าไม่ได้ผล เขาก็สามารถเตะต่อยคนได้อยู่ ในระยะสั้นๆ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าหยูปันจือและรองนายกไป่คุยอะไรกัน
สือเหล่ยหรี่ตาลงและพินิจความคิดของเขา ไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องลอง
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและมองไปแอพฯศิลปะการต่อสู้ หลังจากกดเข้าไปที่มัน เขาต้องการตรวจสอบว่ามีปรมาจารย์คนไหนที่มีทักษะตัวเบาที่สูงส่ง
ในเวลานั้น สือเหล่ยก็ได้ยินเสียงหอนดังออกมาจากข้างนอก ซึ่งชัดเจนราวกับอยู่ใกล้ๆกับเขา
สือเหล่ยโผล่หัวออกมาและมันก็ไม่ใช่สุนัขจรจัด มันมีปลอกคอสีขาวคล้องอยู่ที่คอ มันเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างแน่นอนและมันน่าจะวิ่งออกมาข้างนอกด้วยเหตุผลบางอย่าง
เมื่อมันเห็นสือเหล่ยมันก็แสดงถึงความเป็นศัตรูที่ลังเลอยู่ในสายตาของมันในขณะที่มันเห่าใส่สือเหล่ยสองครั้ง
สือเหล่ยส่ายหัวและเอื้อมมือออกไปใกล้ๆมัน ‘ฉันดูเหมือนคนที่ถูกสุนัขเกลียดงั้นเหรอ? ฉันยังไม่ได้ทำอะไรแกเลย แกมาเห่าฉันทำไม?’
เมื่อเขากำลังจะปิดหน้าต่าง สุขันก็เห่าออกมาอีกครั้งและสือเหล่ยได้หยุดลงในทันที…
สุนัข…
บอร์เดอร์ คอลลี่ [พันธุ์สุนัข] ซึ่งก็คือสุนัขในตำนานซึ่งเป็นพันธุ์ที่ฉลาดที่สุด
ฉันมีบัตรภาษาสัตว์ มันเป็นเดือนกุมภาพันธ์แล้วและโอกาสก็ได้รับการฟื้นฟู ฉันสามารถพูดกับมันและบอกให้มันไปแอบฟังการสนทนาได้
และนอกเหนือจากนั้นสถานที่แห่งนั้นยังเป็นเหมือนกับสวน ถ้าสุนัขไม่ได้ถูกพามาที่นี่เพราะเด็กๆพวกนั้น มันก็น่าจะมาจากเลานจ์นั่น ถ้าเป็นเช่นนั้น บอร์เดอร์ คอลลี่ตัวนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการเข้าไปในเลานจ์ แม้ว่ามันจะถูกพามาโดยเด็กๆพวกนั้น มันก็คงจะไม่มีใครใส่ใจที่สุนัขตัวนี้จะแอบเข้าไปเลานจ์
สือเหล่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและดวงตาของเขาได้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในขณะที่เขาเหลือบมองไปที่มัน
เขากดไปที่แอพฯภาษาสัตว์ในทันที เขากดไปที่ภาพของกล้องขนาดเล็กข้างปุ่มค้นหาและถ่ายภาพของคอลลี่
หางของคอลลี่เหยียดตรงด้วยอาการระวังภัยและกระโดดไปข้างหลังในทันที พร้อมกันนั้นมันได้เห่าใส่สือเหล่ยอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน สือเหล่ยก็ได้ยินเสียงพวกเด็กๆดังออกมาจากข้างนอก “บ้าเอ้ย เสียงเห่ามาจากที่ไหนกัน”
“ฉันจะออกไปดูให้”
ในเวลาเดียวกัน
ตัวเลือกได้ปรากฏขึ้นบนหน้าจอของสือเหล่ย และถามเขาว่าต้องการยืนยันว่าเขาจะใช้บัตรภาษาสัตว์หรือไม่ และถ้าเขาต้องการ เขาต้องการที่จะรู้ภาษาของบอร์เดอร์ คอลลี่หรือไม่
เมื่อสือเหล่ยกำลังจะกดยืนยัน เขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาสามารถเข้าใจสุนัขได้เพราะบัตรภาษาสัตว์ อย่างไรก็ตาม มันคงจะไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ไม่ว่ามันจะฉลาดแค่ไหน มิฉะนั้นมันจะมีบัตรนี้ไปทำไม?
นั่นหมายความว่าถ้าสือเหล่ยใช้บัตรภาษาสัตว์กับมัน มันก็หมายความว่าเขาสามารถใช้มันเป็นสายสืบได้เท่านั้น แม้ว่ามันจะเข้าไปในเลานจ์และนั่งอยู่ข้างๆหยูปันจือกับรองนายกไป่ มันก็ไม่สามารถบอกเขาได้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน
ความตื่นเต้นทั้งหมดของเขาดับลงราวกับมีคนราดน้ำเย็นบนศีรษะของเขา
เสียงข้างนอกห้องน้ำดังขึ้นเรื่อยๆ
“นายโง่รึเปล่า? มันเห่าขนาดนี้และนายยังไม่รู้อีกเหรอว่ามันอยู่ที่ไหน มันอาจจะกัดนายได้ พวกเรามีกล้องวงจรปิดอยู่รอบๆอาคาร ฉันติดตั้งกล้องไร้สายขนาดเล็กไว้ก็เพื่อการนี้นี่แหละ เดี๋ยวฉันดูผ่านทางโทรศัพท์ให้
“เชี่ย ทำไมมันเห่าดังขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่ามันจะตัวใหญ่พอดูเลย รีบเช็คเลย บางทีคืนนี้เราอาจจะมีเนื้อหมากินกัน…”
“นายบ้ารึเปล่า? นายกล้ากินเนื้อหมาจรจัดงั้นเหรอ?”
“มันแปลกๆ พูดตามทฤษฏีแล้ว แถวนี้ไม่ควรมีสุนัขจรจัดอยู่…”
“บ้าเอ้ย มันคือคอลลี่ มันต้องเป็นสัตว์เลี้ยงของใครบางคนแถวนี้แน่ๆ” เห็นได้ชัดว่าคนที่พูดนั้นเห็นภาพผ่านกล้องวงจรปิดแล้ว
“โอ้ เป็นมันนี่เอง ฉันเคยเห็นมันมาก่อน มันเป็นของเลาจน์นั่น” อีกคนพูดขึ้นมา
สือเหล่ยยิ้มเมื่อได้ยินเรื่องนี้ กล้องไร้สายขนาดเล็ก มันมีขนาดเท่ากับครึ่งนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น ไม่มีปัญหาในการซ่อนมันไว้ในสุนัข ด้วยเหตุนี้สือเหล่ยจึงแทบจะดูแบบสดๆได้เลย
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสุนัขตัวนี้เป็นของเลานจ์ เขาสามารถหาคนจากที่นี่เพื่อส่งมันกลับไป และคนจากเลานจ์จะต้องยินดีเป็นแน่
สือเหล่ยเปิดประตูห้องน้ำออกมาและกลับเข้าไปในห้อง
เมื่อรู้ว่าคอลลี่ตัวนั้นเป็นของเลานจ์ เด็กๆหลายคนก็วิ่งออกมาแล้ว อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่มีใครสามารถตามความเร็วของสุนัขได้ทัน แม้ว่าจะมีหลายคนล้อมมันไว้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถจับมันได้
สือเหล่ยมั่นใจ เขาเดินออกมาและโบกมือของเขาไปทางคอลลี่ “มานี่ มาหาฉันมา!”เขาพูดออกไปและคอลลี่ก็นิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด มันมีปฏิกิริยาเหมือนกันกับเสือที่สวนสัตว์ มันคิด ‘อะไรวะเนี้ย? เขาเป็นมนุษย์ เขาพูดภาษาของฉันได้อย่างไร? และเขาก็เป็นมืออาชีพในระดับแปดเป็นอย่างน้อย’
สือเหล่ยโบกมืออีกครั้ง “มาเร็ว ฉันจะพานายกลับบ้าน”
หลังจากนั้นคอลลี่ก็ไม่สนใจอะไรอีก สุนัขชนิดนี้เป็นมิตรกับมนุษย์ เมื่อพบว่ามีมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถพูดภาษาของมันได้โดยไม่รู้ว่าทำไม คำพูดของคนๆนั้นจึงดูมีมนต์ขลังและทำให้มันอยากที่จะทำตามคำสั่งของเขา ดังนั้นคอลลี่จึงกระดิกหางของมันและวิ่งเข้ามา อย่างไรก็ตาม มันก็ยังสามารถเห็นการป้องกันในสายตาของมันได้อยู่
สือเหล่ยกอดคอลลี่และลูบขนที่คอของมัน เขาพึมพำภาษาของมันอีกคำสองคำและคอลลี่ก็ลดการป้องการลงอย่างสิ้นเชิง มันซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของสือเหล่ยและเลียมือของเขาด้วยลิ้นขนาดใหญ่ของมัน