The Black Card - ตอนที่ 393
ตอนที่ 393 – แผนการเปิดเผย
สือเหล่ยโบกมือของเขา “พี่หยู ให้ผมเล่าใหม่เถอะ ความสัมพันธ์ของเราค่อนข้างซับซ้อน พี่ต้องการให้ตระกูลเว่ยตาย ผมต้องการช่วยเว่ยชิงเยว่ และพี่ก็ไม่ต้องการทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับผม พวกเราทุกคนชอบความรุนแรงกันงั้นเหรอ? พูดตามตรงนะพี่หยู อำนาจและความมั่งคั่งมันสำคัญขนาดนั้นจริงๆเหรอ?”
หยูปันจืออึ้งไปและเขาก็ดูเศร้าๆขึ้นมาในทันใด เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างเงียบงันและดื่มมันอย่างช้าๆ
“ปันจือไม่ยินดีที่จะสืบทอดประเพณีของตระกูล ซึ่งก็อกตัญญูอยู่แล้ว ถ้าปันจือไร้ความสามารถ มันก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม โอกาสได้มาอยู่ตรงหน้าของฉันแล้ว ดังนั้นปันจือจึงยินดีที่จะช่วยด้วยความเต็มใจของเขา”‘
“แล้วตระกูลเว่ยล่ะ? พวกเขาต้องกลายเป็นบันไดเพื่อความก้าวหน้าของตระกูลหยูโดยไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ?”
หยูปันจือส่ายหัวของเขา “ตระกูลเว่ยมั่งคั่งขึ้นมาโดยใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วอายุคนเท่านั้นและเว่ยชางฉิงควรจะรู้มันเมื่อเขาเลือกทางนี้ สิ่งที่เขาทำมีหลายอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ถ้าไม่มีฉัน มันก็จะมีคนอื่นที่ลากตระกูลเว่ยลงมา ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดีและเว่ยชางผิงก็เช่นกัน ฉันได้บอกกับเขาไปแล้วว่าถ้าเขายอมทิ้งทุกอย่างและหนีไปต่างประเทศ ฉันจะปล่อยเขาไปแบบปลอดภัย แต่เขาก็ไม่ยอมรับ เขามีความทะเยอทะยานและบอกว่าเขาจะสู้จนตาย เนื่องจากเขาเลือกที่จะตาย ฉันจึงต้องสนอง มันอาจจะจบลงเศร้าหน่อย แต่เนื่องจากเขาไม่ยอมเอง ฉันจึงต้องทำให้มันเป็นจริง ในทันทีที่พวกเราสู้รบปรบมือกัน มันจะไม่มีทางหวนกลับได้อีก”
สือเหล่ยนั่งนิ่งอยู่นานและเหมือนกันกับสือเหล่ย เขาจัดการเครื่องดื่มในแก้วอย่างช้าๆ
“แล้วถ้าพี่พลาดล่ะ?” สือเหล่ยหยุดไปชั่วขณะ “ผมหมายความว่า ถ้าพี่ยังปล่อยให้นายท่านเว่ยมีชีวิตอยู่และยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของพี่ได้ล่ะ?”
“งั้นพ่อของฉันก็คงจะยอมรับชะตากรรม”
ภายในห้องตกลงสู่ความเงียบงัน สือเหล่ยและหยูปันจือดูเหมือนจะสูญเสียคำพูดทั้งหมดไป
หลังจากผ่านไปนาน หยูปันจือก็ถอนหายใจออกมา “ไม่ว่ายังไง เมื่อกงล้อหมุดไปแล้วมันจะไม่มีทางหยุดได้อีก เว่ยชางฉิงและฉันเป็นแค่ตัวหมาก พวกเราไม่สามารถออกไปได้จนกว่าพวกเราจะถูกล้อม จับ และสังหาร สือเหล่ย นายอยากรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงมาที่นี่เพื่อคุยกับไป่หยวน?”
สือเหล่ยไม่พูดอะไรแต่มองไปยังหยูปันจือ แน่นอนว่าเขาอยากรู้ การสนทนาระหว่างทั้งสองทำให้เกิดความสับสนเป็นอย่างยิ่ง
“นายน่าจะรู้แล้วว่าฉันไปคุยกับพ่อของซงเมียวเมียวมาเมื่อวานนี้ แน่นอน พวกเราร่วมมือกัน เขาไม่ได้เห็นด้วยในทันทีแต่เขาก็รู้ว่ามันจะจบลงเช่นไร เมื่อเร็วๆนี้เสาหลักของตระกูลซงได้จากไปแล้ว มันจึงไม่มีความเป็นไปได้ที่จะก้าวหน้าต่อไป ในรุ่นต่อๆมาก็ยิ่งจะไม่มีความหวังและพวกเขาก็เตรียมที่จะเปลี่ยนแปลงตระกูลซง ดังนั้นการกลืนกินตระกูลเว่ยและตัดเค้กแบ่งกันจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตระกูลซง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของฉัน อย่างไรก็ตาม ไป่หยวนคือตัวหมากที่ไม่แน่นอนที่สุดในตระกูลซง ฉันมาหาเขาเพื่อทำให้ตระกูลซงมีข้ออ้างในการกำจัดเขาออกไปก่อน บางทีตอนนี้ไป่หยวนอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่น่าเชื่อถือ เขาอาจจะไม่ทำอะไรกับฉัน แต่ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ มันก็เป็นความจริงที่ว่าเขาได้ติดต่อกับฉันเป็นการส่วนตัว มันก็เหลือแค่ให้ฉันเอ่ยปาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เขาก็จะถูกปรักปรำเพราะมัน เมื่อมันเกิดขึ้น ตระกูลเว่ยก็จะกำจัดเขาก่อนโดยไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลซงลงมือ ไป่หยวนคิดว่าตระกูลซงจะไม่รู้ว่าเขาได้ติดต่อกับคนอื่นและเขาก็เป็นกบก้นบ่ออย่างแท้จริง ดังนั้นแม้ว่าเลขาธิการซงจะไม่บอกฉัน ฉันก็เข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึง ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่เพื่อกำจัดอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขา คนนอกที่เติบโตขึ้นมานอกตระกูลซงลงท้ายก็เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้”
สือเหล่ยประหลาดใจ เมื่อเขากำลังจะอ้าปาก เขาก็ตระหนักได้ถึงกับดักภายในคำพูดของหยูปันจือขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเหมือนกับการที่คทาพยายามขุดหลุมดักเขา
หยูปันจือไม่ได้ระบุอะไร แต่สือเหล่ยก็เข้าใจทุกอย่างเพราะเขาได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง
พูดตามปกติ สือเหล่ยต้องทำเป็นสับสนกับสิ่งที่หยูปันจือเพิ่งกล่าวถ้าสือเหล่ยไม่รู้ว่าหยูปันจือและไป่หยวนคุยอะไรกัน
สือเหล่ยแสร้งทำเป็นสับสน “พี่หยู พี่หมายความว่ายังไง? พี่กำลังจะบอกว่าพี่มาที่นี่เพราะรองนายก เนื่องจากตระกูลซงได้ตัดสินใจที่จะหันหลังให้กับการเมืองและเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่วงการธุรกิจอย่างนั้นเหรอ? แต่เพราะไป่หยวนรู้ความลับของตระกูลซงมากเกินไปและเขาก็ไม่ใช่คนที่มั่นคง พวกเขาจึงต้องการกำจัดเขาออกไปก่อนงั้นเหรอ? ผมสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ แต่พี่หมายความว่าไงที่พี่บอกว่ารองนายกไป่คิดว่าพี่เป็นคนดื้อดึงและไม่สามารถเชื่อถือได้? ใครจะโง่พอที่คิดว่าพี่เป็นคนแบบนั้น? เขาเป็นรองนายกเทศมนตรี เขาจะบื้อขนาดนั้นได้ยังไง?”
หยูปันจือเฝ้ามองท่าทางของสือเหล่ยอย่างใกล้ชิด และสือเหล่ยก็ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นอะไรหรือไม่ หยูปันจือถอนหายใจ “นายไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียด ฉันมาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ หลังจากตรุษจีน มันจะมีข่าวใหญ่ในจี้โจว หลังจากวันหยุดตรุษจีน พวกเราจะทำให้เขาได้ลิ้มรสตรุษจีนสุดท้าย นายจะรู้เอง”
“พี่หยู พี่บอกว่าพี่ไม่กลัวที่จะบอกให้ผมรู้ แต่กลับทำให้ผมสงสัยโดยการบอกผมเพียงครึ่งเดียว” ในความเป็นจริง สือเหล่ยรู้แล้วว่าหยูปันจือหมายความถึงอะไร แต่เขาก็ยังต้องแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
สายตาของหยูปันจือเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขาก็ยิ้มออกมา “เว่ยชางฉิงก่ออาชญากรรมมานานกว่า 10 ปีแล้ว เขาโหดร้ายมากพอที่จะฆ่าคนทั้งครอบครัว สิ่งที่ฉันกำลังทำคือการช่วยตำรวจของจี้โจวปิดคดีนี้และทำให้เว่ยชางฉิงถูดตัดสิน เว่ยชางฉิงต้องชื่อลูกชายของเขาได้ดี เว่ยจินกัง ฮ่าฮ่า จินกัง วชิระพิโรธมีพลังอำนาจมหาศาลก็จริง แต่ถ้ามันมีช่องโหว่เล็กๆขึ้นมาล่ะก็ มันก็ไร้ค่า”
“พี่ชายของเว่ยชิงเยว่? มากกว่าสิบปี? ไม่ใช่ว่าเขายังเป็นวัยรุ่นอยู่เหรอ?”
“สิบแปดหรือสิบเก้า เว่ยจินกังอายุมากกว่าเว่ยชิงเยว่เกือบสิบปี” หยูปันจือท้าวแขนกับโซฟาเบาๆ “จะฆ่านกต้องเด็ดปีกของมันก่อน”
สือเหล่ยถอนหายใจ คดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหมายความว่าเว่ยจินกังต้องตาย เขาต้องรับสิ่งนี้ไว้เองและความขับข้องใจลึกๆของตระกูลจึงจะสามารถปลดปล่อยออกไปได้
“พี่หยู พี่บอกผม พี่ไม่กลัวว่าผมจะเอาไปบอกนายท่านเว่ยเพื่อให้เขาเตรียมตัวอย่างนั้นเหรอ?”
หยูปันจือหัวเราะ “นี่คือแผนการเปิดเผย มันไม่มีอะไรที่ฉันไม่สามารถบอกได้แผนการทั้งหมดที่ฉันใช้กับตระกูลเว่ยเป็นแผนการเปิดเผย แม้ว่าเว่ยชางฉิงจะรู้ แต่เขาก็ทำได้เพียงอ้อนวอนคนจากเบื้องบนให้หยุดฉันและไม่ให้ฉันดำเนินการต่อ ไม่ว่าเขาจะเตรียมพร้อมแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนเรื่องนี้ได้”
“ดังนั้นไม่ว่าพี่จะพยายามลากตระกูลซงหรือคนอื่นเข้ามาหรือไม่ มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่ตระกูลเว่ยนั้นจะไม่มีโอกาสโต้กลับเพราะไม่มีใครช่วยพวกเขาได้อยู่แล้วใช่ไหม?”
หยูปันจือพยักหน้า “นายเข้าใจซะที”
“เข้าใจบ้านพี่สิ!” สือเหล่ยปั่นป่วนขึ้นมาในทันใด “งั้นเว่ยชิงเยว่จะไปที่ตู๋ตู๋ (เมืองที่พ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่อยู่) ทำไม?! พี่กำลังทำให้พวกเราอยู่คนละฝากโลกกันและไม่สามารถติดต่อกันได้!”
“ฉันแค่พยายามดึงดูดคนเข้ามาเฉยๆ ไม่ได้มีแผนอะไร ตระกูลเว่ยจะต้องพยายามขัดขืนและเว่ยชิงเยว่ก็ทำได้เพียงแค่ไปขอร้องพ่อบุญธรรมของเธอ อย่างไรก็ตาม เขาก็เฝ้ามองฉันอยู่ เพื่อตรวจสอบว่าฉันสามารถรวมคนได้เท่าไร”
“ถ้าพี่ไม่ได้ติดต่อกับคนมากเท่าไร มันก็จะไม่แข็งแกร่งเท่ากับอำนาจของเขา ถ้าพี่รวมคนได้มาก ปัญหาก็จะตกมาอยู่ที่ว่าความมั่งคั่งของตระกูลเว่ยนั้นจะแบ่งสรรบันส่วนกันอย่างไรใช่ไหม?” สือเหล่ยตอบด้วยความรังเกียจ
หยูปันจือระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ความนุ่มนวลก่อนหน้านี้ได้หลายไปอย่างสิ้นเชิงในขณะที่เขาดูราวกับคนที่บ้าคลั่ง
ดวงตาของหยูปันจือเต็มไปด้วยน้ำตาจากการหัวเราะ “ใครบอกว่ามีเพียงแค่ความมั่งคั่งของตระกูลเว่ย? ยังมีของฉันด้วย นอกเหนือจากอันที่อยู่ภายใต้ชื่อของฉัน ฉันได้สั่งให้เหยาเค่อจีจัดการให้คนอื่นๆแล้ว พวกเขาสามารถถอนตัวออกไปได้เมื่อใดก็ได้”
ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของสือเหล่ยจมดิ่งขึ้นมาในทันใดกับคำพูดของหยูปันจือ