The Black Card - ตอนที่ 370
ตอนที่ 370 – มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นในทันที
สือเหล่ยพูด “คนที่ผมหามาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา เขามีประสบการห้าครั้งในการสร้างธุรกิจในซิลิคอนวัลเลย์ แต่ละบริษัทใช้เวลาประมาณ 1 ปีและมีมูลค่าอย่างน้อยมากกว่าพันล้านในตลาด แน่นอน ผมหมายถึงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ”
เจิ่นซูตะลึงงัน เขาตกใจกับคำว่า “ห้าครั้ง” “อย่างน้อย” และ “พันล้านดอลลาร์”
แม้ว่าสภาพแวดล้อมในการลงทุนของอเมริกาจะเข้มแข็งกว่าที่นี่มาก แต่มันก็ยังเป็นเป้าหมายที่ไม่น่าเชื่อสำหรับเจิ่นซูแม้ว่าเขาจะเปลี่ยนเงินจำนวนนั้นเป็นเงินหยวนแล้วก็ตาม บริษัทของเขาเพิ่งผ่านพ้นปัญหามาได้ อีกนานแค่ไหนกันกว่าที่มันจะมีมูลค่าเกินกว่าพันล้าน?
คนผู้นี้เหมือนดั่งเทพเจ้าสำหรับเจิ่นซูอย่างเห็นได้ชัด
เจิ่นซูไม่มีข้อสงสัยใดๆและรีบตอบกลับในทันที “การประเมินมูลค่าต่ำที่สุดของบริษัทคือสิบล้าน เขาต้องมีเงินสดอย่างน้อยหนึ่งล้านสำหรับยกแรก ผมจะมอบตำแหน่งซีอีโอและดัชนีหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ให้กับเขา หลังจากทำงานเป็นเวลาสองปีเต็ม มันจะเปลี่ยนเป็นจำนวนหุ้นที่อยู่ในหน่วยบริหารของเขาโดยอัตโนมัติ”
สือเหล่ยตอบตกลงและวางสาย
เมื่อเขากลับมาที่ห้อง เจียงหยวนเชาก็โทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับสือเฉียง เขาแค่ต้องบอกเจียงหยวนเชาถึงการประเมินมูลค่าที่มากที่สุดที่เขาสามารถยอมรับได้ มันเป็นแค่ตัวเลข และเป็นธรรมดาที่มันจะยังไม่ได้ใช้ในระหว่างการสนทนาของสือเหล่ยและเจิ่นซู
“ฝั่งผมไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับการประเมินมูลค่าแล้ว” สือเหล่ยพูดหลังจากที่นั่งลง
เจียงหยวนเชายิ้ม “ไททันเป็นคนจริงจังและเขาก็ไม่ได้มีอะไรแผนการอะไร การประเมินมูลค่าของบริษัทคือสิบแปดล้าน แน่นอนว่าเขาบอกว่าบริษัทนี้ไม่ค่อยคุ้มค่านักในตอนนี้ แต่มันจะใช้เวลาอย่างน้อยสักสามเดือนสำหรับการเริ่มยกแรกตามปกติ เพราะฉะนั้นเขาจึงรีบเร่งไปสักหน่อยทำให้ไม่อาจประเมินมูลที่แท้จริงของยกแรกได้ ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง”
สือเหล่ยและไม่มีอะไรจะพูดอีกและตัดสินใจ “งั้นก็ให้สือเฉียงไปที่หวูตงได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เพื่อเข้าไปหาเจิ่นซูได้เลย ผมจะให้เบอร์ติดต่อของสือเฉียงกับเจิ่นซูไว้ โอ้ ใช่ พี่มีรูปของสือเฉียงในโทรศัพท์ไหม?”
เจียงหยวนเชาส่งรูปของเขาและสือเฉียงไป แต่สือเหล่ยก็ตัดภาพของเจียงหยวนเชาออกอย่างไร้ความปรานี
จากนั้นเขาก็ส่งภาพไปให้กับเจิ่นซูพร้อมด้วยชื่อของสือเฉียงและเบอร์โทรศัพท์ เขาเสริมไปว่า “คนๆนี้เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เขาจะไปที่หวูตงในวันพรุ่งนี้ เตรียมตัวต้อนรับเขาไว้ด้วยล่ะ”
พวกเขากินอาหารเที่ยงกันจนเสร็จและเพราะมันเป็นเวลาเที่ยง พวกเขาจึงไม่ได้ดื่มกันมากจนเกินไป เพราะพวกเขาต้องไปเอารถในตอนกลางคืน พวกเขาจึงหาสนามยิงปืนและไปอยู่ที่นั่นกันตลอดทั้งบ่าย
สือเหล่ยไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้และรู้สึกไม่ดีเท่าไร เขายิงถูกไปแค่สองเป้าด้วยโชคของเขาตลอดทั้งช่วงบ่ายและหูเซียวหัวกับเจียงหยวนเชาก็พากันหัวเราะใส่เขา
“สือเหล่ย ฉันคิดว่านายจะทำได้ทุกอย่างและรู้ทุกสิ่งซะอีก มีบางอย่างที่นายไม่สามารถทำได้อยู่จริงๆ” หูเซียวหัวและเจียงหยวนเชาหัวเราะสือเหล่ย สือเหล่ยคิด ‘อย่าให้ฉันได้บัตรยิงปืนจากบัตรสีดำละกัน ถ้าถึงเวลานั้นพวกนายสองคนตายตั้งแต่ 50 เมตรแรกแล้วแน่ๆ’
สำหรับงานแต่ง เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องอยู่ที่งานเลี้ยงในเวลาประมาณสี่โมงเย็น เนื่องจากพวกเขาต้องไปเตรียมการแต่งหน้า เมื่อถึงเวลาประมาณสี่โมงครึ่ง พวกเขาจึงเริ่มออกมาต้อนรับแขก ดังนั้นรถที่พวกสือเหล่ยให้ยืมจึงถูกจอดไว้ที่โรงแรม ลุงของสือเหล่ยโทรมาหาเขาและบอกว่าพวกเขาสามารถมาเอารถไปได้ตลอดเวลา
หลังจากออกมาจากสนามยิงปืนแล้ว สือเหล่ยและคนอื่นๆจึงเดินทางไปเอารถ สือเหล่ยขอบคุณพวกเขาอีกครั้งและส่วนใหญ่ได้กลับไป
มีแค่สือเหล่ย เจียงหยวนเชา และหูเซียวหัวเท่านั้นที่ยังอยู่ พวกเขาหาโรงแรมติดแม่น้ำและเตรียมพร้อมสำหรับมื้อค่ำ
เจิ่นซูโทรมาอีกครั้งและถามด้วยความตื่นตระหนกและสับสน “คุณสือครับ ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่าคนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดจะมาพรุ่งนี้เหรอ? แต่เขามาถึงแล้วและผมกำลังจะไปรับเขา ผมยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย!”
สือเหล่ยอึ้งไปสักพัก เขานึกขึ้นมาได้ว่าถึงแม้สือเฉียงจะดูใจเย็น แต่เจียงหยวนเชาก็ได้บอกว่าลูกพี่ลูกน้องของเขานั้นตรงกันข้าม เขาน่าจะคิดว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องลากออกไปอีกวัน
ดังนั้นสือเหล่ยจึงบอกเจิ่นซูว่าไม่ต้องเป็นกังวล และเขาก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไร ตราบใดที่เขาไปรับและมอบสิ่งต่างๆที่เขาควรจะมอบให้ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เจิ่นซูทำตามคำแนะนำของเขา
สือเหล่ยวางสายและแสดงความคิดเห็น “พี่หยวนเชา สือเฉียงนี่สุดจริงๆ เราตัดสินใจกันตอนบ่ายและเขาก็ไปถึงหวูตงแล้ว”
เจียงหยวนเชาหัวเราะ “นั่นแหละเขา เขามีความสามารถมากๆและอย่าถูกหลอกด้วยลักษณะของเขาล่ะ เขาเป็นคนบ้างานมาก ฉันนึกไว้แล้วว่าวันนี้คนที่ชื่อเจิ่นซูจะเป็นยังไง”
ทั้งสามยิ้มให้กับและสั่งอาหารและเหล้ามา
ในขณะที่พวกเขาดื่ม โทรศัพท์ของหูเซียวหัวก็ดังขึ้น
หูเซียวหัวเหลือบมองและยิ้ม “ไททัน”
“เฮ้ ไททัน ฉันได้ยินมาว่านายรอไม่ไหวและบึ่งไปหวูตงแล้วงั้นเหรอ ทำไม? คนจากบริษัทนั้นเป็นลมไปแล้วรึยังไง?” ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากสือเฉียงไปแล้ว เขาก็น่าจะเข้ารับตำแหน่งโดยทันทีและเริ่มต้นทำงานเลย เขากลัวว่าสือเฉียงจะเรียกพนักงานทั้งหมดมาประชุมในทันทีที่เขามาถึง
สือเฉียงพูดผ่านโทรศัพท์ “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาเล่นตลกกับนายนะ เซียวหัว ตระกูลของนายจะเอาด้วยไหม? ถ้านายคิดที่จะลงทุนด้วยสักหน่อย ฉันจะให้เวลาสิบนาทีในการโอนเงินหนึ่งล้านเข้ามาและฉันจะมอบหุ้นให้ห้าเปอร์เซ็นต์”
หูเซียวหัวอดไม่ได้ “ไททัน นายไม่โหดไปหน่อยเหรอ? ฉันอยู่กับสือเหล่ยและลูกพี่ลูกน้องของนายมาตลอดทั้งวันและฉันก็ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันอย่างชัดเจน การประเมินมูลค่าของบริษัทแค่ประมาณ 18 ล้านเท่านั้น และนายยังได้เพิ่มมันขึ้นเพื่อเห็นแก่สือเหล่ย มันไม่กี่ชั่วโมงเอง นายกลับเพิ่มมันไปอีกสองล้านแล้วเหรอ?”
“หุบปากไปเลย ตอนนีฉันเข้าร่วมบริษัทนี้แล้ว นายคิดว่าฉันมีค่าไม่ถึงสองล้านหยวนงั้นเหรอ? ฉันจะบอกให้นะ ถ้าฉันมีทุนพอ ฉันคงจะไม่ชวนนายหรอก”
หูเซียวหัวยิ่งพูดไม่ออกมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สือเฉียงพูดก็มีเหตุผล ก่อนที่เขาจะไป บริษัทไม่ได้มีผู้จัดการที่ดี ด้วยสือเฉียงในตอนนี้ มันก็มีเหตุผลที่จะเพิ่มการประเมินมูลค่าไปอีกสองล้านหยวน
หูเซียวหัวตอบกลับโดยไม่ลังเล “ได้ แค่หนึ่งล้าน ฉันไม่ต้องคุยกับพ่อก็ยังได้ เดี๋ยวโอนไปให้แป๊ปนึง เอาบัญชีมา”
สือเฉียงวางสายไปโดยไม่พูดอะไรและรีบส่งเลขบัญชีมา ซึ่งก็คือบัญชีบริษัทของเจิ่นซู
หูเซียวหัวส่งเลขบัญชีต่อไปยังเลขาของเขาและบอกให้โอนเงินหนึ่งล้านหยวนไปยังเลขบัญชีนี้เดี๋ยวนี้
หลังจากเขาจัดการเสร็จแล้ว หูเซียวหัวก็ดื่มไวน์ไปหนึ่งแก้วและกล่าวว่า “หยวนเชา ถ้าไททันเผาเงินของฉัน นายจะต้องคืนมันให้กับฉัน!”
เจียงหยวนเชากรอกตา “นั่นมันเรื่องของนายกับเขา ไม่ต้องมาพูดเลยว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้อยของฉัน แม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายของฉัน มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับฉัน ฉันยังไม่เคยได้แม้แต่เศษเงินของนาย ทำไมฉันต้องไปรับผิดชอบให้นายด้วย?”
หูเซียวหัวก่นด่าและสือเหล่ยก็ได้ยินมันไม่ชัดเจนเพราะโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นอีกครั้ง
เขาตรวจสอบและพบว่ายังคงเป็นสือเฉียง สือเหล่ยรับสายและพูด “เฮ้ คุณมีอะไรรึเปล่า? ทำไมคุณถึงไม่บอกมากับพี่เซียวหัว?”
“ในฐานะซีอีโอของบริษัท ฉันต้องบอกให้นายมอบเงินทุนสำหรับการลงทุนต่อไปให้ฉันโดยเร็วที่สุด”
สือเหล่ยปฏิเสธในทันที “เป็นไปไม่ได้ ทุกๆสิ่งตามสัญญาสิ” โดยไม่ให้โอกาสสือเฉียงอีก สือเหล่ยวางสายใส่ เขาหันไปหาเจียงหยวนเชา “ลูกพี่ลูกน้องของพี่โหดเป็นบ้าเลย เขาเข้ายึดบริษัทและต้องการให้ผมรับผิดชอบ”
เจียงหยวนเชายักไหล่และปัดความรับผิดชอบออกไปทั้งหมด “คำเดิม ไม่ต้องมาบอกฉันเลยเพราะมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับฉัน”