The Black Card - ตอนที่ 375
ตอนที่ 375 – ดื่ม ร้องเพลง ปล่อยมันออกมาให้หมด
สือเหล่ยไม่รู้ว่าเว่ยฉิงมาอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นว่าสือเหล่ยไม่ได้โทรศัพท์อยู่ เว่ยฉิงจึงเดินเข้าไปหาเข้าและตบไหล่เขาเบาๆ
บางทีสือเหล่ยอาจจะดูใจลอยมากเกินไปจนเว่ยฉิงคิดไปว่าเขาโทรไม่ติด
“อย่าคิดอะไรเลย มันอาจจะไม่ใช่แบบที่เราคิด นายท่านเว่ยคือคนระดับไหนกัน เขาคงจะไม่รับสายใครง่ายๆ”
สือเหล่ยหันกลับไปมองเว่ยฉิง และส่ายหัว “มันเป็นเพราะฉันโทรติด ฉันจึงกังวลมากหลังจากที่ได้คุยกับนายท่านเว่ยอยู่นาน มีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลเว่ยจริงๆ!”
สีหน้าของเว่ยฉิงเปลี่ยนไปในทันที…
ตระกูลเว่ยทั้งสองฟังดูคล้ายกันมาก แต่ความสำคัญและอิทธิพลของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเมื่อเว่ยชิงเยว่ติดต่อมาหาเว่ยฉิงเพื่อบอกว่าพวกเขาสามารถร่วมมือกันในโครงการโครงการหนึ่งได้ ตระกูลเว่ยของเว่ยฉิงจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลเว่ยของเว่ยชิงเยว่เร็วขนาดนี้หลังจากที่ทั้งสองตระกูลเริ่มร่วมมือกัน
ตระกูลของเว่ยฉิงเริ่มเป็นกังวลว่าความร่วมมือของพวกเขาจะส่งผลอะไรไหม
แน่นอนว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าตระกูลเว่ยจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ฝ่ายตรงข้ามก็คงจะปลดปล่อยความโกรธลงมาที่ตระกูลที่ร่วมมือกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติแบบนี้ไว้ได้
เว่ยฉิงรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสือเหล่ยและเว่ยชิงเยว่อย่างไม่มากก็น้อยจากมุมมองของเพื่อน เขาไม่อยากให้เว่ยชิงเยว่เจอปัญหาเช่นกัน ไม่ว่ายังไง ผู้หญิงคนนั้นก็ง่ายที่จะเข้าถึงด้วยการใช้สือเหล่ยเป็นสื่อกลาง เว่ยฉิงยังถือว่าสือเหล่ยเป็นเพื่อนที่ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้อะไรเกิดขึ้นกับสือเหล่ยเพราะเรื่องนี้
แม้ว่าเว่ยฉิงจะไม่สามารถติดต่ออะไรกับเว่ยชิงเยว่ได้มานานแล้ว แต่มันก็ยังมีข้อมูลบางอย่างอยู่ ซึ่งทำให้เว่ยฉิงคิดว่ามันเป็นความบังเอิญ อย่างไรก็ตาม สือเหล่ยก็ยืนยันมันหลังจากได้โทรหาหยูปันจือและนายท่านเว่ยแล้ว
มันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
“ปัญหาแบบไหนกันที่ทำให้ทั้งตระกูลเว่ยตกอยู่ในอันตราย?” เว่ยฉิงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อเช่นเดียวกับสือเหล่ยเมื่อไม่นานนี้
สือเหล่ยส่ายหัว “นายท่านเว่ยไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันสามารถยืนยันได้ว่ามีพายุกำลังก่อตัวขึ้นจากเบื้องบน” สือเหล่ยกอดอก เขาไม่ได้สวมแจ็คเก็ตเมื่อเขาออกมาโทรศัพท์ และเขาก็ไม่สามารถทนต่อความหนาวได้
เว่ยฉิงรีบพูด “ไปคุยกันข้างในเถอะ ที่นี่ลมแรงไป”
สือเหล่ยพยักหน้าและทั้งสองได้เดินกลับไปที่ห้องโถงเคียงข้างกัน
ทันทีที่เขานั่งลง สือเหล่ยได้หยิบขวดวิสกี้ขึ้นมา และรินไปครึ่งแก้ว จ่ากนั้นก็กระดกมัน
ดวงตาของเขายังคงเป็นสีแดงก่ำ สือเหล่ยมองไปที่เว่ยฉิง “สิ่งที่ฉันพูดกับนายไม่ควรถูกเผยแพร่ออกไป ไม่แม้แต่ตระกูลของนาย นายควรจะรู้ว่าถ้านายไม่ได้ข้อมูลอะไรมา มันหมายความว่าระดับของตระกูลของนายยังไม่สูงพอจะเป็นส่วนหนึ่งของพายุ ถ้านายรู้มันก่อน นายจะดึงปัญหาเข้ามาใส่ตัวซะเปล่าๆ”
เว่ยฉิงตัวสั่นและหลังของเขาได้เต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
ถ้าสือเหล่ยไม่เตือนเขา เขาคงจะรายงานสถานการณ์นี้กับพ่อของเขาหลังจากที่เขากลับไป
แต่ตอนนี้ เว่ยฉิงตระหนักได้ว่าสือเหล่ยพูดถูก ถ้าเขาไม่รู้เกี่ยวกับมัน เขาคงต้องมีส่วนร่วมในการร่วมมือแค่เท่านั้น แต่ถ้าเขารู้มันก่อน เขาคงจะต้องเลือกข้าง เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามสามารถกดดันตระกูลเว่ยได้ มันจึงเป็นหลุมใหญ่ยักษ์ที่ไม่ว่าตระกูลของเขาจะเลือกทางไหน มันก็อาจจะเป็นผลให้เกิดการจบสิ้นของตระกูลได้เลย นอกจากมันจะทำให้เขาได้รับปัญหา เขายังไม่ได้รับประโยชน์อะไรอีก แม้ว่าเขาต้องการที่จะสร้างการเชื่อมต่อ แต่มันก็เป็นไปได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายยอมเท่านั้น
“เข้าใจแล้ว ให้เรื่องนี้จบอยู่ที่ฉัน ฉันจะเก็บไว้กับตัวเอง”
สือเหล่ยไม่ได้พูดอะไรในขณะที่เขากำลังคิดว่าเขาควรจะโทรไปหาซงเมียวเมียวดีหรือไม่
ซงเมียวเมียวแตกต่างไปจากเว่ยชิงเยว่ เธอไม่ได้ติดต่อมาหาสือเหล่ยอยู่บ่อยๆ และเธอก็จะโผล่มาในทันทีที่เธออยากเจอสือเหล่ย
เพราะมันเป็นเหมือนกันทุกครั้ง มันจึงเป็นธรรมดาที่ซงเมียวเมียวจะไม่ได้ติดต่อมาหาสือเหล่ยในช่วงสิบวันที่ผ่านมา
บางทีเขาควรจะเรียนรู้วิธีการรอคอยด้วยความอดทน เขาควรจะอดทนไว้จนกว่าซงเมียวเมียวจะปรากฏตัวที่จี้โจวอย่างฉับพลัน จากนั้นเขาจะสามารถลองหาข้อมูลบางอย่างจากเธอ “ด้วยโชค” ได้
สือเหล่ยพยักหน้า เขารู้ว่าเขาต้องเรียนรู้การระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ตระกูลซงและตระกูลเว่ยไม่ได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกันซะทีเดียว การเปิดเผยข้อมูลของเขาแก่ซงเมียวเมียวอาจจะช่วยหยูปันจือได้ถ้าตระกูลซงไม่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกในทันทีที่ตระกูลซงเข้าร่วม ตระกูลเว่ยก็จะไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะเลย
“เอาล่ะ อย่าไปคิดถึงเรื่องบ้าพวกนั้นเลยเพราะมันก็ไม่บานปลายอะไรในเร็วๆนี้ พวกเรายังมีวันตรุษจีนอยู่” สือเหล่ยรินเหล้าให้เว่ยฉิง หยิบแก้วขึ้น และเริ่มชนแก้วกับเขา
เว่ยฉิงพยักหน้าออกมาเหมือนกัน เขาโบกมือของเขาตรงหน้าราวกับว่าเขากำลังไล่ทุกสิ่งที่ได้ยินมาออกไปและแสร้งทำราวกับว่าเขาไม่รู้อะไร
หลังจากดื่มไปอีกแก้ว เว่ยฉิงก็ถาม “นายไม่เจอที่ที่เว่ยชิงเยว่อยู่งั้นเหรอ?” เขาไม่ควรถามมันแต่จะมีอะไรที่เขาพูดได้อีกในตอนนี้?
สือเหล่ยส่ายหัว “นายท่านเว่ยบอกว่าเว่ยชิงเยว่ไม่เป็นอะไรและเขาก็ไม่น่าจะล้อเล่นกับเรื่องนี้ พวกเราจะรอก่อน หลังจากตรุษจีน ฉันจะกลับไปที่หวูตงก่อนและพยายามสืบเรื่องนี้ อ่า… พวกเราบอกว่าพวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้หนิ ทำไมเราถึงทำมันอีก?” สือเหล่ยดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้และลุกขึ้นอย่างกะทันหัน “เดี๋ยว…”
จากนั้นเขาก็เดินไปที่แผนกต้อนรับอย่างรวดเร็ว และพูดกับพนักงานที่นั่นด้วยเสียงต่ำ และกลับมาหาเว่ยฉิง
“ไปกันเถอะ!”
เว่ยฉิงอึ้ง “ไปไหน?”
“พวกเราจะดื่มกันอย่างถูกวิธีและต้องมีสาวๆมาคอยบริการพวกเรา!”
“นี่ไม่ใช่รสนิยมของนายหนิ?”
“แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีหนิ!”
เว่ยฉิงตบมือของเขา “ก็ได้ ถ้าพวกเรานั่งอยู่ที่นี่ ฉันเองก็จะคิดถึงมันเหมือนกัน ไปหาสาวๆกันเถอะ ฉันอาจจะลืมสิ่งที่พวกเราพูดถึงได้!”
ทั้งสองเดินไปทางบันไดเวียน และสือเหล่ยได้พาเว่ยฉิงขึ้นไป ตามสิ่งที่พนักงานบอกเขา เขาเห็นพนักงานสองคนในชุดกี่เพ้าอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือลูกค้าด้วยคำแนะนำหลังจากเดินเป็นครึ่งวงกลม
มันดึกไปเล็กน้อยและพนักงานทั้งสองได้ยืนอยู่อย่างไร้พลังงาน เมื่อเห็นว่าสือเหล่ยและเว่ยฉิงเดินเข้ามา พวกเธอก็อึ้งไปก่อนที่จะทักทายพวกเขาอย่างรวดเร็ว “สวัสดีค่ะท่าน พวกคุณสองคนชอบแบบไหนคะ…”
“ที่นี่พวกเราสามารถทำอะไรได้อีก? ดื่ม ร้องเพลง ปล่อยมันออกมาให้หมด” สือเหล่ยแสดงความหงุดหงิดซึ่งเป็นด้านที่หาได้ยากยิ่งของเขาออกมา เว่ยฉิงส่ายหัวในใจเมื่อเขารู้ว่าสือเหล่ยเป็นหนักยิ่งกว่าเขา
พนักงานนำพวกเขาเข้าไปและผู้จัดการก็รีบออกมาต้อนรับพวกเขา หลังจากเข้ามาในห้อง ผู้จัดการก็ถามว่าพวกเขาจะดื่มอะไรและสือเหล่ยได้พูดออกมา “เอาเหล้าที่แพงที่สุดมา เรียกผู้หญิงทุกคนที่นายมีเข้ามา ฉันต้องการให้พวกเธอมาให้เต็มห้อง”
ผู้จัดการอึ้งไป เขาเห็นคนเผาเงินเล่นมามาก แต่ไม่มีใครบ้าเท่านี้เลย บางครั้ง มันเป็นไปได้ที่ลูกค้าจะเรียกผู้หญิงเข้ามาสามคน แต่คนสองคนนี้กลับเรียกสาวๆเข้ามาทั้งหมด?
เว่ยฉิงเหลือบมองและโบกมือของเขา “ไปจัดตามที่เขาสั่งมา”
ผู้จัดการเดินออกไปด้วยความเป็นกังวล แต่สือเหล่ยก็มองไปที่เว่ยฉิง “โอ้ วันนี้นายจ่ายนะ ฉันออกมาแต่ตัว ไม่ได้ติดอะไรมาด้วยเลย”
ผู้จัดการที่เพิ่งเดินไปถึงประตูแทบทรุดลงกับพื้นจากคำพูดของสือเหล่ย เขาคิดว่าสือเหล่ยจะเป็นคนจ่ายเนื่องจากเขาตะโกนออกมาด้วยความมั่นใจ แต่เขากลับบอกให้อีกคนจ่ายแทนงั้นเหรอ?
ในทางกลับกัน เว่ยฉิงถอนหายใจออกมา “ฉันเคยเห็นก็แต่คนตามไปดื่มกินด้วย แต่ฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าพวกเขาสั่งอาหารให้ตัวเองด้วย”