The Black Card - ตอนที่ 377
ตอนที่ 377 – คนที่ซงเมียวเมียวหวาดกลัวมากที่สุด
สือเหล่ยรู้สึกไร้สาระ เพราะมีใครบางคนที่เธอไม่อยากจะเห็นเมื่อกลับบ้านของเธอ เธอจึงไม่กลับไปกินข้าวและขับรถออกมากว่า 200 กิโลเมตรเพื่อมากินลูกชิ้นในรถ?
เอาเถอะ อย่างที่คิด เขาไม่สามารถวิเคราะห์ความคิดของยัยผู้หญิงบ้าได้ด้วยวิธีการตามปกติ
สือเหล่ยไม่ได้พูดอะไรในขณะที่เขาเฝ้ามองดูซงเมียวเมียวที่ตะโกนออกมาว่าเธอกำลังจะตายจากเครื่องเทศและยังกินต่อไป บางครั้งก็เขายื่นโค้กให้เธออย่างใจดีและซงเมียวเมียวได้กระดกมันลงไปโดยไม่ลังเล
“จี้โจวมีที่ไหนให้สนุกบ้าง? ครั้งล่าสุดมีคนอยู่เยอะและฉันก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย” ซงเมียวเมียวกินเกือบเสร็จแล้ว เธอถามในขณะที่เคี้ยงกระดูกอ่อนชิ้นสุดท้าย
สือเหล่ยส่ายหัว “เธอสามารถไปที่ศาลนางพญางูขาวได้ในตอนกลางวัน แต่เวลานี้เธอจะไปไหนได้? บาร์ คาราโอเกะ มันก็เหมือนกับทุกๆเมือง และบาร์กับคาราโอเกะในจี้โจวก็ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรดีเท่ากับในซีซีอย่างแน่นอน”
“ก็จริง งั้นไปที่โรงแรมและมีอะไรกันเถอะ…” ซงเมียวเมียวมองมาที่สือเหล่ยอย่างชั่วร้ายราวกับว่าเธอไม่ยอมแพ้จนกว่าเธอจะทำสำเร็จ
สือเหล่ยถลึงตาใส่เธอ “ลองสิ…”
“แค่เพราะนายสู้เก่งกว่าฉันเฉยๆนะ… อ่า ฉันไม่กลัวอะไรมาตลอดชีวิตของฉันและแม้กระทั่งพ่อของฉันก็ยังไม่สามารถควบคุมฉันได้ แต่นายกลับทำได้ ดี ไม่เป็นไร เนื่องจากนายคือความรักของฉัน ฉันจะปล่อยให้นายทำแบบนี้ได้ แต่… อ่า… ชายคนนั้น… บอกฉันที ทำไมฉันต้องกลัวเขาอยู่เสมอเมื่อฉันได้เจอเขาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก?”
สือเหล่ยได้ยินซงเมียวเมียวพูดกับตัวเองและหัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
คนที่ซงเมียวเมียวไม่อยากเจอ…
คนที่ซงเมียวเมียวกลัว…
สือเหล่ยจำได้ว่าการเผชิญหน้าครั้งที่สองของเขากับซงเมียวเมียวอยู่ที่หวูเว่ยเลานจ์เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ
เมื่อพวกเขาอยู่ที่นั่น สือเหล่ยและเว่ยฉิงต่างนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยการเพื่อรอหยูปันจือ จากนั้นซงเมียวเมียวก็ปรากฎตัว แน่นอนว่าซงเมียวเมียวทำตัวราวกับเป็นนายน้อยในเวลานั้นและขาของเว่ยฉิงก็แทบจะกลายเป็นวุ้นจากรัศมีอันแข็งแกร่งของเธอ
อย่างไรก็ตาม เว่ยฉิงเองก็มีวิธีจัดการกับซงเมียวเมียวเหมือนกัน
เมื่อซงเมียวเมียวกำลังจะขอเข้าร่วมมื้ออาหารของพวกเขา เว่ยฉิงได้บอกว่าพวกเขากำลังรอหยูปันจืออยู่และซงเมียวเมียวได้จากไปในทันที
ในเวลานั้น เขารู้สึกราวกับว่าซงเมียวเมียวดูจะกลัวหยูปันจือ
แต่ในตอนนี้ ซงเมียวเมียวกลับพูดว่ามีแค่คนเดียวที่ทำให้เธอกลัวได้นอกจากสือเหล่ย ซึ่งเขาก็น่าจะเป็นหยูปันจือ
บางทีคนที่ปรากฎตัวขึ้นที่บ้านของเธอในวันนี้อาจจะเป็นหยูปันจือ?!
สิ่งที่ทำให้เขาเชื่อมโยงไปถึงหยูปันจือก็คือการติดต่อกับตระกูลเว่ยเมื่อเร็วๆนี้ ความเป็นไปได้ที่เขาจะปรากฏตัวในบ้านของตระกลซงนั้นสูงมาก
สือเหล่ยตบขาของเขาในทันทีและทำให้ซงเมียวเมียวสะดุ้ง
“คนที่เธอหลบมาคือพี่หยูปันจือใช่ไหม?”
ซงเมียวเมียวพยักหน้า “ฉันคิดว่านายเดาออกได้นานแล้วนะ ไม่มีใครสามารถทำให้ฉันซ่อนตัวได้ นอกเหนือจากเขา ฉันไม่รู้ว่าเขามาทำบ้าอะไร เมื่อวันเกิดของปู่ของฉัน เขาก็แค่ส่งของขวัญมาโดยไม่แสดงตัว แต่วันนี้เขากลับมาโดยไม่ได้รับเชิญและเคาะประตูโดยไม่บอกพวกเราก่อน พ่อของฉันไม่อยู่บ้านในเวลานั้น เขาเข้ามาและสั่งพี่เลี้ยงของตระกูลฉันราวกับเป็นคนของเขาให้โทรหาพ่อของฉัน เมื่อพ่อของฉันรับสาย เขาได้โยนทุกอย่างทิ้งและกลับมาที่บ้าน
สือเหล่ยหรี่ตาอีกครั้ง หยูปันจือพยายามทำลายตระกูลเว่ยให้หมดสิ้นจริงๆเหรอ? มันยังไม่พออีกเหรอที่เขาจะแค่ติดต่อกับคนในเขตเดียวกัน? เขายังต้องติดต่อคนจากเขตข้างเคียงอีกทำไม?
และถ้าพ่อของซงเมียวเมียวสามารถโยนงานของเขาทิ้งไปและกลับมาเจอหยูปันจือที่บ้าน มันก็เป็นไปได้ว่าเพราะเขาได้ยินเรื่องนี้แล้ว? บางทีเขาอาจเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมตั้งแต่ต้น อย่างน้อยที่สุด การกลับมาเจอหยูปันจือในทันทีก็แสดงให้เห็นว่าท่าทีของเขาสนใจในการทำลายตระกูลเว่ย
นายท่านเว่ย นายท่านเว่น คุณรุกรานคนบนแผ่นดินนี้ไปมากมายแค่ไหนกัน?
ในความเป็นจริง สือเหล่ยเข้าใจว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความขัดแย้งในคนระดับนั้น ในทันทีที่มีเรื่องเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ พวกเขาสามารถฆ่าคนได้แม้จะไม่เคยบาดหมางกัน
สำหรับวิธีการที่พวกเขาใช้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถไปถึงตำแหน่งเช่นนั้นได้โดยขาวสะอาด
สือเหล่ยสรุปได้คร่าวๆว่าเมื่อสงครามเริ่มปะทุขึ้นในระดับของนายท่านเว่ยและหยูปันจือ ในทันทีที่พวกเขาหนักข้อเข้า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องพินาศ และพวกเขาจะไม่ได้สู้กันอย่างขาวสะอาดมากยิ่งขึ้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าใครจะหาผู้ช่วยเหลือได้มากกว่ากัน
นี่เป็นเหมือนการสู้รบระหว่างปรมาจารย์ด้านการต่อสู้สองคน การโจมตีที่ซับซ้อนจะไร้ประโยชน์ และสิ่งที่มีประโยชน์เพียงอย่างเดียวก็คือมือทั้งสองข้างและกำลังภายในของพวกเขา
เส้นสายและผู้มีอำนาจคือกำลังภายในของหยูปันจือและนายท่านเว่ย
หยูปันจือกำลังไปหาตระกูลซงเพื่อขอความช่วยเหลือ นายท่านเว่ยเองก็กำลังมองหาคนอื่นเพื่อขอความช่วยเหลืออยู่ด้วยเหมือนกัน
แน่นอนว่าพวกเขาต้องจ่ายราคาสำหรับความช่วยเหลือนี้ แต่การจ่ายนี้ก็ดีกว่าการถูกทำลายโดยฝ่ายตรงข้าม
แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะทำให้ตระกูลเว่ยเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำลายตระกูลกองทัพอย่างตระกูลหยูได้หมดสิ้น ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากแค่ไหน
ดังนั้นสถานการณ์ปัจจุบันคือหยูปันจือกำลังโจมจี และนายท่านเว่ยกำลังป้องกัน
ในฐานะผู้โจมตี หยูปันจือสามารถได้รับประโยชน์หลังจากเอาชนะนายท่านเว่ยได้โดยไม่ต้องเสียสละอะไร แต่ในฐานะผู้ป้องกัน นายท่านเว่ยกำลังประสบปัญหา แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาตระกูลไว้ได้ แต่เขาก็ต้องตัดชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ออกไปจากตัวและมันคงจะไม่สามารถทำได้ที่ได้เห็นเลือดสดๆ
แน่นอนว่าสือเหล่ยไม่สนใจเรื่องนี้ หยูปันจือค่อนข้างสนิทกับเขา แต่สือเหล่ยก็ไม่รู้ว่าทำไมหยูปันจือถึงเล็งเป้าไปที่ตระกูลเว่ย สิ่งที่ทำให้สือเหล่ยห่วงก็คือเว่ยชิงเยว่ ที่กำลังจะถูกลากเข้าไปพัวพันด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนายท่านเว่ย เว่ยชิงเยว่จะต้องมีชีวิตอยู่
การตายตัวไปของเว่ยชิงเยว่คือหลักฐานที่ดีที่สุด นายท่านเว่ยบอกว่าเธอสบายดี แต่สือเหล่ยไม่เชื่อมันเลย เธอน่าจะถูกบังคับโดยนายท่านเว่ยเพื่อไปหาใครบางคนที่มีพลังมากพอที่จะปกป้องตระกูลของพวกเขา สือเหล่ยไม่กล้าจิตนาการถึงราคาที่เว่ยชิงเยว่ต้องจ่าย คนอย่างนายท่านเว่ยคงจะไม่ใส่ใจกับการใช้ลูกสาวของตัวเองเพื่อแลกกับความปลอดภัยของตระกูล
การแต่งงาน? มันเป็นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่สือเหล่ยคิดออก
แต่มันก็ไม่มีเหตุผลเพราะแม้จะไม่คิดว่าตระกูลเว่ยกำลังตกลงจากความมั่งคั่งและอำนาจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายได้ประโยชน์อะไรมากจากการแต่งงานอยู่ดี ถ้าพูดถึงสาวงาม มันยังมีผู้หญิงอีกมากที่สวยกว่าเว่ยชิงเยว่ในโลกใบนี้ เมื่อเมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้หญิงคนไหนจะเสียสละได้นอกเหนือจากตัวเธอเอง?
สือเหล่ยคิดว่าเขาไม่มีเซลล์สมองเพียงพอเนื่องจากทุกๆความเป็นไปได้ที่เขาคิดต่างถูกปฏิเสธ
เขาอึ้งอยู่นาน และไม่สามารถคิดอะไรออก
บางทีเขาควรจะคุยกับเฉินหยานวี่จริงๆ ไม่ต้องขอความช่วยเหลือใดๆ แต่ขอให้เธอวิเคราะห์มันและอย่างน้อยก็ทำให้สือเหล่ยได้รู้ว่าเว่ยชิงเยว่กำลังทำอะไรอยู่!
“โอ้ ไม่ใช่ว่าหยูปันจือเป็นพี่ชายของนายงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าเขาจะสนิทกับนาย ทำไมนายดูเหมือนกับเห็นผีเมื่อได้ยินชื่อเขาล่ะ?” ซงเมียวเมียวผลักสือเหล่ยอย่างแรง และสือเหล่ยก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น หยูปันจือในใจของเขาตอนนี้น่ากลัวซะยิ่งกว่าผีอีก