The Black Card - ตอนที่ 379
ตอนที่ 379 – ทำอะไรได้อย่างนั้น
แม้ว่าจะเป็นปาร์ตี้ที่บ้าน แต่ทุกอย่างก็มีระเบียบเรียบร้อย
สือเหล่ยนั่งอยู่ที่มุมๆหนึ่งพร้อมด้วยแก้วไวน์และเฝ้าดูเด็กๆสนุกสนาน
แม้ว่าพวกเขาจะเตรียมพร้อมกันอย่างรีบร้อยเนื่องจากมันดึกแล้วเมื่อซงเมียวเมียวติดต่อไปหาไป่ชู แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความต้องการคนพวกนี้เลยและมันก็เป็นระเบียบด้วย
ไม่ว่าจะเป็นดนตรี เครื่องดื่ม และขนม พวกมันถูกเตรียมพร้อมไว้ทุกอย่างราวกับงานปาร์ตี้จะถูกจัดตอนไหนก็ได้ มันราวกับว่าพวกเขาจะถูกเรียกตัวได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ไป่ชูคลุกคลีอยู่กับซงเมียวเมียวและขยับไปตามจังหวะของดนตรี มีคนเข้ามาทักทายอย่างต่อเนื่อง ไป่ชูแนะนำเพื่อนๆของเขาให้กับซงเมียวเมียวอย่างภาคภูมิใจ ซงเมียวเมียวพยักหน้าเป็นส่วนใหญ่และยิ้มเป็นบางครั้ง เด็กพวกนี้ดูราวกับพวกเขาเพิ่งพบกับขุมสมบัติ แม้กระทั่งสือเหล่ยเองยังได้ยินผู้หญิงคนนี้กล่าวว่า “นายท่านซงยิ้มให้ฉัน!” เธอรู้สึกตื่นเต้นและสือเหล่ยก็พูดไม่ออก มันน่าตื่นเต้นมากขนาดนั้นเลยเหรอ?
บางทีซงเมียวเมียวอาจจะรู้ว่าสือเหล่ยไม่ได้ชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้จริงๆ เธอจึงไม่รบกวนเขา หรือบางทีเธออาจจะสนใจปาร์ตี้นี้มากและไม่มีเวลามาดูแลสือเหล่ย
เมื่อถูกรายล้อมด้วยเสียงดนตรีอึกทึก สือเหล่ยก็ไม่สามารถสงบใจลงเพื่อวิเคราะห์ความบาดหมางระหว่างตระกูลหยูและตระกูลเว่ยได้
บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกันเนื่องจากพวกเขาไม่ได้ก้าวล่วงต่อกัน ธุรกิจของตระกูลเว่ยส่วนใหญ่ถูกดำเนินการโดยหุ้น ม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ อินเทอร์เน็ต ของนำเข้าหรือส่งออก พวกเขาไปในทุกๆที่ที่สามารถสร้างรายได้ได้
ตระกูลหยูไม่สามารถทำธุรกิจจากภายนอกได้เนื่องจากพวกเขาเป็นทหารของประเทศ อย่างไรก็ตาม หยูปันจือได้ออกจากแวดวงทหารและเขาเป็นคนพิเศษที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์นับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม พวกเขาแทบจะไม่ดำเนินการใดๆโดยใช้หุ้นและเขาก็ไม่บริษัทเป็นของตัวเองเลย แต่ก็ยังมีบริษัทที่อยู่ในเกาะต่างๆในฐานะบริษัทระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่พวกมันถูกวางไว้ภายใต้ชื่อของคนอย่างเหยาเค่อจี
ทั้งสองตระกูลไม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก แม้ว่าหยูปันจือจะลงทุนในกิจการของตระกูลเว่ย แต่พวกเขาก็ไม่ควรมีข้อขัดแย้งใดๆต่อกัน ถึงอย่างไรก็ตาม หยูปันจือก็แทบจะลงทุนเพียงอย่างเดียวทำให้อำนาจในการตัดสินใจอยู่ในมือผู้ถือหุ้นอยู่ ตราบใดที่ผู้ถือหุ้นยังสามารถหารายได้ให้กับนักลงทุนได้ นักลงทุนก็ไม่มีเหตุผลที่จะกำหนดเป้าหมายเป็นผู้ถือหุ้น
งั้นเหตุผลเดียวก็คงจะเป็นเพราะตระกูลเว่ยดึงดูดเกินไปและพวกเขาก็ง่ายต่อการกำหนดเป้าหมายเนื่องจากพวกเขาไร้ซึ่งรากฐานเนื่องจากนายท่านเว่นถีบตัวเองขึ้นมาจากในอดีต
คนอื่นๆคงไม่บ้าพอที่จะแตะต้องนายท่านเว่ย แต่มันก็ไม่ได้หมานความว่าพวกเขาจะไม่เคยคิดถึงมัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือโครงสร้างทางสังคมใดก็ตาม กฎแห่งป่าคือความจริงที่ไม่มีวันตาย นี่เป็นลักษณะที่โหดร้ายที่มนุษย์ไม่สามารถลบออกไปได้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาต้องกินเมื่อพวกเขาหิวและเริ่มคิดถึงชีวิตเมื่ออิ่ม
หยูปันจือต้องวางแผนไว้นานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคิดมันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ต่อหน้าชิ้นเนื้อที่น่าสนใจอย่างตระกูลเว่ย มันเป็นธรรมดาที่หยูปันจือต้องการเก็บไว้เอง
ไม่มีอะไรถูกหรือผิดในเรื่องแบบนี้ สือเหล่ยได้ผ่านขั้นตอนที่เขาต้องแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ผิดและถูกสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนทำมาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหยูปันจือ และแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักหยูปันจือ เขาก็คงจะไม่คิดว่ามีปัญหาใหญ่อะไรกับหยูปันจือที่ต้องการจะทำลายนายท่านเว่ย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือเรื่องศีลธรรม โดยพื้นฐานแล้ว นายท่านเว่ยก็ไม่ใช่คนที่ดีอะไร การพัฒนาตระกูลของเขาก็มาพร้อมกับข้อตกลงที่สกปรกมากมายและมือที่เต็มไปด้วยเลือด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะลืมได้ง่ายๆโดยการประกาศแค่ว่าเขาจะลาออกหรือออกจากด้านมืด ถ้ามีคนใช้อดีตของเขาเพื่อกำหนดเป้าหมายเป็นเขา มันก็เหมือนกับสิ่งที่เขาทำเมื่อครั้งอดีต
ดั่งคำกล่าวที่ว่า: ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น
บางทีเพลงอาจจะดังเกินไปและห้วงของคิดของสือเหล่ยก็ถูกขัดจังหวะ เขาบอกว่าเขาจะไม่ดื่ม แต่สุดท้ายเขาก็ยังดื่มไปสองแก้ว
ทันใดนั้นห้องนั่งเล่นก็เงียบลง แสงไฟเลือนหายไปและจุดที่อยู่ถัดจากโต๊ะมิกเซอร์ก็สว่างขึ้น
เสียงกีตาร์อะคูสติกที่ชัดเจนดังออกมาและเสียงอึกทึกทั้งหมดก็ดูเหมือนจะหายไปในทันที คนที่เต้นจนเหงื่อไหลต่างเงียบลง พวกเขาชนแก้วกันและดื่มเงียบๆ บ้างก็หาที่สบายๆเพื่อนั่งลง บ้างก็ยืนอยู่ที่มุม จุดรวมสายตาของพวกเขาอยู่ที่จุดที่สว่างที่สุดในห้อง
ภายใต้แสงไฟสปอตไลต์ ผู้ชายหัวล้านคนหนึ่งถือกีตาร์อะคูสติกและมีชายผมยาวสลวยอยู่ข้างๆ เขามีกลองอยู่ระหว่างขาของเขาและได้เล่นมันด้วยการตีเบาๆ ผับที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีได้เปลี่ยนกลายเป็นผับโฟล์คซอง และแน่นอนว่าสือเหล่ยชอบอย่างหลังมากกว่า
หญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าสีแดงสดใสนั่งอยู่ระหว่างชายสองคนพร้อมด้วยกีตาร์ในมือของเธอ
เธอหุ่นดีและผิวพรรณที่ละเอียดอ่อน สือเหล่ยสามารถให้คะแนนเธอได้ 70 คะแนนสำหรับหน้าตาของเธอ และเธอก็เงียบมากจนเธอดูเหมือนกับนักเรียนมัธยมต้นในโรงเรียนที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้
นิ้วของเธอค่อยๆขยับและประสานเข้ากับจังหวะกีต้าร์ของชายหนุ่ม ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้กับเด็กผู้หญิงในชุดแดงคนนั้น
หลังจากที่ผ่านไปสองคอร์ด เด็กสาวก็อ้าปาก เสียงของเธอชัดเจนและใสมาก และสือเหล่ยก็รู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าเธอดูคุ้นๆ อย่างไรก็ตามเขาดันจำไม่ได้ว่าเขาเคยเห็นเธอที่ไหน
ซงเมียวเมียวเดินเข้ามาหาสือเหล่ยพร้อมด้วยแก้วเหล้าในมือของเธอ เธอนั่งลงตรงข้ามกับเขาและพูดในขณะที่จิบเครื่องดื่มของเธอ “เด็กคนนั้นมาจาก The second in a show [TLN: เป็นชื่อเฉพาะขอทับศัพท์นะครับ] บริษัทพยายามที่จะดันเธอ แต่เธอร้องเพลงโฟล์คซองซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไร”
สือเหล่ยเข้าใจได้ในทันที เธอคือไอดอลประเภทหนึ่ง ไม่น่าแปลกใจที่เธอดูเหมือนจะคุ้นๆ
“เธอสามารถเชิญเค้ามาได้เลยเหรอ?” สือเหล่ยไม่คิดว่าเด็กๆพวกนี้จะสามารถจัดการได้ แต่เขาก็สงสัยอยู่ ในเวลาแบบนี้ในเมืองเล็กๆอย่างจี้โจม มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากมาก
“เธอเป็นที่นี่ เธอทำงานเสร็จไม่กี่วันก่อนและกลับมาช่วงวันหยุดที่นี่ มันน่าเสียดายที่เธอยังมีงานอีกมาก…”
เมื่อเห็นว่าสือเหล่ยไม่พูดอะไร ซงเมียวเมียวก็ถามอีก “นายมาทำอะไรตรงนี้คนเดียว?”
สือเหล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและวางมือไว้บนโต๊ะโดยทำท่าทางว่ามันเป็นสิ่งที่แม้แต่เขายังไม่เข้าใจจริงๆ “ถ้าฉันจะบอกว่าถ้า เอ่อ เว่นชิงเยว่มีปัญหาอยู่ในตอนนี้ เธอจะรู้สึกมีความสุขหรืออะไรสักอย่างไหม?”
ซงเมียวเมียวเหลือบมองสือเหล่ย “มันคงไม่มีทั้งความรู้สึกที่มีความสุขหรือไม่มีความสุข ทุกๆตระกูลล้วนมีปัญหาในจุดใดจุดหนึ่ง แต่สำหรับเว่ยชิงเยว่ ถ้าตระกูลของเธอมีปัญหา มันคงจะเป็นปัญหาใหญ่ ไม่มีใครสามารถแตะต้องพวกเขาได้ง่ายๆ สถานการณ์คืออะไร? อย่าใช้คำว่า ‘ถ้า’ เพื่อปิดบังฉัน ในหวูตงกำลังจะมีแผ่นดินไหวในไม่ช้างั้นเหรอ?”
สือเหล่ยไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากเขาไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ถึงอย่างไรก็ตาม ตระกูลซงก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินไหวในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ซงเมียวเมียวก็สะดุ้งขึ้นมาและเธอก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งอย่างฉับพลันโดยการมองไปที่สีหน้าของสือเหล่ย “หยูปันจือมาหาพ่อของฉันเพราะเขาต้องการให้ตระกูลของฉันช่วยเขาจัดการกับตระกูลเว่ยงั้นเหรอ? บัดซบ มีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นจริงๆ”
สือเหล่ยหัวเราะอย่างขมขื่น เขาน่าจะรู้ว่าซงเมียวเมียงคงสามารถคาดเดาได้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนในทันทีที่เขาเปิดเผยสิ่งเล็กๆกับเธอ
“ไม่ใช่ว่าความกระหายของตระกูลหยูก็มีมากอยู่แล้วเหรอ? พวกเขาจะสามารถกลืนกินตระกูลเว่ยได้ง่ายๆได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัวว่าเว่ยชางฉิงจะลากพวกเขาตายตกไปกับตัวเองด้วยงั้นเหรอ? นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน” สีหน้าของซงเมียวเมียวแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังขบคิด เห็นได้ชัดว่าเธอก็ไม่ไร้ประโยชน์อย่างที่เธอแสดงออกตามปกติ
ในความเป็นจริง แทบจะไม่มีคนรุ่นที่สองในหมู่คนร่ำรวยระดับสุดยอดคนไหนที่จะไม่มีทักษะอยู่เลย