The Black Card - ตอนที่ 380
ตอนที่ 380 – นายคิดจริงๆเหรอว่าฉันบ้า?
ซงเมียวเมียวดูเหมือนจะพูดกับตัวเอง
“ไม่แปลกใจเลยที่จู่ๆหยูปันจือมาปรากฏตัวที่บ้านของฉันและพ่อของฉันได้เปลี่ยนตารางงานของเขาเพื่อมาเจอกับเขา เขากำลังจะร่วมมือกับตระกูลของฉัน ถ้าทั้งสองตระกูลนี้ร่วมมือกันจริงๆ นี่คือจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก บางทีเว่ยชางฉิงคงจะไม่สามารถหนีมันได้จริงๆ”
สือเหล่ยคว้าโอกาสและถามว่า “แล้วเธอคิดว่าพ่อของเธอจะตกลงเข้าร่วมไหม?”
ซงเมียวเมียวเหลือบมองสือเหล่ย “ตระกูลหยูถือเป็นผู้นำกลุ่มแน่นอนและตระกูลของฉันจะสนับสนุนโดยการประสานงาน ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ในหวูตง ตระกูลหยูและตระกูลไป่มีระดับเดียวกันอยู่เสมอ ก่อนที่จู่ๆตระกูลเว่ยจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่นานมานี้และทำให้สถานการณ์ในหวูตงแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ในตอนนี้ที่ตระกูลหยูต้องการจะตีโต้ตระกูลเว่ยกลับไป ตระกูลไป่น่าจะเฝ้ามองจากข้างๆ ผู้อาวุโสไป่ไม่ใช่คนที่ชอบฉวยโอกาสเมื่อผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายแต่ ลูกๆของเขาจะไม่คิดเช่นนี้ เมื่อตระกูลเว่ยแหลกเป็นชิ้นๆ ตระกูลไป่จะต้องมีส่วนร่วมและรับประโยชน์มาแน่นอน ตระกูลหยูจะไม่แทรงแซงและอย่างมากก็จะแค่เจรจาและขีดเส้นพวกเขาไว้ ตระกูลเว่ยตกอยู่ในอันตรายแล้ว”
เธอถอนหายใจยาว และหัวใจของสือเหล่ยก็เปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ
“มีวิธีที่จะทำให้ตระกูลของเธอไม่เข้าร่วมได้ไหม?” สือเหล่ยไม่สามารถเมินเฉยได้ เขาถามอย่างตรงไปตรงมา
ซงเมียวเมียวกรอกตาของเธอใส่สือเหล่ย “ฉันล่ะอิจฉาจริงๆ นายห่วงเว่ยชิงเยว่มากกว่าฉัน!”
สือเหล่ยเกาหัวและพูดอย่างอึกๆอักๆ “ฉันเป็นเพื่อนกับพวกเธอทั้งคู่ พวกเราต่างเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ถ้าตระกูลของเธอมีปัญหา ฉันก็คงจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่เหมือนกัน”
ซงเมียวเมียวตอบด้วยความเดียจฉันท์ “นั่นออกมาจากใจของนายจริงๆเหรอ? นายคิดจริงๆเหรอว่านายสามารถหยุดสถานการณ์แบบนี้ได้เพียงเพราะแค่นายมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหยูปันจือ เฉินหยานวี่รับนายเป็นลูกบุญธรรม และฉันได้เทิดทูนนาย? สือเหล่ย ตื่นๆ ตั้งแต่ที่หยูปันจือกล้าที่จะเคลื่อนไหว มันก็ต้องเป็นเพราพวกเขาวางแผนไว้แล้ว แผนการนี้ไม่สามารถทำได้ภายในสามหรือห้าปี พวกเขาต้องเริ่มวางแผนก่อนหน้านี้แล้วนาย? ต้องการหยุดทุกอย่าง? จำไว้ได้ ไม่มีเพื่อมาก่อนผลประโยชน์”
สือเหล่ยเงียบ เขาจะรู้ได้อย่างไร? เขาถอนหายใจ “แน่นอนฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถหยุดอะไรได้ แต่ไม่ว่าจะมีการสนับสนุนให้ตระกูลหยูกลืนกินตระกูลเว่ยมากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องพบกับการโต้กลับอย่างเต็มกำลัง ในระหว่างการตอบโต้ ฉันกลัวว่าจะไม่มีลูกหลานคนไหนที่ปลอดภัยและแม้กระทั่ง…” สือเหล่ยเงียบมากยิ่งขึ้น
ซงเมียวเมียวหัวเราะเบาๆ “ผู้คนกำลังจะตายงั้นเหรอ?”
สือเหล่ยไม่ได้พูดอะไรและซงเมียวเมียวก็พูดต่อ “อันที่จริงคนก็ต้องตายอยู่แล้ว เว่ยชางฉิงก็ต้องตาย เว่ยจินกังก็ต้องตาย เว่ยชิงเยว่ก็ต้องตาย และเว่ยปูถีก็ต้องตาย คนอื่นๆก็คงไม่มีปัญหาที่จะอยู่ในความตกต่ำ”
เธอเห็นว่าการแสดงออกของสือเหล่ยไม่สามารถเลวร้ายไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ซงเมียวเมียวยิ้มอีกครั้ง “แน่นอนเมื่อฉันพูดว่าตาย ฉันไม่ได้หมายความว่าชีวิตของพกวเขาจะต้องจบลง ฉันหมายความว่าพวกเราต้องทำให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสต่อสู้ได้อีกเลยตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เว่ยชางฉิงแก่แล้วและเขาก็อาจจะตายในคุกหรือที่บ้านก็ได้ มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
ในใจของสือเหล่ยยิ่งสับสนและตกใจมากยิ่งขึ้น คนอย่างซงเมียวเมียวสามารถพูดเรื่องความเป็นความตายของคนอื่นๆได้ง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร? จากมุมมองของสือเหล่ย ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าชีวิตของคน
“เธอต้องการจะบอกฉันว่าเธอไม่สนใจตระกูลเว่ยงั้นเหรอ? เธอจะบอกฉันว่าเธอไม่เคยแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับตระกูลของพวกเขาและเธอเพียงแค่ต้องการให้เว่ยชิงเยว่มีชีวิตอยู่งั้นเหรอ?”
สือเหล่ยเงยหน้าขึ้นและสายตาของเขาก็สว่างขึ้นในขณะที่เขาคิดว่าซงเมียวเมียวมีวิธีที่จะทำให้เว่ยชิงเยว่มีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตาม ซงเมียวเมียวก็ส่ายหัวของเธอ “เมื่อรังนกถูกคว่ำ มันจะไม่มีไข่ใบไหนที่ไม่แตก ถ้ามันเป็นนาย นายจะทิ้งอันตรายไว้ให้กับตัวเองงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้”
“ถ้าเธอบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้และมันไม่มีทางที่จะช่วย งั้นทำไมเธอถึงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้กับฉันมากขนาดนั้น? ช่างมันเถอะ มันก็ไม่อยากจะไม่มีเหตุผล ฉันกลับบ้านล่ะ พวกเธอทุกคนมันเลือดเย็น เพราะเงิน เพราะความมั่งคั่งที่ไม่สามารถเอาไปได้ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากแค่ไหน เธอกำลังจะฆ่าตระกูลๆหนึ่ง” สือเหล่ยลุกขึ้นด้วยความโกรธ
ซงเมียวเมียวคว้ามือของสือเหล่ยและมองเข้าไปในดวงตาของเขา ดวงตาของเธอสดใดและมันดูสงบในขณะที่พวกมันสะท้อนความโกรธในแววตาของสือเหล่ยออกมา
“ความโกรธของนายมันไร้ประโยชน์ สือเหล่ย นายไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้ แต่ฉันทำได้”
“เมื่อจักรพรรดิกำลังโกรธจะมีศพนับพันศพและมีเลือดรินไกลไปหลายไมล์อย่างไรก็ตาม ความโกรธของคนธรรมดาคงจะทำได้แค่ทำให้คนสองคนตายและเลือดรินไหลออกมาไม่ถึงห้าก้าว”
ซงเมียวเมียวเบ้ปากเหมือนที่เด็กน้อยทำท่าทางน่ารักน่าชังกับพ่อแม่ของเขา “ฉันล่ะอิจฉาจริงๆ นายต้องการหลั่งเลือดกับตระกูลหยูเพื่อตระกูลเว่ยมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สือเหล่ยพูดไม่ออก เขารู้ว่าไม่อาจทำอะไรได้ แม้ว่าเขาจะใช้บัตรศิลปะการต่อสู้ แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ท่ามกลางอาวุธร้อนในยุคใหม่ ท่าทางของซงเมียวเมียวดูเหมือนจะไม่เหมาะกับช่วงเวลา และเธอก็ไม่ได้ทำตัวจริงจังราวกับว่าเธอไม่สนใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจริงๆและยังพยายามกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในหวูตง
“ในความเป็นจริง นายรู้ไหมว่าคำพูดของเว่ยจูอาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์กับราชวงศ์ของเขา มันเป็นความปรารถนาในอุดมคติของนักประวัติศาสตร์มากกว่า มันเป็นไปไม่ได้มากยิ่งขึ้นไปในยุคสมัยใหม่ แม้ว่านายจะโดดเด่นในด้านการต่อสู้ แต่นายจะพยายามฆ่าใครกัน? ความโกรธของคนธรรมดางั้นเหรอ? หยุดล้อเล่นเถอะ ถ้านายมองว่านี่เป็นสงครามของตระกูลหยูและตระกูลเว่ยแล้ว งั้นสิ่งที่นายควรจะทำก็คือการวิเคราะห์ว่าทำไมหยูปันจือต้องเริ่มเรื่องนี้”
สือเหล่ยอึ้งไป ใช่แล้ว ทำไมหยูปันจือถึงเริ่มมัน?
ไม่สิ เขาเกือบจะถูกหลอกโดยคนส่งน้ำแล้ว
เธอหมายความว่ายังไงกับคำว่าทำไมเขาต้องเริ่มเรื่องนี้ด้วย? มันเป็นความมั่นคั่งอันมหาศาลและมันก็น่าเย้ายวน เมื่อผลประโยชน์มาถึงระดับหนึ่ง แม้แต่นักบุญก็ไม่สามารถควบคุมความปรารถนาของเขาได้
“ถ้าให้ฉันเดา ตระกูลหยูได้เริ่มต้นเรื่องนี้เพราะไม่มีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากความมั่งคั่งของตระกูลเว่ย นี่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหนิ?”
ซงเมียวเมียวส่ายหัว “สายตาคับแคบ อ่า ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงชอบคนงี่เง่าแบบนี้กันได้นะ”
สือเหล่ยไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน “งั้นบอกฉันมาว่าทำไม? ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน งั้นมันเป็นงานอดิเรกเหรอ?”
“ตระกูลหยูทำอะไร? มันคือตระกูลทหารใช่ไหม? หยูปันจือต้องการเงินไปทำไม? แม้กระทั่งความมั่งคั่งที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ทั้งหมด เขาก็ไม่แพ้ตระกูลเว่ยเลย เขามีกองเงินกองทองอยู่และมันก็เพียงพอไปหลายชั่วชีวิตแล้วเขาไม่เห็นความมั่งคั่งของตระกูลเว่ยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ นั่งลงซะถ้านายอยากรู้ว่าทำไมตระกูลหยูจึงต้องการจัดการกับตระกูลเว่ยและทำไมพวกเขาจึงเริ่มสงครามนี้ เมื่อใดก็ตามที่นายทำให้นายท่านซงมีความสุข นายท่านซงจะวิเคราะห์เรื่องนี้ให้นายฟังเอง”
สือเหล่ยนั่งลงโดยไม่มีทางเลือกและก้มหัวลง “ได้ ฉันบุ่มบ่ามเกินไป เชิญเธอพูดเธอ”
ซงเมียวเมียวกรอกตาของเธอ “นายต้องการ นายต้องจ่าย ถ้านายอยากรู้”
สือเหล่ยมองไปที่ซงเมียวเมียวและถามเบาๆ “เธอจะพอใจถ้าคืนนี้ฉันนอนกับเธองั้นเหรอ?”
ซงเมียวเมียวหัวเราะเสียงดังและกระดิกนิ้วให้สือเหล่ย สือเหล่ยไม่รู้ว่าเธอต้องการทำอะไรและเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ซงเมียวเมียวไม่สนใจว่ามีคนมากมายอยู่ที่นี่และจูบไปที่ริมฝีปากของสือเหล่ย
เธอจูบสือเหล่ยอย่างหนักหน่วงและหัวเราะออกมา “นี่คือความสนใจของฉัน ฉันชอบที่นายดูเหมือนคนโง่นี่แหละ”
“อย่าบอกฉันนะว่าคืนนี้เธออยากนอนกับฉันจริงๆ…?” สือเหล่ยตระหนักได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเขาบ้าและไม่มีอะไรที่เธอไม่สามารถทำได้
ซงเมียวเมียวกรอกตาของเธออีกครั้ง “ฉันกำลังจะช่วยนายวิเคราะห์เพื่อทำให้นายพอมีโอกาสช่วยผู้หญิงคนนั้นจากเหตุการณ์ครั้งใหญ่นี้ ผู้หญิงคนนั้นก็มองนายอยู่เหมือนกันและฉันต้องลากตัวเองเข้าไปด้วย นายคิดจริงๆเหรอว่าฉันบ้า?”