The Black Card - ตอนที่ 381
ตอนที่ 381 – ทำให้นายท่านซงมีความสุข
สือเหล่ยพูดไม่ออก
มันเป็นความจริง ไม่ว่าสัญญาระหว่างซงเมียวเมียวและเว่ยชิงเยว่จะเป็นอะไร พวกเธอก็ย่อมอยู่ในความสัมพันธ์ฉันท์คู่แข่งเพื่อผู้ชายคนเดียวกัน
เธอยอมให้สือเหล่ยและพวกเขายังได้พยายามที่จะช่วยเว่ยชิงเยว่ มันไม่มีเหตุผลเลย ถ้าเขาคิดว่ามันเป็นไปตามตรรกะของบัตรสีดำ มันก็คงจะเป็นข้อตกลงที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก และข้อตกลงที่ว่าคงจะสามารถฆ่าเขาได้ในทันที
“แล้วสิ่งที่เธอต้องการคืออะไร?” สือเหล่ยถาม
ซงเมียวเมียวเอื้อมมือออกมาและสัมผัสใบหน้าของสือเหล่ย เฉกเช่นชายหนุ่มที่กำลังเชยชมหญิงสาว หลังจากนั้น เธอก็แตะนิ้วของเธอเบาๆและกระทั่งสูดกลิ่นมันภายใต้จมูกของเธอราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกถึงผิวที่เรียบเนียนของสือเหล่ย เธอไม่ใช่ผู้หญิง เธอเป็นเพลย์บอย
“อย่าเพิ่งตกใจ ข้อตกลงง่ายๆ ถ้านายทำให้ฉันมีความสุข และเมื่อนายท่านซงมีความสุข ฉันก็จะบอกทุกสิ่งที่ฉันรู้ ทุกอย่างเริ่มต้นจากที่นี่ นักร้องเกือบจะร้องเพลงเสร็จแล้ว ไปร้องเพลงให้นายท่านซงฟังก่อนสิ…”
สือเหล่ยพูดไม่ออก อะไรวะเนี้ย ใครเป็นผู้ชายและใครเป็นผู้หญิงกันแน่? ร้องเพลง? สือเหล่ยรู้สึกว่าเขาเป็นผู้หญิงในทันใดด้วยคำสั่งของเธอ
“เอาล่ะ ฉันจะหยุดแกล้งนายก็ได้ ฉันแค่อยากฟังนายร้องเพลง นายสามารถทำให้ฉันพอใจได้จากสิ่งนั้น ฉันจำได้ว่านายชอบเพลงโฟล์คซองหนิ”
สือเหล่ยทำได้เพียงแค่ถาม “เธอจะวิเคราะห์มันหลังจากที่ฉันร้องเพลงเสร็จใช่ไหม?”
ซงเมียวเมียวส่ายหัวและยิ้ม “มันไม่ง่ายแบบนั้น พวกเราจะมาดูกันว่าฉันรู้สึกยังไงหลังจากที่นายร้องเพลงเสร็จ”
ในเวลานี้ นักร้องสาวบนเวทีเสร็จสิ้นการแสดงของเธอ ซงเมียวเมียวดีดนิ้วของเธอและเรียก “หนูขาว พี่เขยของนายอยากร้องเพลง”
ไป่ชูรีบวิ่งเข้ามาและยิ้ม “พี่เขยจะร้องเพลงเหรอ? งั้นก็รีบเลย!”
สือเหล่ยทำได้เพียงแค่เดิมตามแสงไฟไปอย่างช้าๆ เขามองไปที่นักดนตรีสองคนข้างๆเขาและทั้งสองต่างมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“คุณครับ คุณต้องการร้องเพลงอะไร?” มือกีต้าร์หัวล้านถามด้วยเสียงต่ำ
สือเหล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มี่เตี้ยน”
ชายหัวล้อนดูจะประหลาดใจแต่ก็รีบขึ้นทำนองอย่างรวดเร็ว หญิงสาวในชุดแดงได้วางกีต้าร์ลงแต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อเธอได้ยินท่วงทำนองที่คุ้นเคย เธอดึงเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง และรีบเล่นเพลงตามจังหวะของชายหัวล้านด้วยคอร์ดของเธอ
สือเหล่ยสัมผัสไมรโครโฟนเขาๆและเสียงก็หายไปจากลำโพง เขาพบจังหวะและเริ่มเปิดปากของเธอ “เมื่อเดือนมีนา เธอนั่งอยู่ในร้านขายธัญพืช ณ ทางตอนใต้ที่เต็มไปด้วยหยาดฝนและเมฆหมอก เธอถือแอปเปิ้ลไว้ในมือข้างหนึ่ง และโชคชะตาของเธอที่อยู่ในมืออีกข้าง เธอกำลังค้นหากลิ่นของตัวเธอเอง…”
เสียงเพลงทุ้มต่ำและเป็นท่วงทำนองที่ช้าและผ่อนคลาย แน่นอนว่าสือเหล่ยไม่ได้ร้องดีอะไรมาก เขาเพียงแค่ร้องตรงโน๊ตเท่านั้น
อย่างไรก็ตามด้วยบรรยากาศที่เป็นอยู่ทำให้เพลงนี้ดูดีขึ้นมา นักดนตรีทั้งสองคนและหญิงสาวในชุดแดงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อสือเหล่ยเริ่มร้อง พวกเขากังวลว่าเขาจะร้องผิดจังหวะ แต่ในตอนนี้มันกลับออกมาดี
ซงเมียวเมียวนั่งอยู่ในมุมด้วยมือที่เท้าคางของเธออยู่ เธอมองดูสือเหล่ยอย่างเงียบๆ ริมฝีปากของเธอแยกออก และฮัมเพลงไปพร้อมกับสือเหล่ย เธอรู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าเรื่องนี้ดูคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
“ฉันตกหลุมรักนายจริงๆ เสียงของนายธรรมดามากและนายก็ร้องเพลงได้ห่วย แต่นายรู้วิธีเลือกเพลงและมันก็ไม่ได้แย่” ริมฝีปากของซงเมียวเมียวโค้งขึ้นและเธอได้พึมพำกับตัวเอง ตาของเธอยิ้มและเธอก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจ
ในไม่ช้าสือเหล่ยก็ร้องจบและสายตาของเขาได้เบนไปที่ซงเมียวเมียว ดวงตาของเขาถามว่า “พอใจยัง?”
ทั้งห้องปรบมือ เหตุผลครึ่งหนึ่งเป็นเพราะสือเหล่ยคือ ‘พี่เขย’ และอีกครึ่งเพราะสือเหล่ยร้องเพลงได้ค่อนข้างดี
ซงเมียวเมียวตะโกนออกมาเสียงดัง “เอาอีก”
ไป่ชูรีบตะโกนออกมาเช่นกัน “พี่เขยสุดยอด ขออีกเพลง”
ทั่วทั้งห้องระเบิกออกมาทันทีและเด็กๆทุกคนก็เริ่มทำตามทั้งสอง
สือเหล่ยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคิดหาเพลงมาร้องอีกเพลง เขาพูดกับนักดนตรีที่อยู่ข้างๆเขาว่า “โม่ฟานฉิงซู”
คนหัวล้านยิ้มและเล่นเพลง หญิงสาวในชุดแดงก็เข้าร่วมด้วยและบางคนในห้องได้ปรบมือออกมา
“ฉันคือต้นยางริมหน้าต่างที่เธอนั่งยามเมื่อเธอว่าง…”
มันค่อนข้างดีและสือเหล่ยถูกขอให้ร้องเพลงที่สาม เขาร้องเพลงซีบร้าซีบร้าก่อนที่เขาจะถูกอนุญาตให้ลงมาจากเวที
ก่อนที่เขาจะจากไป ชายหัวล้านและชายผมยาวต่างยิ้มให้กับเขา “ไม่เลวเลย”
สือเหล่ยยิ้มให้พวกเขาและกลับไปที่โต๊ะมุมห้อง
“พอใจรึยัง?”
ซงเมียวเมียวไม่ได้ปฏิเสธมันและดวงตาของเธอก็แทบจะปิดลง ความกล้าหาญตามปกติได้หายไปและเธอก็ดูเหมือนผู้หญิงอย่างที่เธอควรจะเป็นมากยิ่งขึ้น
“อย่าเพิ่งตกใจ มีการแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นและเวลาแห่งความเงียบกำลังจะมาถึง ดังนั้นไม่ว่ายังไง พวกเราจะคุยกันหลังจากฉันดูโชว์เสร็จ”
สือเหล่ยไม่มีทางเลือก แสงไฟในห้องหรี่ลงอย่างรวดเร็วและที่ๆสือเหล่ยไปร้องเพลงก็ถูกเคลียร์ออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบวิธี มีเสาสองเสาชูชันขึ้นมาจากพื้นและค่อยๆยืดขึ้นไป
เพลงเริ่มเล่น มันเป็นจังหวะสบายๆพร้อมด้วยเสียงกลอง จากนั้นไฟก็เปลี่ยนไปอีกครั้งและสือเหล่ยก็ตระหนักได้ว่ามีบันไดอยู่ข้างหลังที่ที่เขานั่งอยู่ อีกด้านของห้องเองก็มีบันไดขึ้นไปถึงชั้นสอง
ในระหว่างการเล่นเพลง ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากบันไดทั้งสองฝั่ง สือเหล่ยมองไปทางบันไดอีกฝั่งและเห็นหญิงสาวผิวขาวหลายคนที่ใส่ชุดบิกินี่พร้อมด้วยผ้าซีฟองสีขาวที่ด้านนอกกำลังเดินลงมาตามจังหวะของเพลง
มีเสียงดังจากส้นสูงจากด้านหลังของเขาและสือเหล่ยก็รู้ว่ามีคนเดินลงมาจากบันไดเหมือนกัน
พวกเธอสูงมาก เมื่อสาวๆเดินลงมาจากบันได และเมื่อเทียบกับคนที่อยู่ข้างๆพวกเธอ สือเหล่ยก็ตระหนักได้ว่าพวกเธอสูงราวๆ 180 เซนติเมตร ด้วยรองเท้าส้นสูง พวกเธอสูงเกือบ 190 เซนติเมตรเลย ขาของพวกเธอยาวมาก และเหมือนกับสิ่งที่ไป่ชูกล่าว ทุกสิ่งทุกอย่างด้านล่างคอ มีเพียงแค่ขาเท่านั้น แม้ในหมู่ชาวต่างชาติ นี่ก็เป็นภาพที่หาได้ค่อนข้างยาก
หญิงสาวสองคนเดินไปทางเสาโลหะตรงกลางและเต้นรำกับเสาต่อหน้าทุกคนในห้อง
ไป่ชูและเด็กๆคนอื่นเริ่มเป่าปาก ภาพฉากเช่นนี้ช่างเป็นสิ่งที่น่าดูชมยิ่งนัก
ซงเมียวเมียวเองก็เริ่มตื่นเต้น แม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอแค่ล้อเล่นที่บอกว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยน แต่เธอก็ยังได้รับอิทธิพลจากมันมาอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากบุคลิกทอมบอยของเธอ เธอจึงแตะนิ้วไว้ที่ปากและผิวปากออกมาด้วยเสียงอันดังในทันที
เธอดึงสือเหล่ยไปที่กลางห้องและชี้นิ้วไปรอบๆไม่หยุด “คนนั้นไม่เลวเลย เธอยังเด็กอยู่เลย น่าจะสัก 17 – 18 ได้มั้ง? ผิวของเธอขาวจริงๆ ฉันคิดว่าฉันขาวแล้วนะ แต่ฉันก็อายเหมือนกับที่จะเทียบกับเธอ สือเหล่ย นายคิดว่าไง? ปาร์ตี้ที่หนูขาวจัดเยี่ยมไปเลยใชไหม? นายรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีตามากพอที่จะมองรึป่าว? นายชอบคนไหนบอกนายท่านซงมาได้เลย นายท่านซงจะบอกให้หนูขาวจัดการให้และพวกเราสามคนจะได้เล่นด้วยกันในคืนนี้…”
สือเหล่นรู้สึกลำบากใจมากและอยากจะเตะซงเมียวเมียวให้ตาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าทำดังนั้นเขาจึงต้องทำตามใจเธอไป
การแสดงดำเนินต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง หญิงสาวแสดงกันสุดฤทธิ์และพวกเขาก็สามารถเห็นหยดเหงื่อบนตัวพวกเธอได้ หลังจากจบเพลงแล้ว สาวๆก็ไม่ได้จากไป คนรุ่นที่สองในห้องได้ลากพวกเธอเข้ามาหาและเริ่มดื่มในขณะที่พูดคุยกันด้วยภาษาที่แตกต่างกันโดยไม่เข้าใจอะไรกันเลย