The Black Card - ตอนที่ 383
ตอนที่ 383 – พลังในการโต้กลับของตระกูลเว่ย
ซงเมียวเมียววิเคราะห์ในขณะที่สือเหล่ยฟังอย่างตั้งใจและพยายามไม่สนใจต่อความงามตรงหน้าเขา
“แทนที่จะเป็นเงิน ตระกูลหยูต้องการตั๋วเรือข้ามฝากไปยังระดับที่สูงขึ้น อย่างน้อยก็เป็นระดับที่ปู่ของฉันอยู่ในตอนนั้น หลังจากที่เอาชนะตระกูลเว่ยได้ ผู้คนที่มีส่วนร่วมทั้งหมดจะกลายเป็นบันไดให้กับพ่อของหยูปันจือก้าวขึ้นไป เขาไม่ได้ห่างชั้นกับมันนักและถ้าเขาตัดแบ่งตระกูลเว่ยออกเป็นชิ้นๆได้อย่างสมเหตุสมผล ตระกูลหยูก็จะสามารถไปถึงยังตำแหน่งที่พวกเขาต้องการได้ภายในสองปี นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดจากทั้งหมด”
สือเหล่ยพยักหน้าและพูดแทรก “แต่พ่อของหยูปันจือแก่แล้วหนิ เขาคงทำอะไรแบบนี้ได้ไม่นาน มันดึงดูดเขาได้จริงๆเหรอ?”
ซงเมียวเมียวกรอกตาของเธอ “แค่นิดเดียวมันก็ยังไม่พออีกเหรอ? มันมีสักกี่คนกันที่ได้อยู่ในตำแหน่งนั้น? ถ้าพวกเขานั่งอยู่ในตำแหน่งที่ว่าได้ อีกสามรุ่นถัดมาของตระกูลหยูก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก สือเหล่ย นายจำเป็นต้องรู้ว่าแม้สิ่งที่หยูปันจือกำลังทำอยู่ในตอนนี้จะไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ แต่พวกมันก็ล้วนเป็นการลงทุนตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ละเมิดกฏบางอย่างจริงๆ ตระกูลหยูรู้เรื่องนี้และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงต้องการการปกป้องที่มากยิ่งขึ้น มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายแต่ก็ไร้ซึ่งเหตุผล ในทันทีที่ตระกูลของพวกเขาทำสำเร็จ มันจะไม่มีปัญหาใดๆสำหรับหยูปันจือในการโอนย้ายสิ่งต่างๆ และความมั่งคั่งของเขาก็จะสามารถใช้ต่อไปได้ถึงคนรุ่นถัดไป”
สือเหล่ยเข้าใจขึ้นมาครึ่งหนึ่งและหวังว่าซงเมียวเมียวก็อธิบายได้มากขึ้น
“และสิ่งที่นายพูดว่าพ่อของหยูปันจือแก่มากแล้วนั้น พวกเขาจึงต้องรีบร้อนเพราะเหตุนี้ ถ้าพวกเขาไม่สามารถไปถึงตำแหน่งที่ว่าได้ภายในสองปี เขาก็จะต้องสูญเสียโอกาสในการก้าวหน้าไปอย่างแน่นอน รอบต่อไปคือห้าปีต่อมา ดังนั้นจากมุมมองของฉัน หยูปันจือหรือตระกูลหยูไม่ได้เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเนื่องจากตระกูลเว่ยยังสามารถโต้กลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ตระกูลหยูก็ไม่ได้มีเวลาและพวกเขาต้องจัดการกับทุกอย่างให้เสร็จภายในปีนี้ ด้วยเหตุนี้ ตระกูลหยูจึงต้องจ่ายราคาที่แพงเพื่อเอาชนะตระกูลเว่ย แน่นอนว่าราคาที่ต้องจ่ายไปทั้งหมดคุ้มค่าในสายตาของพวกเขา แทนที่จะมีภูเขาทองคำที่พวกเขาไม่สามารถแสดงออกมาได้ พวกเขายอมเลือกที่จะเสี่ยงกับมัน ด้วยความสามารถของหยูปันจือ พวกเขาสามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเสียไปกลับคืนมาได้ภายใน 10 ปี”
“เพื่อประโยชน์ของการทำให้คนรุ่นต่อไปสามารถใช้ทรัพย์สมบัติได้อย่างถูกต้องงั้นเหรอ?”
“ยังไม่พออีกเหรอ? นี่เป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนและถ้าพวกเขาพลาดไปเพียงจุดเดียว พวกเขาอาจจะแพ้เกมทั้งกระดาน ถ้าพวกเขาต้องการที่จะชนะหรืออยู่ในตำแหน่งที่ไม่แพ้ พวกเขาต้องกลัวที่จะมีแผนการใดๆต่อพวกเขา สือเหล่ย ฉันไม่ได้โม้ แต่ตราบใดที่ปู่ของฉันยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลซงของฉันจะแข็งแกร่งดุจกำแพงทองคำ นี่เป็นเพราะเขาเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้น ตระกูลหยูจะไม่ยอมหันหลังกลับเพราะพวกเขาต้องการให้หวูตงกลับคืนสู่สภาพการชิงดีชิงเด่นระหว่างสองตระกูล สามตระกูลนั้นมีเสถียรภาพมากเกินไปและไม่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขา เมื่อพวกเขาเอาชัยเหนือตระกูลเว่ยได้ แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าตระกูลของพวกเขาบาดเจ็บสาหัส แต่หยูปันจือก็สามารถกู้คืนกลับมาได้ภายใน 10 ปี สำหรับด้านอื่นๆ พวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีใครไปถึงได้ในอีกสองปีต่อมา ไม่ว่าตระกูลไป่จะมีมรดกมากแค่ไหน หวูตงก็จะเป็นของตระกูลหยูเมื่อผู้อาวุโสไป่ล่วงลับไปแล้ว นายน่าจะรู้ว่าผู้อาวุโสไป่นั้นแก่ แก่กว่าปู่ของฉันอีก ร่างกายของเขาไม่ได้ดีเท่ากับปู่ของฉัน”
หัวใจของสือเหล่ยเต้นไม่เป็นจังหวะและเขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
งั้นตระกูลหยูก็เคลื่อนไหวด้วยจุดประสงค์เพื่อตำแหน่งของพวกเขาในอนาคต เมื่อพูดเช่นนี้ ตระกูลไป่อาจจะช่วยตระกูลเว่ยจริงๆ ผู้อาวุโสไป่ไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรนักเนื่องจากเขาแค่ต้องการรักษาสถานการณ์ปัจจุบันเท่านั้น สำหรับตระกูลไป่ การมีสามตระกูลคานอำนาจกันอยู่นั้นดียิ่งกว่าการมีแค่สองตระกูลต่อสู้กันอยู่ที่ด้านบน
เนื่องจากซงเมียวเมียวยังสามารถคิดเรื่องนี้ได้ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อาวุโสไป่จะตาบอดต่อความทะเยอทะยานของตระกูลหยู ดังนั้น ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาอาจจะช่วยตระกูลเว่ยหาผู้ช่วยเหลืออยู่ตระกูลไป่ได้
อย่างไรก็ตาม ซงเมียวเมียวดูเหมือนจะมองสือเหล่ยออก “อย่าคิดอะไรง่ายๆแบบนั้น ตระกูลไป่จะไม่ช่วยตระกูลเว่ยแน่นอนแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าตระกูลหยูจะขึ้นไปยืนอยู่ที่ด้านบนในอนาคต พวกเขาจะไม่กระโดดออกไปในเวลาเช่นนี้เพื่อต่อต้านตระกูลหยู ฉันไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ตระกูลหยูลากเข้ามาเกี่ยวด้วยในเวลานี้ แต่เนื่องจากตระกูลซงของฉันเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว ผู้อาวุโสไป่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามันคุ้มค่าไหมที่จะรุกรานหลายๆตระกูลเพียงเพื่อรักษาสถานการณ์ปัจจุบัน ตระกูลไปคงอยู่มานานหลายศตวรรษแล้ว ความอดทนและอดกลั้นคือหลักการสำคัญที่สุดที่ทำให้ตระกูลนี้คงอยู่มานาน”
“งั้นเธอกำลังจะบอกว่าตระกูลเว่ยต้องตายแน่ๆงั้นเหรอ?” สือเหล่ยพูดส่งๆ แต่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติในขณะที่ซงเมียวเมียวกล่าวว่าตระกูลเว่ยยังสามารถโต้กลับมาได้
“เธอหมายความว่าไงที่บอกว่าตระกูลเว่ยยังสามารถโต้กลับมาได้?”
ซงเมียวเมียวยิ้ม “ดูเหมือนนายจะไม่ได้โง่ไปซะทั้งหมด…”
“ยัยผู้หญิงบ้า เธอสิที่โง่!” สือเหล่ยไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าคนโง่อยู่ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากเขารู้สึกว่าเขาเอาชนะการต่อสู้ระหว่างบัตรสีดำได้เพราะไอคิวที่สูงล้ำของเขา
ซงเมียวเมียวหัวเราะ เธอขยับขาของเธอจากโต๊ะน้ำชามาที่ขาของสือเหล่ยและเตะเขาเบาๆ “นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเว่ยชิงเยว่เอง”
“สถานการณ์มันร้ายแรงและไม่มั่นคงมากขนาดที่นายท่านเว่ยยังไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วเว่ยชิงเยว่จะไปทำอะไรได้?”
“ตอนเว่ยชิงเยว่ยังเด็ก เธอมีเจ้าหน้าที่ในหวูตงเป็นพ่อบุญธรรม พวกเขามอบผลประโยชน์ให้แก่กันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน งานทางภาครัฐและธุรกิจเข้ากันได้ดีมาก นายบอกว่าเว่ยชิงเยว่หายไป ฉันคิดว่าเธอน่าจะกำลังไปขอความช่วยเหลือจากพ่อบุญธรรมของเธอ อย่างไรก็ตามเขาก็ย่อมมองสถานการณ์ในหวูตงออก ถ้าตระกูลซงของฉันไม่เข้าร่วม บางทีพ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่อาจจะปรามตระกูลหยูไว้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ถ้าพ่อของฉันตัดสินใจเข้าร่วมกับหยูปันจือ งั้นพ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่ก็ต้องพิจารณาถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่ามันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าตระกูลเว่ยจะยอมจ่ายเท่าไรเพื่อให้เขาช่วย”
สือเหล่ยผลักขาของซงเมียวเมียวออกไป “ราคาแบบไหนที่พวกเขาต้องจ่าย? พวกเขาคงไม่ให้เว่ยชิงเยว่ไปรับใช้คนแก่หรอกนะ?”
ซงเมียวเมียวมองไปที่สือเหล่ยด้วยความประหลาดใจและส่ายหัว “ฉันไม่รู้ว่านายเป็นคนวิปริตขนาดนี้เลย เขาเป็นพ่อบุญธรรมของเธอจริงๆและไม่ใช่อย่างที่นายคิด แม้ว่าเว่ยชิงเยว่จะเป็นคนที่สวยที่สุดในสายตาของนาย แต่เขาก็อยู่ในตำแหน่งที่สูง ทำไมเขาจะต้องสนใจเกี่ยวกับรูปลักษณ์ด้วย? ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาเอาเว่ยชิงเยว่มาเป็นลูกบุญธรรมเพราะทั้งสองตระกูลสามารถใช้ประโยชน์จากกันได้ มันไม่มีอะไรใกล้เคียงกับสิ่งที่นายคิดเลย”
สือเหล่ยเงียบไปก่อนที่เขาจะฝืนอธิบาย “ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นซะหน่อย ฉันแค่กำลังจะบอกว่าเขาฝ่ายเดียวกัน ในตอนนี้เพื่อนเก่าของเขาอยู่ในอันตราย เขาจะไม่สนใจมิตรภาพและเฝ้ามองอยู่ที่ด้านข้างเฉยๆงั้นเหรอ?”
“มิตรภาพ? ฮ่าฮ่า สือเหล่ย นายมันไร้เดียงสา โง่เง่า และเด็กจริงๆ แต่คนแบบนี้แหละที่ฉันชอบ” ซงเมียวเมียวพูดและวางขาของเธอลงบนขาของสือเหล่ยและเตะเขาเบาๆอีกครั้ง
“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันในเวลานี้ แต่พวกเขาก็อยู่ ณ ตำแหน่งด้านบน นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ประโยชน์จากกันและกัน ไม่ใช่ว่าตระกูลเว่ยก็ได้รับประโยชน์จากคนๆนั้นเหรอ? มองมันให้ง่ายๆโดยไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง พวกเขาแค่พึ่งพากันและกันเท่านั้น”
ซงเมียวเมียวสัมผัสกับสือเหล่ยด้วยเท้าของเธอไปทุกๆที่ และพูดขึ้นมาอย่างฉับพลัน “หือ นายไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยจริงๆเหรอ ฉันไม่น่าดึงดูดสำหรับนายขนาดนั้นเลย?”