The Black Card - ตอนที่ 386
ตอนที่ 386 – ถ้ามีบัตรแอบฟัง
บทสนทนานี้ทำให้สือเหล่ยตื่นตระหนกขึ้นมาในขณะที่เขารู้สึกถึงบางสิ่ง
ตระกูลระดับสูงจากหวูตง… มันต้องเป็นตระกูลเว่ย ตระกูลหยู หรือไม่ก็ตระกูลไป่อย่างไม่ต้องสงสัย
สือเหล่ยกำลังจะปฏิเสธข้อเสนอของไป่ชู แต่ในตอนนี้เขาต้องคิดอีกที
มันไม่ใช่ว่าจะเป้นไปไม่ได้ที่ตระกูลไป่จะมาหารองนายกไป่ แต่มันก็เป็นไปได้เช่นกันสำหรับตระกูลเว่ยและตระกูลหยู ถ้ามันเป็นคนของตระกูลหยูที่มาติดต่อรองนายกไป่ เหตุผลเดียวที่พวกเขาทำแบบนั้นก็คงจะเป็นเพื่อหาจุดเปลี่ยนที่นี่และหวังว่าตระกูลซงจะเป็นผู้สังเกตการณ์ อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ก็ไม่สูงนัก หากตระกูลเว่ยต้องการให้ตระกูลซงทำอะไรบางอย่างจริงๆ พวกเขามีแนวโน้มที่จะตรงไปยังซีซีโดยตรงไม่ใช่การติดต่อมาหารองนายกไป่ที่จี้โจว มันจะทำให้ตระกูลซงรู้สึกเบื่อหน่ายตัวพวกเขาได้เว้นเสียแต่ว่าตระกูลซงจะปฏิเสธคำขอร้องของนายท่านเว่ยไปแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว หยูปันจือมีโอกาสสูงที่สุดที่จะติดต่อมาหารองนายกไป่
อย่างไรก็ตาม สือเหล่ยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหยูปันจือถึงต้องมาหาเขา ไม่ว่าการเจรจาจะเป็นไปในทิศทางใด มันก็ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องพูดคุยกับรองนายกไป่
แต่หยูปันจือก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่สุดอยู่
ไป่ชูหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง “พี่หิน ผมแค่อยากสนิทกับพี่ให้มากขึ้น พวกเรากำลังจะอยู่ในตระกูลเดียวกันในไม่ช้าก็เร็วจริงไหม? ถ้าพี่ไม่ชอบงานอย่างเมื่อคืนนี้จริงๆ งั้นพวกเราไม่ไปก็ได้ ไปหาที่ดื่มกันหน่อยเป็นไง?”
เดิมทีไป่ชูคิดว่าเขาต้องพยายามมากยิ่งขึ้น แต่สือเหล่ยก็เห็นด้วยอย่างไม่คาดคิด
“ถ้านายจัดปาร์ตี้ไว้แล้ว งั้นพวกเราไปที่นั่นกันก็ได้ ถ้านาย คนจัดงานไม่ไป แล้วคนอื่นในปาร์ตี้จะทำยังไง?”
“ฮะ? พี่หิน พี่ตกลง? เจ๋ง! อันที่จริง มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย พวกเขายังมีความสุขกันได้แม้ว่าผมจะไม่ไปเพราะพวกเขาไม่ได้มาเพราะผม พี่หิน ขอที่อยู่ให้ผมด้วย เดี๋ยวผมขับรถไปรับ ไม่จำเป็นต้องขับรถไปสองคันหรอกถ้ามีแค่พวกเราสองคน”
สือเหล่ยตกลงและส่งที่อยู่ของเขาไปให้ไป่ชูผ่านทาง WeChat ไป่ชูตอบมาว่าเขาอยู่ใกล้ๆและจะไปถึงที่นั่นภายใน 10 นาที
สือเหล่ยสวมแจ็คเก็ตและบอกพ่อแม่ของเขาก่อนที่จะออกไป มีระยะห่างจากบ้านของเขาไปด้านหน้าโรงงาน และระยะเวลาก็พอดีกัน
มันเป็นออดี้คันเดิมจากเมื่อคืนที่ผ่านมา รถคันนี้ยังไม่ทันหยุดสนิท สือเหล่ยก็ได้ยินเสียงของไป่ชูแล้ว “พี่หิน พี่มาโคตรเร็ว อากาศมันหนาวนะพี่ และผมก็คิดว่าจะโทรหาพี่เมื่อผมมาถึง”
สือเหล่ยเปิดประตูและก้าวเข้าไปข้างใน “ไม่เป็นไร ฉันเพิ่งออกมา” ในความเงียบงัน สือเหล่ยกำลังคิดว่าเขาจะทำอย่างไรให้ไป่ชูบอกเขาว่าใครมาในวันนี้ แต่บางที่ไป่ชูเองก็อาจจะไม่รู้จักและสือเหล่ยก็จำเป็นต้องใช้ความสามารถสักหน่อยถ้าเขาต้องการให้ไป่ชูไปถามพ่อของเขา
เครื่องยนต์เริ่มต้นอีกครั้งและไป่ชูได้พูดออกมาในขณะที่เขาเหยียบคันเร่ง “พี่เขย พี่อายเหรอ? จริงๆแล้วพี่สนใจพวกขายาวเหล่านั้นใช่ไหม? พวกเธอเป็นชาวตะวันตกทั้งหมด แม้ว่าพวกเธอจะเป็นรัสเซีย มันก็ยังนับอยู่ พี่เขย ไม่ต้องห่วง ปากของผมปิดแน่นแน่ และผมจะไม่บอกอะไรพี่ซงเลย”
หัวของสือเหล่ยเริ่มปวดขึ้นมาอีกและคิด ‘ใครจะเชื่อว่าปากนายจะปิดได้ในเมื่อนายพูดมากขนาดนี้?’
“ฉันไม่สนใจของพวกนั้น”
“อะไรนะ? พี่ไม่ได้ต้องการไปในตอนแรก แต่จู่ๆพี่ก็เปลี่ยนใจ นั่นหมายความว่ามีต้องมีความคิดอะไรอยู่ในหัวบ้างแหละ มันไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ชาย แม้ว่าพี่ซงจะรู้ เธอคงไม่ว่าอะไร พี่เขย ถ้าพี่ไม่สนุกให้มากเข้าไว้ในตอนที่พี่ยังทำได้อยู่ พี่จะไม่มีโอกาสแล้วนะหลังจากพี่แต่งงาน พี่ซง หึหึ.. ฮ่าฮ่า แน่นอน พี่ย่อมรู้จักเธอดีกว่าผม โอ้ ถึงยังไงก็เถอะ พี่ซงทำตัวเป็นผู้ชายไหมเมื่อเธออยู่ตามลำพังกับพี่ ไอ้หยา ขอโทษ ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกความเป็นส่วนตัวของพี่ แต่ผมแค่สงสัย พี่ซงทำตัวเหมือนเด็กผู้ชายตั้งแต่เธอยังเด็ก และผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ”
สือเหล่ยไม่สามารถตามคำพูดของไป่ชูได้ทัน เด็กคนนี้ไม่จำเป็นต้องสนทนาเนื่องจากเขาสามารถพูดกับตัวเองได้เป็นชั่วโมง
ประเด็นคือสือเหล่ยไม่สามารถพูดอะไรได้จริงๆ ไป่ชูพูดมากเกินไปและสือเหล่ยก็ไม่สามารถอธิบายอะไรให้เขาฟังได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สือเหล่ยจึงเปลี่ยนหัวข้อ “ไป่ชู ฉันได้ยินเสียงพ่อของนายตอนนายโทรมา”
“โอ้ใช่ พ่ออยากให้ผมรอแม่กลับมาก่อน แต่ก็ปล่อยผมออกมาทันทีเมื่อเขารู้ว่าผมจะมาเที่ยวกับพี่ ด้วยสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว ผมก็บอกได้เลยว่าพี่กำลังจะเป็นพี่เขยของผมอย่างแน่นอน พ่อของผมไม่เคยมีท่าทีที่ดีต่อเพื่อนของผมคนไหนเลย และมันก็เป็นพี่ที่ทำให้เขาปล่อยผมออกมาได้ นั่นหมายความว่าคุณปู่แห่งตระกูลซงหรือลุงซงของผมต้องมีท่าทีที่ดีต่อพี่…”
สือเหล่ยพูดถึงมันแบบส่งๆและเด็กคนนี้ก็ลากไปเกี่ยวกับซงเมียวเมียวอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะปฏิบัติต่อซงเมียวเมียวเป็นเหมือนพี่สาวหรือแม้กระทั่งไอดอลของเขาจริงๆ
“พ่อของนายกำลังจะออกไปข้างนอกและในตอนนี้นายก็ออกมา แล้วแม่ของนายจะทำยังไงถ้าเธอไม่มีกุญแจ?”
“อืม ไม่จำเป็นที่พ่อต้องให้ผมอยู่บ้านหรอก เขาแค่หาข้ออ้างไม่ยอมให้ผมออกมา แม่ไปเล่นโยคะและมันก็ไม่ใช่ว่าพ่อไม่รู้ว่าแม่ไปไหน เขาแค่ต้องส่งคนขับรถเอากุญแจไปให้แม่ และนั่นคือสิ่งที่เขากำลังจะทำในภายหลัง แม่คงไม่ได้ตั้งใจเพราะเธอคิดว่าพวกเราจะรอแม่อยู่ที่บ้าน แต่ก็มีคนมาจากหวูตง เห็นได้ชัดว่าคนๆนั้นมาจากตระกูลใหญ่ พ่อของผมไม่อยากเจอพวกเขา แต่เขาก็ต้องไป ผมจะอยู่ที่บ้านได้ยังไงล่ะ… หืม?”
ไป่ชูขับรถอย่างรวดเร็วและแซงรถคันหนึ่งในขณะที่เขาพูด แต่ในทันทีที่เขาแซง เขาก็หยุดพูดในทันใดและค่อยๆชะลอความเร็วลง
“มีอะไร?”
“ผมคิดว่านั่นเป็นรถของพ่อ” ไป่ชูหันไปและมองย้อนกลับไปยังรถคันนั้น
สือเหล่ยคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป เขาเห็นรองนายกไป่กำลังขับรถด้วยตัวเองและสือเหล่ยก็สามารถเห็นคนที่กำลังนั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสารได้อย่างชัดเจนแม้ว่ามันจะมืด
มันคุ้นๆมาก สือเหล่ยรู้ได้ว่าเป็นใครจากเงาดำ
หยูปันจือ!
เป็นหยูปันจือจริงๆ!
สือเหล่ยไม่เข้าใจว่าทำไม หยูปันจือได้ไปคุยกับตระกูลซงแล้ว ทำไมเขาต้องมาหารองนายกไป่อีก?
“เห้ย พ่อของผมจริงๆ เขาขับรถเองและดูเหมือนว่าคนที่นั่งอยู่ในรถจะสำคัญจริงๆ อืม ไม่ทักทายเขาคงจะดีกว่า ไม่งั้นเขาว่าผมแน่” ไป่ชูเร่งความเร็วอีกครั้งในขณะที่เขาพูด
แต่สือเหล่ยก็ถาม “นายรู้ไหมว่าพ่อของนายกับคนๆนั้นกำลังจะไปที่ไหน?”
ไป่ชูไม่ลังเลและตอบ “บางทีอาจจะเป็นฉี ไม่ไกลจากที่ที่พวกเรากำลังจะไป มันอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร มีเลานจ์อยู่ที่นั่น พี่ของผมมักจะไปที่นั่นเป็นการส่วนตัว”
สือเหล่ยพยักหน้าและลังเลว่าเขาควรจะไปที่เลาจน์นั่นดูไหม เขาไม่รู้ว่าเขาสามารถใช้บัตรศิลปะการต่อสู้ได้อีกกี่ครั้งหลังจากที่เขาใช้ไปแล้วหลายครั้ง สือเหล่ยรู้สึกว่าเขาจะมีสายตาและความคล่องตัวที่ดีมากยิ่งขึ้นหลังจากใช้
มันจะดีแค่ไหนกันนะถ้ามีบัตรแอบฟัง
ไป่ชูชี้ไปที่ด้านข้างของถนน “เลานจ์นั่นไง มันเงียบเหมือนป่าช้า ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงชอบที่แบบนี้”
สายตาของสือเหล่ยมองตามไปยังมือของไป่ชูและได้ยินเสียงสุนัขหอนเบาๆ