The Black Card - ตอนที่ 388
ตอนที่ 388 – ภารกิจสอดแนมของหมาน้อย
ไป่ชูเดินเข้ามาด้วยความตกตะลึงและเอะอะโวยวายยกใหญ่ “พี่หิน พี่เป็นมืออาชีพในการเพาะเลี้ยงสุนัขงั้นเหรอ? เชี่ย พวกเราพยายามจับมันตั้งนาน และมันดันเดินเข้ามาหาพี่ง่ายๆแบบนี้เนี่ยนะ?”
สือเหล่ยยิ้มโดยไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นยืนและโบกมือให้กับคอลลี่ มันตามสือเหล่ยเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง
สือเหล่ยออกคำสั่งอย่างง่ายๆโดยบอกให้มันรออยู่ในห้องโดยไม่ต้องไปไหน คอลลี่เข้าไปในห้อง หาเก้าอี้ กระโดดขึ้นไป และนั่งอยู่กับที่โดยไม่ไหวติง
เด็กเหล่านี้คงจะไม่เคยเห็นสุนัขที่เชื่องขนาดนี้และพวกเขาต่างพากันห้อมล้อมมันด้วยความสงสัยและพยายามจะเล่นกับมัน อีกทางหนึ่ง สือเหล่ยก็พูดขึ้นมา “ฉันได้ยินว่ามีคนบอกว่ามีกล้องขนาดเล็กติดอยู่ข้างนอกงั้นเหรอ ฉันไม่คิดว่ามันจะดีเท่าไรนะ มันสามารถบันทึกว่าพวกเรามาที่นี่และงานปาร์ตี้ของพวกเราได้”
ไป่ชูพยักหน้าขึ้นมาในทันที “จริงสิ ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน บัดซบ หลินน้อย นายไม่ควรทำมันเลย”
เด็กผู้ชายที่ถูกเรียกว่าหลินน้อยเดินออกมาอย่างซึมกะทือ “ผมแค่คิดว่ามันน่าจะปลอดภัยกว่าที่มีกล้องวงจรปิดอยู่”
“นายอ่ะปลอดภัย แต่พวกเราอ่ะมีปัญหา รีบไปจัดการกล้องพวกนั้นซะ” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาราวกับว่าเขาไม่ชอบมัน
หลินน้อยไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกและรีบวิ่งออกไปข้างนอกในทันที เมื่อเขาเดินผ่านสือเหล่ย สือเหล่ยก็แตะไหล่ของเขาเบาๆ “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ แต่ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าจริงๆ ไปเถอะ เดี๋ยวฉันช่วย พวกนายจับตาดูสุนัขตัวนี้ไว้นะ ไว้ค่อยหาคนไปส่งมัน”
มีกล้องทั้งหมดสี่ตัวที่ครอบคลุมทั้งด้านหน้าของตัวอาคาร มันมีบันไดอยู่ที่ลานข้างหน้าและหลินน้อยได้ปีนขึ้นไปเพื่อปลดพวกมัน
เขาโยนกล้องตัวแรกให้กับสือเหล่ยและจัดการต่อ
สือเหล่ยจับกล้องไว้ในมือและตามที่คาดไว้ พวกมันมีขนาดใหญ่กว่าเล็บนิ้วโป้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันมีเสาอากาศขนาดเล็กอยู่ซึ่งน่าจะเป็นตัวส่งสัญญาณแบบไร้สาย
เขาแกล้งทำเป็นขอคำแนะนำ “แล้วพวกเราจะทำยังไงกับของพวกนี้?”
หลินน้อยถอนการติดตั้งต่อไปในขณะที่เขาพูด “พี่เขยแค่เหยียบมันให้พังก็พอ พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเอามันกลับมาติดตั้งใหม่อีก”
สือเหล่ยแอบเก็บไว้อันหนึ่งและทำลายที่เหลือทิ้ง
“แล้วพวกมันใช้ยังไงเนี้ย? นายซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตเหรอ?”
“นี่คือสิ่งที่ตระกูลของผมทำ ถ้าพี่เขยอยากได้ แค่โทรหาผมก็พอ พี่ต้องการไปใช้ทำอะไร? โอ้ ใช่ สุนัขตัวนั้นเชื่องกับพี่มาก พี่ต้องมีสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอยู่ที่บ้านใช่ไหม? มันเยี่ยมมากสำหรับการเฝ้าติดตามสัตว์เลี้ยงของพี่ในห้องนั่งเล่น เพียงแค่ติดตั้งไว้ตรงเพดานฝั่งตรงข้ามกันสองแห่ง มันก็ครอบคลุมทั้งห้องได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีแบบที่มีลำโพงขนาดเล็กซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นอีกนิดหน่อย พี่สามารถพูดผ่านโทรศัพท์และควบคุมสัตว์เลี้ยงของพี่ได้เลย”
สือเหล่ย “อืม ฉันกำลังคิดว่าจะเอาไปติดที่บ้าน”
“มันใช้งานง่ายๆ ดาวน์โหลดแอพฯออนไลน์และเชื่อมต่อมันเข้ากับโทรศัพท์ของพี่ จากนั้นก็เชื่อมต่อมันเข้ากับไวไฟของบ้านพี่และไม่ว่าพี่จะอยู่ไกลแค่ไหน พี่ก็สามารถตรวจสอบมันผ่านทางโทรศัพท์ได้ตราบใดที่พี่มีอินเทอร์เน็ต มันมีความละเอียดสูงและคมชัดมาก”
หลินน้อยปีนลงมาพร้อมด้วยกล้องอันสุดท้ายในมือ เขาโยนมันลงบนพื้นและกระทืบมัน “พี่เขย เป็นพยานให้ผมด้วยว่าผมจัดการหมดแล้ว”
“นายไม่ได้ติดตั้งอันไหนไว้ข้างในนะ?”
“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง? ผมไม่กล้าติดตั้งข้างในหรอกน่า ในบางครั้งที่พวกเขาเมา พวกเขาจะกอดกันและวิ่งไปรอบๆอยู่ข้างใน ถ้ามันถูกบันทึกไว้ ทุกคนคงจะเดือดร้อน” หลินน้อยเกาหัวด้วยรอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและแสดงให้สือเหล่ยดู “ดูสิ แอพฯนี้ ตระกูลของผมพัฒนามันขึ้นมาและมันก็ยอดเยี่ยมมาก ผมไม่ได้โม้นะ แต่พ่อของผมบอกว่ามันเป็นเทคโนโลยีทางทหารของรัสเซีย แม้ว่ารุ่นที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะเทียบกับรุ่นนั้นไม่ได้ แต่มันก็เป็นรุ่นที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานอย่างแน่นอน บนถนนของจี้โจว กล้องวงจรปิด 6 – 7 ตัวจาก 10 ตัวมาจากธุรกิจของตระกูลผม”
สือเหล่ยมองไปที่แอพฯและจดจำชื่อเอาไว้ เขาดาวน์โหลดมันในขณะที่พวกเขาเดินกลับไป
“นี่คือบ้านของนายเหรอ?” สือเหล่ยถามลวกๆ
หลินน้อยพยักหน้า “ครับ แต่เลานจ์ตรงนั้นไม่ใช่นะ พ่อของผมคิดว่าพวกเราสามารถสร้างอีกแห่งได้ที่นี่เหมือนกัน แต่หลักจากเริ่มสร้าง คนจากเลาจน์ก็มาบอกว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร พวกเขามีเส้นสายมากกว่าและแม้กระทั่งพี่ไป่ชูจะพูดให้ตระกูลของผม แต่มันก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ พ่อของผมไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ ดังนั้นเขาจึงปล่อยทิ้งบ้านหลังนี้ไว้แบบนี้ โชคดีที่ในตอนนั้นที่ดินราคาถูก มันจึงไม่เป็นไร หลังจากนั้น มันจึงกลายเป็นสถานที่สำหรับจัดงานปาร์ตี้ เลานจ์เห็นว่าพวกเราเป็นเด็กกัน และพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก”
“งั้นนายก็คุ้นเคยกับคนจากเลานจ์น่ะสิ?”
หลินน้อยยักไหล่ในขณะที่เขาเปิดประตูและให้สือเหล่ยเข้าไปก่อน “ไม่เชิง แต่พวกเราก็รู้จักผม ผมไม่ได้กลับบ้านหลังจากจบงานปาร์ตี้อยู่บ่อยๆเนื่องจากผมต้องมาที่นี่อีกในวันรุ่งขึ้น ผมเลยไปหาอะไรกินที่เลานจ์อยู่หลายครั้งเพราะมันไม่มีร้านอาหารอยู่แถวนี้เลย เขาของเลานจ์นิสัยดีอยู่ เขาเห็นว่าผมไปกิน เขาเลยบอกให้พนักงานไม่ต้องเก็บเงินกับผม ฮ่าฮ่า”
“งั้นนายก็ควรเอาสุนัขตัวนั้นกลับไปคืนพวกเขา”
“ผมไปได้ แต่พี่ต้องไปกับผม ผมกลัวสุนัขตั้งแต่ผมยังเด็ก และผมก็กลัวเกินกว่าจะพามันไปคนเดียว”
คำพูดของเขาเป็นสิ่งที่สือเหล่ยต้องการ เขาเดินเข้าไปข้างในและเรียกคอลลี่เข้ามา สือเหล่ยแสร้งทำเป็นโน้มตัวลงและยีขนของมัน แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ติดตั้งกล้องขนาดเล็กไว้ที่คอของมัน ขนของคอลลี่ค่อนข้างยากและซ่อนกล้องได้เป็นอย่างดี
สือเหล่ยบอกไป่ชูและเดินไปทางเลานจ์ที่อยู่ห่างออกไป 200 เมตรพร้อมกับหลินน้อย ไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาก็มาถึงที่ประตู สือเหล่ยคิดว่าเวลาของบัตรภาษาสัตว์กำลังจะหมดลงแล้ว เขาโน้มตัวลงและดึงคอลลี่เข้ามาพร้อมกับพูดกับหลินน้อย “ไปบอกคนที่ประตูเถอะ ฉันจะรออยู่ที่นี่เอง”
หลินน้อยพยักหน้าในขณะที่เขาวิ่งไปหายาม ในเวลาเดียวกันสือเหล่ยก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและแสดงภาพของรองนายกไป่ที่เขาค้นมาให้กับคอลลี่ดู “แกสามารถจำคนๆนี้ได้ไหม?”
คอลลี่เห่าเบาๆเพื่อบอกว่ามันฉลาดและเรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร
สือเหล่ยลูบหัวของมันและชมเชย “เด็กดี! หลังจากแกเข้าไปแล้ว ไปหาคนๆนี้และอยู่ใกล้ๆกับเขาไว้ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันจะดีที่สุดถ้าแกนอนอยู่บนพื้นและหันหน้าไปหาคนๆนี้”
คอลลี่เห่าเบาๆอีกครั้งเพื่อบอกว่ามันเข้าใจ
“หลังจากคนๆนี้กลับไป ให้วิ่งออกมา และมันจะดีที่สุดถ้าแกสามารถมาหาฉันได้”
คอลลี่เห่าอย่างชัดเจนในเวลานี้
ในเวลาเดียวกัน ยามก็เดินออกมาพร้อมกับหลินน้อยและตะโกนออกมาในทันทีที่เขาเห็นมัน “ไอ้หยา เป็นแกจริงๆ เป่ยต้า ถ้าแกไม่กลับมา ฉันโดนไล่ออกแน่ ขอบคุณมาก ขอบคุณพวกคุณทั้งสองคนจริงๆ!” ยามขอบคุณพวกเขาอย่างต่อเนื่องและสือเหล่ยได้ยิ้มให้
เมื่อพวกเขาแยกทางกัน เป่ยต้าได้เห่าให้สือเหล่ยสองครั้ง แต่สือเหล่ยก็ไม่เข้าใจแล้วว่ามันกำลังพูดว่าอะไร
หลังจากเป่ยต้ากลับเข้าไปในเลานจ์ มันก็เดินขึ้นไปด้านบนและยอมก็ไม่ได้สนใจอะไรเนื่องจากเป่ยต้าเชื่องมากและไม่สร้างปัญหาอะไร
มันเดินไปรอบๆและพบรองนายกไป่ในที่สุด หยูปันจือนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาและพวกเขาต่างกำลังสูบบุหรี่กันอยู่ เป่ยต้ากระโดดไปข้างๆหยูปันจือ และนั่งลงบนโซฟาข้างๆเขาโดยหันหน้าไปทางรองนายกไป่