The Black Card - ตอนที่ 389
ตอนที่ 389 – ฟังการสนทนา
หยูปันจือคิดว่ามันแปลก แต่รองนายกไป่จำสุนัขตัวนี้ได้ เขายิ้มและอธิบาย “มันชื่อเป่ยต้าและมันเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าของที่นี่ มันฉลาดมากและสามารถไปได้ทุกที่ที่มันต้องการในเลานจ์ เมื่อเจ้าของเลาจน์รับลูกค้าวีไอพีคนใหม่ เขาจะบอกว่าเขาจะยอมรับแค่คนที่ไม่สนใจว่าสุนัขกำลังเดินไปรอบๆ มันช่วยไม่ได้แหละนะ เขาปฏิบัติกับสุนัขเหมือนกับลูกของตัวเอง”
หยูปันจือยิ้ม “ดูเหมือนมันจะเชื่องนะ” เพราะมันนั่งอยู่ข้างๆหยูปันจือ เขาจึงเอื้อมมือออกมาเพื่อต้องการจะสัมผัสมัน
อย่างไรก็ตาม คอลลี่ก็โก่งหลังของมันขึ้นและเปล่งเสียงต่ำเพื่อเป็นการเตือน
ถ้าสุนัขเห่า มันอาจจะมีความหมายที่ซับซ้อน แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเหมือนกันนี้ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ไม่มันกลัวก็มันชอบ แต่ถ้าสุนัขขู่ด้วยเสียงต่ำจากลำคอ มันจำเป็นต้องระวังขึ้นมาเพราะมันหมายความว่าสุนัขรู้สึกว่าตัวเองถูกคุกคามและอาจจะโจมตีคนๆนั้นได้
หยูปันจือชักมือของเขากลับมาด้วยความกระอักกระอ่วน และคอลลี่ก็นอนกลับลงไปเช่นเดิม
“เป็นสุนัขที่น่าสนใจ” หยูปันจือเลิกพยายามสื่อสารกับมันและสูบบุหรี่ของเขาต่อ
นอกเลาจน์ สือเหล่ยดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเมื่อคอลลี่ถูกนำตัวไปโดยยาม “อืม ฉันได้อีเมล ไหนดูซิ” สือเหล่ยแกล้งทำเป็นเช็คโทรศัพท์แต่ก็รีบพูดขึ้น “ไวไฟที่นี่ไม่ค่อยดีเลย แต่ฉันเห็นอันนั้นมีสัญญาณแรง มันน่าจะเป็นไวไฟของเลาจน์ หลินน้อย นายรู้พาสเวิร์ดไวไฟของที่นั่นไหม?”
หลินน้อยไม่รู้ว่าสือเหล่ยวางแผนอะไรไว้อยู่และตอบไปในทันที “เลขแปดแปดตัว มันจำง่ายมาก”
สือเหล่ยป้อนรหัสผ่านไวไฟของเลานจ์และเปิดแอพฯกล้องวงจรปิดขึ้นมา เขาค้นหาอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ๆและพบกล้องที่ซ่อนอยู่ในคอสุนัขในไม่ช้า
เขาเชื่อมต่อกับมัน เปลี่ยนการตั้งค่า และเขาก็สามารถดูภาพผ่านโทรศัพท์ของเขาได้
สือเหล่ยสามารถเห็นได้ว่าคอลลี่ได้ขึ้นไปชั้นบนแล้วและกำลังตรวจสอบทุกๆห้องราวกับยาม คนในห้องดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการเห็นสุนัขเข้าและออก บ้างก็เรียกชื่อของมันออกมา แต่คอลลี่ก็หยิ่งเกินกว่าที่จะตอบสนองพวกเขา
ในที่สุดสือเหล่ยก็เห็นว่าคอลลี่เดินเข้าไปในห้องที่มีการสูบบุหรี่อยู่ แม้ว่ามันจะมีคนปกคลุมกล้องอยู่มากมาย แต่สือเหล่ยก็สามารถเห็นคนที่คุ้นเคยผ่านช่องว่างได้ สือเหล่ยรู้ว่าคอลลี่แสนฉลาดพบเป้าหมายที่ถูกต้องแล้ว
ภาพกระโดดไปมาและหยุดลง สือเหล่ยรู้ว่ามันหาที่นั่งๆเหมาะและนั่งลง
เขารีบปิดแอพฯเนื่องจากหลินน้อยเองก็ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์
“โอ้ มันเป็นอีเมลโฆษณา ฉันคิดว่ามันเป็นอะไรซะอีก” สือเหล่ยแต่งเรื่องขึ้นมาและกลับเข้าไปในอาคารพร้อมกับหลินน้อย
มันมีเพลงช้าๆเล่นอยู่ในห้องและมีคนมากขึ้นกว่าเดิม จำนวนผู้หญิงเห็นได้ชัดว่าเพิ่มขึ้นและพวกเธอก็ถูกพามาโดยเด็กพวกนี้
เขาหยิบเอาหูฟังบลูทูธออกมาและวางไว้ข้างหูก่อนที่จะเปิดแอพฯขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาเชื่อมต่อมันอีก ภาพของหยูปันจือและรองนายกไป่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจออีกครั้ง
มันไม่จำเป็นต้องดูเลย สือเหล่ยล็อคหน้าจอเนื่องจากเขาต้องการฟังแค่เสียงเท่านั้น
สือเหล่ยอยู่ในมุมเดียวกับเมื่อวานนี้และนั่งลงพร้อมกับแก้วเหล้าในมือ ไป่ชูเดินเข้ามาข้างๆสือเหล่ยช้าๆ “พี่หิน พี่ใส่หูฟังทำไมเนี้ย? พี่กำลังฟังอะไรอยู่? พี่ได้ยินเหรอ?”
“ไม่มีอะไร ฉันอาจจะได้รับโทรศัพท์ในคืนนี้และฉันกังวลว่าฉันจะไม่ได้ยินเสียง อย่างน้อยฉันก็รู้ว่ามีคนโทรมา”
“พี่จะไม่เต้นเหรอ? มีสาวๆอยู่ที่นี่ตั้งมากมาย ผมจะบอกให้พวกเขามาพาเพิ่มอีก”
“ไปสนุกเถอะ ฉันขอดื่มสักหน่อยก็พอ มันโอเคแล้ว”
เนื่องจากเมื่อคืนสือเหล่ยก็เป็นเช่นนี้ ไป่ชูจึงไม่ได้พยายามโน้มน้าวเขาอีกและกลับไปยังฝูงชน จากนั้นก็เลือกสาวๆอย่างคล่องแคล่ว
เสียงของรองนายกไป่ดังขึ้นในหูฟังของสือเหล่ยและเขาได้กดมันลงเพื่อฟังอย่างตั้งใจ
รองนายกไป่กล่าวว่า “นายน้อยหยู เนื่องจากคุณไปพบเลขาธิการซงแล้ว มันคงไม่เหมาะสมเท่าไรที่จะมาพบผม คุณรู้ไหมว่าผมก็ถูกนับว่าเป็นหนึ่งในคนจากตระกูลซงเพราะไม่มีไป่หยวนก็ไม่มีตระกูลซง ถ้าเลขาธิการซงไม่พูดอะไร ผมก็ทำอะไรมากไม่ได้”
เสียงของหยูปันจือฟังดูไม่คุ้นเคยกับเสียงที่สือเหล่ยเคยได้ยิน เสียงของเขาไม่ได้นุ่มนวล มันค่อนข้างแหลมคมและแข็งแกร่งให้ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่า
“นายกไป่อยากจะพึ่งพาตระกูลซงไปตลอดชีวิตจริงๆเหรอ? คำพูดของผมอาจจะน่าเกลียด แต่คุณเต็มใจที่จะเป็นสุนัขของตระกูลซงไปตลอดชีวิตจริงๆเหรอ?”
สือเหล่ยอึ้ง หยาบคายอะไรขนาดนั้น? มันเป็นการตบหน้าโดยแท้
ถึงแม้ว่าซงเมียวเมียวเองก็ยังใช้คำว่า “สุนัข” เมื่อกล่าวถึงไป่หยวน แต่เธอก็ย่อมไม่พูดมันต่อหน้าเขาแม้ว่าไป่หยวนจะทำตัวต่ำต้อยต่อหน้าเธอ
บางทีการเจรจาของหยูปันจือกับตระกูลซงอาจจะไม่ราบลื่นงั้นเหรอ? มิฉะนั้นทำไมเขาถึงข้ามหน้าข้ามตาพ่อของซงเมียวเมียวเพื่อมาคุยกัยไป่หยวนและใช้น้ำเสียงแบบนั้น?
ไม่มีเสียงดังออกมาอีกนาน สือเหล่ยแทบจะจินตนาการได้ว่าดวงตาของไป่หยวนมีความโกรธลุกโชนอยู่มากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม สือเหล่ยก็รู้ว่าแม้ว่าหยูปันจือจะพูดแบบนั้น แต่ไป่หยวนก็คงไม่กล้าพูดอะไรกลับมา ถึงแม้ว่าหยูปันจือจะตบหน้าเขาจริงๆก็ตาม
“นายน้อยหยู คำพูดของคุณก็เกินไป… คุณโทรบอกให้ผมออกมาดึกๆแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคุณแค่จะมาถากถางผม?” เสียงของไป่หยวนต่ำลงเนื่องจากเขาไม่สามารถซ่อนความโกรธไว้ได้อีก
หยูปันจือหัวเราะ “คุณมีค่าอะไรในสายตาของตระกูลซง? อย่าบอกผมนะว่าคุณไม่รู้ คุณมีสิทธิ์ ตระกูลซงสัญญาว่าคุณสามารถเป็นนายกเทศมนตรีของจี้โจวได้ภายในสองปี แล้วไง? คุณต้องใช้เวลาไปมากเท่าไรเพื่อวิ่งเต้น? สองปี? สามปี? คุณก็ไม่หนุ่มแล้วใช่มั้ย? คุณอายุเกือบจะห้าสิบแล้ว คุณแน่ใจเหรอว่าคุณสามารถครองอำนาจได้ก่อนที่คุณจะอายุห้าสิบห้า? แล้วคุณอาจจะอยู่ในระดับรองเลขาธิการเมื่อตอนคุณเกษียณ มันคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆเหรอ?”
ไป่หยวนเงียบต่อไปสักพัก เมื่อเขาพูดอีกครั้ง เสียงของเขาฟังดูขมขื่นขึ้นมา “นายน้อยหยูกำลังจะบอกว่า…”
เสียงตบมือเบาๆดังนั้นและมันน่าจะมาจากหยูปันจือ เขากล่าวต่อ “บุญคุณตอบแทนด้วยบุญคุณ ถ้านายกไป่สามารถช่วยผมจัดการกับปัญหาเล็กๆได้ ผมจะส่งคุณไปหวูตงในฐาะนรองนายกเทศมนตรีและจะส่งคุณเข้าสู่คณะกรรมการจัดตั้ง”
สือเหล่ยตกใจมาก แม้ว่าหวูตงจะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดและคณะกรรมการจัดตั้งก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ไป่หยวนก็อยู่ในคณะกรรมการจัดตั้งของจี้โจว การถ่ายโอนอำนาจในระดับเดียวกันมันจะน่าดึงดูดเหรอ?
แต่ในไม่ช้าสือเหล่ยก็เข้าใจว่าทำไม หวูตงเป็นรองแค่ตัวจังหวัด แม้ว่ามันจะเป็นการถ่ายโอนจากจี้โจวไปยังหวูตง และไป่หยวนก็ยังเป็นรองนายกเทศมนตรีของคณะกรรมการจัดตั้ง แต่ระดับของเขาก็จะสูงขึ้นด้วยบทบาทที่สำคัญในแผนกนี้ หวูตงก็นับเป็นแผนกระดับบนแล้ว ถ้าเขาก้าวต่อไปอีก เขาคงจะอยู่ในระดับรองเลขาธิการ เขาอาจถูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดและกลายเป็นนายกเทศมนตรีได้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเป็นหมายเลขหนึ่ง แต่เขาก็จะเป็นหมายเลขสองได้ไม่ยาก
มันเป็นการยั่วยวนที่น่าดึงดูด
อย่างไรก็ตาม ไป่หยวนก็ไม่ตอบกลับไปง่ายๆตั้งแต่แรก คำสัญญาอาจไม่จำเป็นต้องทำตาม และถ้าเขาแยกตัวออกมาจากตระกูลซง เขาคงไม่อาจหยุดพวกนั้นได้ถ้าพวกเขาโกรธขึ้นมา
“ลูกผู้ชายจำต้องเสียสละถ้าเขาต้องการที่จะอยู่รอด!” บางทีหยูปันจืออาจจะเห็นว่าไป่หยวนถูกล่อลวงแล้ว เขาจึงเติมเชื้อไฟลงไป