The Black Card - ตอนที่ 390
ตอนที่ 390 – นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม หยูปันจือ
ไป่หยวนตอบกลับเร็วมากในครั้งนี้
“นายน้อยหยู หยุดล้อเล่นเถอะ ผมเป็นแค่ลูกของทหารธรรมดาๆและผมก็ต้องขอบคุณตระกูลซงอย่างสุดซึ้งที่ทำให้ผมได้มายืนอยู่ในจุดนี้ ทรยศพวกเขางั้นเหรอ? ขอโทษที ผมทำไม่ได้ การที่ผมได้มาดื่มและพูดคุยกับนายน้อยหยูในวันนี้ก็ทำว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”
โอ้? เอาอย่างนี้เลย? สือเหล่ยคิดและคิดว่ามันเป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะหากไป่หยวนทรยศต่อตระกูลซง ตระกูลหยูตงไม่สามารถปกป้องเขาไปได้ตลอด
ในเลานจ์ หยูปันจือได้ยินคำพูดของไป่หยวน เขายิ้มในขณะที่สูบบุหรี่ ควันหนาเอ่อล้นและปิดบังสีหน้าของเขา
“นายกไป่ไม่ต้องรีบ ผมจำไม่ได้ซะหน่อยว่าผมบอกให้คุณทรยศตระกูลซง ตระกูลหยูไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถมาหลบภัยได้ง่ายๆ นี่คือข้อตกลง ข้อตกลงเพื่อให้คุณบรรลุในสิ่งที่ต้องการ ผมไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรให้ตระกูลซงมาหยุดคุณนะ? ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าผมไปเจอเลขาธิการซงมาเมื่อวานและได้ตัดสินใจว่ามันจะมีความร่วมมือระหว่างทั้งสองตระกูล เลขาธิการซงเป็นคนหัวโบราณ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมาก นายกไป่ ผมแค่ต้องการให้คุณช่วยผม ถ้าเลขาธิการซงพยักหน้าในตอนจบ คุณก็จะเป็นแนวหน้าและตระกูลซงย่อมไม่มีอะไรมาขัดขวางคุณ แม้ว่าเลขาธิการซงพิจารณาใหม่และไม่ยอมรับโอกาสในการเข้าร่วมกับตระกูลหยูของผม แต่สิ่งที่คุณทำก็ไม่ได้ทำให้ตระกูลซงขัดอะไรคุณได้”
ไป่หยวนมองไปที่หยูปันจือด้วยความไม่เชื่อถือและไม่กล้าที่จะเชื่อเขา เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากที่เขี่ยบุหรี่และสูบ เพื่อใช้เวลาในการคิดอย่างรวดเร็ว
เขาเป็นรองนายกเทศมนตรีและคำพูดของหยูปันจือก็ไม่ได้ทำให้ไป่หยวนโอนเอน ตรงกันข้าม นัยแฝงในคำพูดของเขาทำให้ไป่หยวนรู้สึกเบื่อหน่าย
นายกำลังทำเหมือนฉันเป็นเด็กๆงั้นเหรอ? ถ้าฉันช่วยนายไม่ว่าเลขาธิการซงจะตัดสินใจเข้าร่วมกับนายหรือไม่ ฉันก็ทำผิดจริงๆ ฉันเป็นแค่แนวหน้าเท่านั้น ฉันจะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการได้อย่างไร? ถ้าพวกเราทำลายศัตรูได้ด้วยการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นก็ไม่เป็นไรเนื่องจากความไม่พอใจทั้งหมดอาจจะลดลงได้ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เลขาธิการซงจะเขี่ยเขาทิ้งไปทันที
แต่ถ้าตระกูลซงไม่ได้ร่วมมือกับตระกูลหยูในท้ายที่สุด งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรเลยกับการที่ฉันทรยศพวกเขา
ไป่หยวนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พวกเขาต่างพูดคุยกันว่าหยูปันจือเป็นยังไง แต่อันที่จริงเขาก็แค่งั้นๆ
เขาวางบุหรี่ลงและยิ้ม เมื่อเขาคิดว่าหยูปันจือไม่ได้ยากที่จะรับมือ เขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลเหมือนเดิมอีก
ในท้ายที่สุด เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุแค่สามสิบกว่าปีเท่านั้น เขาอาจจะมีไอคิวที่สูง แต่อีคิวนั้นสำคัญมากกว่าในสถานการณ์นี้ และหยูปันจือก็อ่อนมากในด้านนี้
ไป่หยวนพูดขึ้นมา “นายน้อยหยู ไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันแล้ว ถ้าเลขาธิการบอกผมให้ไปทางตะวันออก ผมก็จะไม่ไปทางตะวันตกอย่างแน่นอน แต่นายน้อยหยู… นายน้อยหยูควรจะพูดกับเลขาธิการซงให้มากกว่านี้” มันเป็นคำพูดของเขาเฉยๆ ไม่ใช่การโน้มน้าวแต่อย่างใด
หยูปันจือดูเหมือนจะไม่พอใจเท่าไรในขณะที่ใบหน้าของเขาซีดเซียว เขาพ่นลมหายใจออกมา “นายกไป่ คุณไม่ไว้หน้าผมเลย ตระกูลซงมีประวัติความเป็นมายาวนานและคนจากตระกูลนั้นก็ไม่ใช่คนที่โลภ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตระกูลซงเพียงอย่างเดียว ผมกลัวว่ามันจะไม่ง่ายสำหรับคุณในอนาคตนะ?”
ไป่หยวนหรี่ตาลงและคิด ‘เขามีแค่นี้งั้นเหรอ?’
อ่า นายน้อยหยูคนนี้ช่างน่าผิดหวังจริงๆ
“คนแซ่ไป่ใจไม่ใหญ่นัก ผมพอใจกับสถานะในปัจจุบันมาก ขอขอบคุณนายน้อยหยูสำหรับข้อเสนอ แต่ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ”
“คุณไม่อยากได้ยินเรื่องง่ายๆหน่อยเหรอ?” หยูปันจือบังคับให้เสียงของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกที่ไม่พอใจ
ไป่หยวนถอนหายใจยาวออกมาและยังคงเงียบอยู่ในขณะที่เขาจิบเหล้าในแก้ว
หยูปันจือหยุดไปชั่วขณะ “กว่าสิบปีที่ผ่านมา มีคดีหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวครอบครัวหนึ่งตายในหนึ่งคืน ผลการตรวจสอบพบว่าแก๊สระเบิดซึ่งนำไปสู่เพลิงไหม้และในที่สุดก็เผาอาคารไปครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ถูกกล่าวอ้างต่อสาธารณชน อย่างไรก็ตามมีข้อสงสัยมากมายและคดีนี้ก็ไม่ได้ถูกปิดในระบบตำรวจของจี้โจว ผมแค่หวังว่านายกไป่จะรื้อคดีนี้ขึ้นมาใหม่ มันไม่สำคัญว่าผลจะเป็นยังไง ผมเพียงแค่ต้องการให้รัฐบาลจี้โจมให้ความสนใจกับคดีนี้ก่อนวันตรุษจีน”
ไป่หยวนขมวดคิ้ว หยูปันจือได้เปิดเผยถึงเจตนาที่เขามาที่นี่และมันก็เกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ย ตอนนี้เขาได้กล่าวถึงคดีที่ผ่านมามากกว่าสิบปีขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ บางทีคนเหล่านั้นอาจจะตายด้วยเงื้อมมือของตระกูลเว่ย?
อย่างไรก็ตาม ถ้ามันเป็นการรื้อคดีขึ้นมาใหม่เพียงอย่างเดียว มันก็ไม่มีเหตุผลใดให้หยูปันจือต้องมาคุยกับเขา มีเจ้าหน้าที่มากมายในจี้โจวตั้งแต่นายกเทศมนตรีไปจนถึงหัวหน้าสำนักงานตำรวจ พวกเขาเหมาะสมกับเรื่องนี้กว่ามาก อันที่จริงมันก็เหมือนกับที่หยูปันจือกล่าว มันไม่ได้ยากเลย เขาแค่ต้องจัดประชุมโดยเน้นย้ำว่าตำรวจควรจะจัดการคดีเก่าๆให้เหมาะสม เนื่องจากมีคนมากมายตายในคดีนั้นและมันก็ยังไม่ถูกปิด มันจึงไม่ยากอะไรที่จะพูดถึงมันอีกครั้ง
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คดี การกระทำของหยูปันจือดูน่าสงสัยเกินไป เขาสามารถไปที่หัวหน้าของไป่หยวนเพื่อทำเรื่องนี้ได้โดยตรง ทำไมเขาถึงต้องมาหาไป่หยวน?
เมื่อไป่หยวนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สือเหล่ยก็กำลังคิดถึงปัญหาเดียวกันในอาคารหลังเล็กๆ
จากภายนอก การตายของครอบครัวเป็นเรื่องน่าสงสัยและคดีก็ยังไม่ถูกปิด เป้าหมายของตระกูลหยูคือตระกูลเว่ยและมันก็ย่อมต้องเกี่ยวพันกับตระกูลเว่ยอย่างแน่นอน ตามความเข้าใจของสือเหล่ย วิธีการที่นายท่านเว่ยใช้เพื่อกลายเป็นคนร่ำรวยและทรงอำนาจนั้นไม่ได้รวยหรูนักและต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ สำหรับคนอย่างนายท่านเว่ย ชีวิตคือสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุด
แต่นั่นแหละคือปัญหา หยูปันจือมีคนอื่นที่เหมาะสมอีกมากสำหรับการจัดการกับเรื่องนี้ ทำไมต้องเป็นไป่หยวน?
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าคือแรงกระตู้นแปลกๆที่หยูปันจือได้แสดงให้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นแบบฉบับที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากหยูปันจือที่สือเหล่ยรู้จัก
สือเหล่ยรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาในทันใด บางทีหยูปันจืออาจจะค้นพบอะไรบางอย่าง? เช่นกล้องขนาดเล็กในคอของสุนัข? เขากำลังแสดงต่อหน้าคนที่กำลังแอบฟังเขาอยู่?
สือเหล่ยไม่เข้าใจว่าทำไมไป่หยวนจึงต้องให้คำตอบกับหยูปันจือ
“นายน้อยหยู ถ้าเป็นสิ่งที่คุณพูด มันง่ายมาก แต่อีกแค่ 2 – 3 วันก็ตรุษจีนแล้ว มันไม่เหมาะที่ผมจะทำให้ตำรวจวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผลที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องพวกนี้ นายน้อยหยูจะต้องรู้จักคนอื่นแน่ๆ บางทีคุณอาจจะลองคิดหาคนอื่นดูเป็นไง?”
จากมุมมองของไป่หยวน หยูปันจือขอให้เขาทำเช่นนี้เพราะเขาต้องการใช้ตัวตนของเขาในฐานะส่วนหนึ่งของตระกูลซง เมื่อไป่หยวนเคลื่อนไหว จี้โจวคงจะคิดว่าเขาเคลื่อนไหวในนามของตระกูลซง ดังนั้นคนที่จับตาดูเรื่องนี้อยู่ก็จะคิดว่าไป่หยวนเป็นตัวแทนถึงความตั้งใจของตระกูลซง
นี่คือสิ่งที่ไป่หยวนไม่สามารถทำได้
สือเหล่ยคิดอย่างนี้ได้โดยธรรมชาติเนื่องจากเขาเข้าใจชัดเจนถึงความบาดหว่างระหว่างตระกูลหยูและตระกูลเว่ยมากกว่าไป่หยวน ดังนั้นการกระทำของหยูปันจือจึงดูไร้เหตุผลสำหรับเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่สิ หยูปันจือกำลังทำมันเพราะความตั้งใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาแสดงในวันนี้คือการเล่นละครเท่านั้น