The Black Card - ตอนที่ 392
ตอนที่ 392 – เธอเป็นผู้หญิงของผม
สือเหล่ยนั่งยองๆลงและลูบคอลลี่ “ไปเล่นเถอะ”
คอลลี่กระดิกหางของมันและจากไปอย่างไม่เต็มใจ
หยูปันจือได้เห็นสิ่งนี้และตื่นตระหนก แน่นอนว่าเขารู้ว่าคอลลี่ตัวนี้เป็นตัวที่นั่งอยู่ข้างๆเขาเมื่อตอนนั้น
“พี่หยู ผมควรจะเป็นคนถามพี่มากกว่า ผมมาจากจี้โจว ทำไมพี่ไม่บอกผมว่าพี่มา? อย่างน้อยผมควรจะได้เลี้ยงข้าวพี่หน่อย”
หยูปันจือยังคงมองไปที่คอลลี่และสายตาของเขาที่มองมายังสือเหล่ยก็เริ่มมีความสงสัยขึ้นมา
สือเหล่ยรู้ว่าหยูปันจือเริ่มสงสัยเขาแล้ว ในความเป็นจริง นั่นคือสิ่งที่สือเหล่ยต้องการเห็นจากหยูปันจือ
“ฉันมาธุระที่นี่และตารางของฉันค่อนข้างแน่น ฉันมาถึงหลังมื้อเย็นไปแล้ว ดังนั้นฉันเลยไม่ได้ติดต่อไปหานาย แต่โชคชะตาก็นำพาเรามาพบกันที่นี่”
สือเหล่ยหัวเราะ “ไม่เชิง ลูกของรองนายกไป่ลากผมออกมาเที่ยว เขาเพิ่งจะเห็นรถพ่อของเขาและตะโกนออกมา ดังนั้นผมจึงเหลือบมองดูและเห็นว่าพี่อยู่ในรถ ลูกของรองนายกไป่บอกผมว่าพี่ทั้งสองน่าจะอยู่ที่เลาจน์แห่งนี้ สุนัขของเลานจ์แอบออกมาและผมก็เห็นมัน ดังนั้นผมจึงเอามันกลับมาคืนโดยคิดว่าผมน่าจะได้พบกับพี่หยูที่นี่ ฉันจะได้ทักทายพี่ได้”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ความสงสัยของหยูปันจือลดลงและเขาดูจะถามออกไปอย่างลวกๆ “นายดูคุ้นเคยกับพวกเขานะ?”
“ไม่ซะทีเดียว ผมเคยมาเที่ยวที่นี่ สุนัขตัวนี้ชื่อเป่ยต้าและมันก็ชอบแอบออกไปเล่นข้างนอก ผมชอบสุนัขและแมว แล้วก็สัตว์เลี้ยงแบบนี้ ดังนั้นผมจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับพวกมัน พี่หยู ไม่ใช่ว่ารองนายกไป่มาจากตระกูลซงอย่างนั้นเหรอ? พี่มาหาเขา…?”
ประโยคสุดท้ายทำให้ข้อสงสัยที่ลดลงของหยูปันจือเพื่อขึ้นอีกครั้ง
หยูปันจือมองไปที่สือเหล่ยซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขา เขาสงบนิ่งโดยไม่มีอาการตื่นตระหนกเลย ด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้ เขาอาจจะไม่ได้มีแผนการอะไรวางไว้ในขณะที่เขาพูดออกมา เขาอาจจะแค่พาสุนัขกลับมาและบังเอิญเจอกัน หรือเขาอาจจะวางแผนทุกอย่างไว้และทั้งหมดนี้ก็อยู่ในแผนการของเขา
แต่ตามความเข้าใจของหยูปันจือที่มีต่อสือเหล่ย เขาน่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น นี่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า อย่างไรก็ตาม หยูปันจือก็อดตั้งคำถามไม่ได้
“ไหนๆเราก็พบกันแล้ว เข้าไปข้างในเถอะ ฉันยังดื่มไม่พอเพราะไป่หยวนรีบกลับไปก่อน” หยูปันจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่ามันจำเป็นต้องทดสอบ
สือเหล่ยยิ้มและก้าวเท้าออกไป “น่าอายจริงๆที่ผมไม่ได้เป็นสมาชิกของที่นี่ผมกลัวว่าผมจะเลี้ยงพี่ไม่ได้”
หยูปันจือยิ้ม “บังเอิญจริงๆ ฉันก็เหมือนกัน แต่เราลงบิลชื่อไป่หยวนก็ได้”
พวกเขากลับเข้าไปในห้องเดิมและหยูปันจือได้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม
สือเหล่ยมองไปรอบๆและเลือกนั่งลงตรงที่ที่ไป่หยวนนั่ง
มันยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมของคนทั้งสองเมื่อครู่ ยกเว้นแต่ว่าอีกคนหนึ่งนั้นเป็นคนที่ต่างออกไป สถานะที่อีกคนแสดงออกมานั้นไม่มีอะไรเหมือนกันกับที่เขาเคยแสดงออกมาเมื่อครู่เลย
“นายอยากจะหยั่งเชิงงั้นเหรอ?” หยูปันจือหยิบขวดเหล้าขึ้นมาจากโต๊ะ และรินให้ตัวเอง จากนั้นก็ส่งต่อไปให้สือเหล่ย
สือเหล่ยรินเหล้า “ผมตั้งใจจะทำแบบนั้นนะ แต่ผมก็คิดว่ามันไร้ประโยชน์ ความฉลาดของพี่หยูไม่ใช่สิ่งที่ผมจะมาคาดเดาได้ ถ้าพี่หยูตั้งใจจะบอกผม ผมก็คงทำสำเร็จ ถ้าพี่หยูตั้งใจที่จะปกปิด มันก็ไร้ประโยชน์ไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหน”
หยูปันจือหัวเราะและคิดว่าคนๆนี้ที่อาจจะกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขาช่างน่าสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“นายต้องการข้อมูลเพื่อศัตรูของฉันและนายก็ตรงไปตรงมามากกับเรื่องนี้ ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้คิดจะได้ข้อมูลอะไรจากฉันไปจริงๆ”
สือเหล่ยยักไหล่ “พี่หยูพูดผิดแล้ว ประการแรก ผมอยากรู้อะไรบางอย่างจากพี่จริงๆ ประการที่สอง ผมไม่เคยตั้งใจในการรวบรวมข้อมูลเพื่อศัตรูของพี่เพราะพี่หยูน่าจะรู้ว่าผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนายท่านเว่ย ผมแค่อยากจะปกป้องเว่ยชิงเยว่ไว้ เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงของผม ประการที่สาม มันเปล่าประโยชน์ที่จะอ้อมค้อมกับพี่หยู ผมจะเสียเวลาไปทำไม?”
ด้วยสิ่งนี้ สือเหล่ยได้จ้องมองไปที่ดวงตาของหยูปันจืออย่างเข้มข้นเนื่องจากเขารู้ว่าอย่างน้อยก็มีบางประโยชน์ที่เขาพูดไปนั้นระคายเคืองกับหูของหยูปันจือ
ถึงอย่างไรก็ตาม เว่ยชิงเยว่ก็เคยได้หมั้นหมายกับหยูปันจือ และถึงแม้ว่าหยูปันจือจะไม่เคยถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง แต่บางทีสายตาของเขาอาจจะจับจ้องอยู่ที่ตระกูลเว่ยนับตั้งแต่นั้นมา ตอนนี้ที่สือเหล่ยได้กล่าวขึ้นมาอย่างกระทันหันว่าเว่ยชิงเยว่เป็นผู้หญิงของเขา หยูปันจือคงไม่อาจจะไม่มีปฏิกิริยาใดไม่ได้ถ้าเขาเป็นผู้ชาย
ตามที่คาดไว้ หยูปันจืออึ้งไปชั่วขณะก่อนที่จะหัวเราะออกมา “เด็กน้อย นายอยากให้เว่ยชิงเยว่มีชีวิตอยู่มากขนาดนี้เลยเหรอ? นายไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าฉันกำลังจะทำอะไรกับตระกูลเว่ย บางทีพี่หยูของนายอาจจะเป็นคนที่ฆ่าทุกคนต่อหน้าต่อตานายก็ได้นะ? ไม่จำเป็นต้องอ้างความสัมพันธ์กับเว่ยชิงเยว่และแม้ว่าฉันจะรู้ว่าพวกนายสนิทกันก็ตาม”
สือเหล่ยส่ายหัว “พี่หยูก็ยังพูดผิด ประการแรก ผมไม่รู้ว่าพี่กำลังจะฆ่าทุกๆคน แต่แม้ว่ามันจะเป็นผม ผมก็ปล่อยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไว้เบื้องหลังถ้าผมต้องเจอกับตระกูลยักษ์ใหย่อย่างตระกูลเว่ย ประการที่สอง ผมไม่ได้พยายาม เว่ยชิงเยว่คือผู้หญิงของผม ผมไม่สามารถพูดได้ก่อนหน้านี้เพราะตระกูลเว่ยเหนือกว่าผมมากและผมไม่สามารถบอกได้ว่าเว่ยชิงเยว่คือคนรักคนที่สองของผม แต่ตอนนี้มันต่างออกไป นายท่านเว่ยวุ่นวายเกินไปและเขาก็ไม่มีเวลามาจัดการกับเรื่องเล็กๆเช่นนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… นายคือคนที่ทำให้ฉันลำบากจริงๆ เช่นเดียวกับที่นายเพิ่งพูดมา ฉันไม่สามารถทิ้งปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ให้กับตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้ที่เว่ยชิงเยว่คนนั้นเป็นผู้หญิงของนายแล้ว ฉันก็ไม่อยากล่วงเกินนาย นายคิดว่าฉันควรทำอย่างไร?”
“ดูเหมือนว่าพี่หยูจะเผชิญกับปัญหาแล้วตอนนี้ พี่หยูฉลาดเหมือนกับปีศาจ ผมจะไม่ให้คำแนะนำที่ไร้ประโยชน์ละกัน”
หยูปันจือหัวเราะอีกครั้งและชูแก้วขึ้น “มาดื่มให้ฉันหน่อย”
สือเหล่ยหยิบแก้วขึ้นมาและเดินมาตรงหน้าหยูปันจือพร้อมด้วยแก้วที่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าแก้วของหยูปันจือ
จากนั้นเขาก็ดื่มหมดแก้ว
“ไม่มีประโยชน์ที่จะมาทำเขินอายอะไรกับฉัน ฉันเดาว่านายได้ถามหลายๆคนมาแล้วในช่วงนี้ นายถามซงเมียวเมียวแล้วใช่ไหม? แล้วนายได้ถามแม่บุญธรรมของนายรึยัง?”
“ผมไม่มีหน้าขนาดนั้น ผมไม่สามารถขอให้แม่บุญธรรมของผมทำเรื่องใหญ่ๆได้เพราะเธอชอบผม ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าแม่บุญธรรมไม่สามารถเป็นตัวแทนของตระกูลไป่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์เท่าไร พี่หยู พี่อาจจะไม่รู้จริงๆว่าผมไม่แคร์อะไรว่าตระกูลเว่ยจะจบลงอย่างไร นายท่านเว่ยเผชิญโลกมาหลายปีแล้วและเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบๆตัวมากกว่าคนอื่น เขาจะสูญเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาและตระกูลของเขาก็จะตาย แต่ถึงแม้ว่าแซ่ของเว่ยชิงเยว่จะเป็นเว่ย แต่เธอก็มีแซ่อื่นอีกซึ่งก็คือสือ ผมยังเด็ก แต่ก็เป็นลูกผู้ชาย ผมต้องรับผิดชอบ การปกป้องผู้หญิงของผมคือก้าวแรกที่ผู้ชายต้องเดินเมื่อเขาต้องรับผิดชอบ”
หยูปันจือเทเหล้าอีกแก้วและส่งขวดให้สือเหล่ย
“บอกฉันมาว่าหลายๆวันมานี้นายรู้อะไรมากแค่ไหน ฉันจำเป็นต้องรู้ว่านายรู้อะไรบ้างและตัดสินใจว่าฉันจะบอกอะไรนายได้บ้าง”
สือเหล่ยลังเล “พี่หยู ดูเหมือนว่าพี่ไม่กล้วที่จะปล่อยให้ผมรู้เลย เป็นเพราะพี่ไม่คิดว่าผมจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เหรอ?”
หยูปันจือโบกมือของเขา “ฉันไม่ได้ประมาทนายมากขนาดนั้น ในความเป็นจริง ฉันวางแผนที่จะให้นายเรียกฉันว่าอาจารย์หลังจากตรุษจีนตามคำขอของเฉินหยานวี่ นายจะต้องเป็นลูกศิษย์ของฉันและฉันจะพานายเข้าสู่โลกแห่งการลงทุน แต่นายก็พูดถูก ฉันไม่กลัวที่จะปล่อยให้นายรู้เพราะยิ่งนายรู้มากเท่าไร สถานการณ์ของนายก็จะยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น ฉันแค่ไม่อยากทำให้มันยากสำหรับนาย”