The Black Card - ตอนที่ 400
ตอนที่ 400 – วิธีการใช้รางวัลใหม่
หนึ่งวันก่อนวันที่ 30
สือเหล่ยพักอยู่ในบ้านในตอนเช้าในขณะที่เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาที่สามารถช่วยชีวิตของคนๆหนึ่งและวิธีการใช้บัตรลิ้นดอกบัว
ไม่ใช่ว่าสือเหล่ยคิดมากเกินไป พูดตามปกติแล้ว เขาควรจะได้ใช้รางวัลของบัตรสีดำในเร็วๆนี้ แน่นอนว่าบัตรที่สือเหล่ยได้จากการจับรางวัลนั้นจะถูกทำให้เขารู้วิธีการใช้มันโดยเร็วที่สุด สือเหล่ยคิดว่าบัตรสีดำกำลังฝึกความสามารถพื้นฐานในการใช้บัตรต่างๆให้กับเขา ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเรียนรู้มามากแค่ไหน การใช้มันก็นับว่าเป็นทางที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบัตรมหาเศรษฐีและบัตรภาษาสัตว์ สือเหล่ยคงไม่รู้ฟังก์ชั่นอื่นถ้าเขาไม่ได้ใช้มัน
รางวัลที่ได้จากบัตรสีดำในคราวนี้มีลักษณะที่ตรงไปตรงมา และสือเหล่ยก็ตั้งคำถามไว้ว่าบัตรสีดำทำมันโดยตั้งใจ
เกี่ยวกับยาที่สามารถรักษาชีวิตได้ วิธีการที่ดีที่สุดที่สือเหล่ยสามารถใช้มันได้ในสถานการณ์ปัจจุบันคือการใช้กับพ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หายและปล่อยให้เว่ยชิงเยว่มอบยาให้กับเขา เมื่อเขาถูกรักษา เขาก็ควรจะช่วยใช่ไหม? งั้นเว่ยชิงเยว่ก็ย่อมปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม สือเหล่ยก็เห็นคนที่ซงเมียวเมียวกล่าวถึงในข่าวมาก่อน เขาดูมีสุขภาพดีและมักปรากฏตัวในการประชุมที่สำคัญในประเทศต่างๆโดยไม่แสดงอาการใดว่าร่างกายไม่แข็งแรง และเขาก็เป็นผู้นำระดับสูงด้วย แม้ว่าจะมีโรคใดๆ มันก็น่าจะถูกค้นพบตั้งแต่เนิ่นๆ การตรวจสุขภาพของเขาย่อมไม่ใช่ธรรมดาเหมือนคนทั่วๆไป ดังนั้นสือเหล่ยจึงไม่เคยได้ยินจริงๆว่ามีผู้นำระดับสูงเป็นโรคที่รักษาไม่หายเพราะทุกคนมีอายุที่ยืนยาว เพราะพวกเขาเป็นรากฐานของประเทศ
ดังนั้นสือเหล่ยจะไปใช้ยากับที่ไหนนั้น เขาก็ไม่รู้คำตอบจริงๆ
สำหรับบัตรลิ้นดอกบัว สิ่งนี้มีอำนาจมหาศาลและแม้ว่าจะมีโอกาสใช้เพียงครั้งเดียว มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อย่างมหาศาล
สือเหล่ยปล่อยจินตนาการลอยออกไป เขาอาจจะเข้าไปพูดคุยกับเจ้านายใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและพูดต่อหน้าเขา เวลาขึ้นอยู่กับจิตใจของเป้าหมายรวมทั้งภูมิคุ้มกันของพวกเขา และเขาก็สามารถหยุดได้เมื่อเป้าหมายเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ หลังจากนั้น ไม่ต้องพูดถึงตระกูลหยูเลย คงไม่มีใครสามารถแตะต้องตระกูลเว่ยได้อีกภายใต้คำสั่งของเจ้านายใหญ่ผู้นั้น
แต่มันก็แค่เรื่องตลก สือเหล่ยมีภูมิหลังต่ำต้อยแบบไหนกัน? ด้วยตัวเขา เขาจะเอาอะไรไปพบกับเจ้านายใหญ่แบบนั้น? เขาคงจะตายก่อนที่จะไปถึงระยะ 500 ของคนแบบนั้นได้ เขาคงไม่อาจบอกเว่ยชิงเยว่ให้บอกพ่อบุญธรรมของเธอและจากนั้นก็ทำให้พ่อบุณธรรมของเธอพาเขาไปหาคนแบบนั้นจริงไหม? มันเป็นไปได้ว่าแม้แต่เว่ยชิงเยว่ก็ไม่อาจได้พบกับพ่อบุญธรรมคนนั้นของเธอ เว่ยชิงเยว่ก็ขาดการติดต่อไปอีกและไม่มีข่าวคราวอะไรเลย สือเหล่ยรู้โดยไม่ต้องถามเลยว่ามันน่าจะเป็นเพราะพ่อเลี้ยงของเธอปฏิเสธที่จะพบเธอ มิฉะนั้น มันก็ควรจะมีผลลัพธ์อะไรออกมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบัตรล้างสมองนี้จะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่มันก็ต้องใช้ก่อน ถ้าเขาไม่สามารถพบกับคนๆนั้นได้ มันก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้
ความคิดที่ธรรมดายิ่งกว่านั้นคือการติดต่อไปหาหยูปันจือและชักจูงให้เขายอมแพ้
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้สนทนากับหยูปันจือ สือเหล่ยก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์แรกของหยูปันจือเนื่องจากเขาไม่คิดว่าการตัดสินใจของพ่อเขานั้นถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ครอบครัวก็ต้องมาก่อนและเขาก็ต้องทำมัน ดังนั้น แม้ว่าสือเหล่ยจะโน้มน้าวเขาได้ แต่สือเหล่ยก็ไม่อาจหยุดคนอื่นที่เข้ามาแทนที่หยูปันจือและทำภารกิจนี้ต่อไปได้ หยูปันจือเองก็คงจะจบลงที่การเป็นลูกทรยศต่อหน้าพ่อและปู่ของเขา
มันเป็นการง่ายที่จะพูดคุยกับตระกูลซง สือเหล่ยเชื่อว่าถ้าเขาขอ ซงเมียวเมียวจะพาเขาไปหาปู่ของเธอในทันที จากนั้นถ้าเขาโน้มน้าวปู่ของเธอได้ ตระกูลซงก็จะไม่เข้าร่วมกับตระกูลหยูอย่างแน่นอน
แต่มันก็ไร้ประโยชน์ หยูปันจือทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม้จะไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลซง มันก็ยังสำเร็จได้ พวกเขาแค่ทำให้มันแน่นอนมากยิ่งขึ้นด้วยการสนับสนุนของตระกูลซง บางทีราคาที่พวกเขาจ่ายอาจจะลดลงเล็กน้อย แต่เรื่องราวได้บานปลายมาขนาดนี้แล้ว หยูปันจือจะไม่เต็มใจจ่ายมันได้ยังไงกัน?
หลังจากพิจารณาทุกอย่างแล้ว สือเหล่ยก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
โชคดีที่หยูปันจือบอกว่าคนแรกที่จะต้องจากไปจากตระกูลเว่ยคือเว่ยจินกัง และมันคงจะเริ่มต้นหลังวันหยุดตรุษจีน
พูดตามตรง สือเหล่ยไม่ได้อยากจะช่วยเว่ยจินกังเลย ไม่ว่าจะยังไง มันก็เป็นชีวิตของครอบครัว เว่ยจินกังอายุแค่สิบแปดปีเท่านั้น เจาแตกต่างไปจากคนขายเนื้อยังไง? คนอย่างนี้สมควรตายจริงๆ และถ้าสือเหล่ยช่วยเขาไว้? มันก็ไม่ช่วยให้เขาเปลี่ยนแปลงเรื่องราวอะไรได้เลย
สือเหล่ยสงบสติอารมณ์ลงเนื่องจากเขาต้องกลับไปที่หวูตงเพื่อไปรับซุนอี้อี้และแม่ของเธอ มันเกือบจะบ่ายสองแล้ว และสือเหล่ยก็ติดสินใจที่จะคิดถึงเรื่องนี้อีกทีหลังจากตรุษจีน
เขาสามารถกลับไปที่หวูตงได้ก่อน เขาต้องขับรถพาซุนอี้อี้และแม่ของเธอกลับมาได้หลังจากตรุษจีน และเขาก็สามารถอยู่ในหวูตงต่อไป
สือเหล่ยบอกพ่อแม่ของเขาและขับมาเซราติของเขามายังหวูตง
พ่อแม่ของสือเหล่ยยุ่งอยู่ที่บ้าน แม่ของสือเหล่ยจัดห้องไว้ให้กับสองแม่ลูกแล้ว แต่เธอก็ตรวจสอบอยู่เรื่อยๆเนื่องจากเธอไม่ต้องการเป็นเจ้าภาพที่ไม่ดีต่อลูกสะใภ้ในอนาคตของเธอ
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา สือเหล่ยก็ออกจากทางหลวงและกลับเข้ามาในหวูตง
เขาจอดรถไว้ข้างทางและโทรหาซุนอี้อี้
“อี้อี้ ฉันอยู่หวูตงแล้ว แม่ของเธอทำงานเสร็จรึยัง? เก็บของกันรึยัง?”
เห็นได้ชัดว่าซุนอี้อี้รู้สึกตื่นเต้นในขณะที่เธอหัวเราะออกมา “หนูเก็บของเสร็จนานแล้ว แม่บอกว่าบริษัทจะปล่อยให้กลับบ้านเร็วหน่อยและไม่มีอะไรที่ต้องทำก่อนตรุษจีน แม่บอกว่าแม่น่าจะมาถึงบ้านประมาณ 4 โมงเย็น”
“โอเค ฉันเพิ่งออกจากทางหลวงมาและน่าจะถึงบ้านของเธอประมาณ 4 โมงเย็น พอไปถึงพวกเราก็ออกไปเลยละกันจะได้ไปทันมื้อค่ำ”
พวกเขาคุยกันอีกสักพักก่อนที่สือเหล่ยจะขับรถเข้าไปในเมือง
มันพอมีเวลาอยู่บ้างและสือเหล่ยก็ไม่ได้ตรงไปยังบ้านของซุนอี้อี้ เขากลับไปที่อพาร์ตเมนต์ก่อนและเขาก็คิดว่าถ้าเว่ยชิงเยว่ต้องการ เธอก็สามารถเข้ามาที่ห้องได้ ดังนั้นสือเหล่ยจึงอยากจะเห็นว่าเว่ยชิงเยว่ได้เหลืออะไรทิ้งไว้ให้เขาไหม
เมื่อมองไปยังเฟอร์นิเจอร์ที่คุ้นตาซึ่งวางอยู่ในที่ของพวกมันและร่องรอยที่เว่ยชิงเยว่เหลือทิ้งไว้บนโซฟาและบนเตียง หัวใจของสือเหล่ยก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
พายุก่อตัวขึ้นอย่างกระทันหันได้อย่างไร?
ในพายุลูกนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีความบริสุทธิ์ เฉพาะคนบริสุทธิ์อย่างเว่ยชิงเยว่เท่านั้นที่ถูกลากเข้าสู่พายุโดยไม่มีเหตุผล
มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดในห้องของสือเหล่ยและเขาก็หาร่องรอยใดๆที่เว่ยชิงเยว่กลับมาที่ห้องอีกครั้งไม่ได้ เขาสงบสติอารมณ์ลง เช็ดน้ำตาที่มุมของดวงตา และสัญญาอย่างเงียบๆ “เว่ยชิงเยว่ ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยเธอเองไม่ว่ายังไงก็ตาม”
จากนั้นสือเหล่ยก็ออกจากอพาร์ตเมนต์ของเขาและไปที่บ้านของซุนอี้อี้
แม่ของซุนอี้อี้และสือเหล่ยมาถึงก่อนสือเหล่ยประมาณ 5 นาที เมื่อสือเหล่ยมาถึง เธอก็กำลังเอากระเป๋าออกมาพร้อมกับซุนอี้อี้
สือเหล่ยรีบทักทายเธอและรับกระเป๋าจากมือของเธอ และเอาพวกมันเข้าไปในรถ
“คุณป้า ไปกันเถอะ ถ้ารถไม่ติด ป้ากับอี้อี้จะได้อาบน้ำหลังจากที่พวกเราไปถึงก่อนกินมื้อค่ำ”
แม่ของซุนอี้อี้ดีใจมากแต่ก็กังวลในเวลาเดียวกัน “ก้อนหิน พ่อแม่ของเธอโอเคนะ?”
สือเหล่ยเข้าใจว่าเธอกำลังกังวลอะไรอยู่และเขาก็ยิ้ม “ไม่ต้องห่วงครับ พ่อแม่ของผมเป็นคนกระตุ้นให้ผมติดต่อป้ามาเอง พวกเขาทำความสะอาดบ้านอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าป้าจะไม่คุ้นเคยกับมัน”
“ขอโทษที่ต้องรบกวนพ่อแม่ของเธอนะ…” แม่ของซุนอี้อี้ละอาย
สือเหล่ยยิ้ม “ไม่เลย ด้วยคุณป้ากับอี้อี้ ครอบครัวของพวกเราน่าจะมีตรุษจีนที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก”