The Black Card - ตอนที่ 406
ตอนที่ 406 – สายจากนายท่านเว่ย
เว่ยชิงเยว่หมดสติไป 5 วันโดยไม่ตื่นขึ้นมาเลย
หญิงวัยกลางคนโทรมาถามอาการของเธอทุกๆวันหลังจากกลับจากทำงาน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอได้รับก็คือข่าวที่น่าผิดหวัง
เธอปลอบตัวเองว่าในที่สุดเว่ยชิงเยว่ก็จะได้พัก เธอเหนื่อยและเครียดมากสำหรับช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอยืนอยู่ข้างนอกเพื่ออ้อนวอนขอพบกับพ่อของเธอ มันดูเหมือนแค่ว่าเธอยืนอยู่กับที่ แต่ในความเป็นจริง เธอมีทั้งแรงกดดันและความเครียดจำนวนมหาศาล เว่ยชางฉิงผลักความรับผิดชอบอันหนักหน่วงทั้งหมดมาที่เธอคนเดียว
หลังจากที่พ่อบุญธรรมของเธอแสดงตัวออกมาและจากไป เว่ยชิงเยว่ก็ไม่สามารถทนต่อไปได้อีก
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเวลาหกวันแล้วและไม่มีสัญญาณว่าเว่ยชิงเยว่จะตื่นขึ้นมา แม้แพทย์ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร การตรวจสอบทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าไม่มีร่องรอยของความผิดปกติกับร่างกายของเธอและเธอก็หมดสติไปจากการปะทุของความโกรธและความเศร้า ดังนั้นเธอก็ควรจะตื่นขึ้นมานานแล้ว
เมื่อนั่งอยู่หน้าโต๊ะของเธอ หญิงวัยกลางคนได้วางสายในขณะที่เธอขมวดคิ้ว ชาบนโต๊ะทำงานของเธอเย็นไปหมดแล้ว
โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นเบาๆ และหญิงวัยกลางคนได้เหลือบตามองมันในขณะที่นวดหน้าผากของเธอไปด้วย
มันเป็นข้อความ WeChat มีเพียงแค่ตัวอักษรสองสามตัวแรกที่อยู่บนหน้าจอ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอรับมันในทันที
เมื่อเธอเปิดมัน เนื้อหาของข้อความก็เรียบง่ายมาก มีเพียงแค่ประโยคเดียวคือเว่ยจินกังถูกจับ
มันเป็นวันที่เจ็ดของช่วงปีใหม่ ซึ่งเป็นวันแรกของการกลับมาทำงานสำหรับคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ตระกูลหยูก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว
หญิงวัยกลางคนรู้ว่าเธอต้องบอกเว่ยชางฉิงเกี่ยวกับสถานการณ์ของเว่ยชิงเยว่ เธอสามารถซ่อนมันจากเขาได้ แต่ก็ไม่นานมาก
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่รู้ว่าเว่ยชางฉิงจะยังห่วงลูกสาวของเขาไหมในตอนนี้ที่ลูกชายของเขาถูกจับ
เธอเปิดหารายชื่อและหลังจากลังเลอยู่สักพัก เธอก็โทรไปที่เบอร์โทรศัพท์นั้น
“นายท่านเว่ย สวัสดีค่ะ ฉันเอง ชิงเยว่มาที่บ้านของฉันเพื่อส่งคำทักทายและคุกเข่าให้กับพ่อของฉัน หลังจากที่พ่อของฉันจากไป เธอก็ไม่ได้สติมาจนถึงตอนนี้” คำพูดของหญิงวัยกลางคนครบถ้วนสมบูรณ์ เธอไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ยมากและเธอก็ไม่สามารถทำได้
นายท่านเว่ยอึ้งไปสักพักและยิ้มออกมาอย่างฉับพลัน “โอเค ฉันรู้ ขอบคุณเธอมากที่แจ้งให้ฉันทราบในเวลาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าสวรรค์จะต้องการให้ตระกูลเว่ยดับสูญไปจริงๆ”
“ไม่ แค่คุณเท่านั้น” หญิงวัยกลางคนตอบด้วยคำพูดเล็กน้อยและวางสายไป
เว่ยชางฉิงยืนนิ่งอยู่ที่ปลายสาย มันมีการเขียนอักษรที่กำลังแห้งอยู่ตรงหน้าของเขาบนโต๊ะ และมันก็เสร็จไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น มันมีตัวอักษรอยู่เพียงสี่ตัวเท่านั้น ซึ่งก็คือคำว่า “ไร้ที่สิ้นสุดคือทะเลแห่งความขื่นขม” แต่เขาก็ไม่สามารถทำมันให้เสร็จได้แล้ว
เขาโยนแปรงเขียนอักษรขนหมาป่าที่มีราคาหลายแสนหยวนทิ้งไปและถอนหายใจยาวๆออกมา “ฉันพยายามบ่มเพาะมานับสิบปีและไม่เคยแสวงหาอะไรจากสวรรค์ แต่ทำไม? นายต้องการที่จะปีนป่ายขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ แต่ทำไมนายต้องใช้ฉันเป็นขั้นบันไดไปสู่สรวงสวรรค์ด้วย?”
แน่นอนว่าเขารู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเว่ยจินกัง มันเป็นคดีจากเมื่อสิบปีก่อน มันถูกพูดถึงอีกครั้งพร้อมกับหลักฐานที่แน่นหนาโดยไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหลุดรอดเลย สิ่งเดียวที่รอคอยเว่ยจินกังอยู่ก็คือโทษประหารชีวิต
จากจุดนี้เพียงลำพัง ตระกูลเว่ยก็ได้สูญเสียรากฐานของมันไปแล้ว
หลังจากนั้นสักพัก เว่ยชางฉิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออก
“ฉันตายและความมั่งคั่งก็หมดสิ้นไปแล้ว เพื่อแลกกับความปลอดภัยของชิงเยว่และปู้ถี” เว่ยชางฉิงเหวี่ยงตัวอักษรที่เขียนไว้ทิ้งไปพร้อมกับกัดฟัน
ปลายสายไม่ได้พูดอะไรและวางสายไปอย่างเงียบๆ
เว่ยชางฉิงปาโทรศัพท์ลงไปบนพื้นด้วยความฉุนเฉียว โทรศัพท์เด้งขึ้นมาจากบนพื้น แต่มันก็ยังไม่แตกออก การปกป้องของพรมเปอร์เซียช่างน่าอัศจรรย์
เขาเข้าใจว่าเขาถูกปฏิเสธ ฝ่ายตรงข้ามอยากให้ทั้งครอบครัวของเขาต้องตาย
“ถ้าเป็นแบบนี้ อย่ามาตำหนิที่ฉันพยายามที่จะแหวกตาข่ายในฐานะปลาที่กำลังจะตายละกัน ฉัน เว่ยชางฉิง นั้นแก่แล้ว และฉันได้พยายามถ่อมตนมาโดยตลอดหลายปี พวกนายคิดจริงๆ เหรอว่าเสื้อที่ไร้ฟันจะไม่กัด?”
เว่ยชางฉิงเดินไปยังประตูของห้อง
เขาเปิดประตูออกและสั่งด้วยเสียงต่ำ “บอกปู้ถีให้เข้ามา”
จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในห้องและพักอยู่บนโซฟา
ไม่นานหลังจากนั้น ปู้ถีก็ผลักประตูเข้ามาโดยไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเธอ เธอยังคงดูน่าหลงใหล แต่แววตากลับเย็นชา
“พ่อ” เสียงของเธอหนักอึ้ง แน่นอนว่าเธอรู้ว่าพี่ชายของเธอล้มเหลวและความตายกำลังรอคอยเขาอยู่
เว่ยชางฉิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย
“ลงมือซะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว พี่ของเธอยังไม่ได้สติและเขาก็ไม่เต็มใจที่จะช่วย”
เว่ยปู้ถีพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แต่เขาก็แทบจะได้ยินเสียงกัดฟันของเธอ
เมื่อเว่ยปู้ถีเดินไปถึงประตูและกำลังจะปิดประตูให้เว่ยชางฉิง เขาก็ลุกขึ้นจากโซฟาอย่างฉับพลันและจ้องมองไปที่ความว่างเปล่าเบื้องหน้าของเขา เว่ยปู้ถีนิ่งไปสักพัก ก่อนที่จะเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“พ่อ พ่อต้องการอะไรอีกไหม?”
หลังจากลังเลใจอยู่สักพัก เว่ยชางฉิงก็พูด “ไม่ต้องรีบ ไปหาคนที่ชื่อสือเหล่ย บอกเขาว่าพี่สาวของเธออยู่ที่ไหน… ช่างเถอะ ไปเตรียมตัวไว้ ไม่ต้องรีบทำอะไรแบบนี้ ฉันจะคุยกับสือเหล่ยเอง”
เว่ยปู้ถีพยักหน้าและจากไป
เว่ยชางฉิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากบนพรมและโทรหาสือเหล่ย
สือเหล่ยกลับมาที่หวูตงเมื่อวันและขับรถไปสั่งซุนอี้อี้กับแม่ของเธอที่บ้าน หลังจากได้รับคำใบ้จากบัตรความสนิทสนม สือเหล่ยก็รู้ว่าไม่มีปัญหาอะไรที่เขาจะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อของให้กับพวกเธอ ดังนั้นเขาจึงไปหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์และหาบ้านให้กับพวกเธอ มันไม่ได้ใหญ่ มันมีแค่สองห้องนอนและสองห้องนั่งเล่น ซึ่งก็ใหญ่พอที่จะให้เธอได้อยู่อาศัย ในที่สุดมันก็ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่มนุษย์จะอยู่อาศัยได้ซะที
แน่นอนว่าพวกเธอก็ต้องขนของออกจากโรงรถด้วย สือเหล่ยช่วยพวกเธอจนกระทั่งดึก ก่อนที่จะลากร่างอันเหนื่อยล้าของตนกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ของเขา อย่างไรก็ตาม ในที่สุดสองแม่ลูกก็ได้ย้ายออกจากโรงจอดรถ
วันนี้ สือเหล่ยโทรหาเว่ยชิงเยว่อยู่หลายครั้ง และเขาก็ส่งข้อความไปหาเธอบน WeChat มันก็เหมือนเดิม มันเหมือนกับก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในทะเล
เมื่อโทรศัพท์ของเขาดัง สือเหล่ยก็ยังนิ่งอยู่
เสียงเรียกเข้าทำให้สือเหล่ยสะดุ้ง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเบอร์โชว์ว่าเป็น “นายท่านเว่ย”
สือเหล่ยรีบรับสาย “นายท่านเว่ย สวัสดีปีใหม่ครับ ผมสือเหล่ย มีอะไรเกิดขึ้นกับชิงเยว่งั้นเหรอ?”
นายท่านเว่ยดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความสบายใจ ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็มีคนไม่มากนักในโลกนี้ที่ยังเป็นห่วงเว่ยชิงเยว่ในเวลาแบบนี้ ก่อนหน้านี้ ผู้คนพยายามที่จะแต่งกันกับเว่ยชิงเยว่กับให้ได้ แต่ในตอนนี้ พวกเขาทุกคนกลับปรารถนาว่าพวกเขาจะไม่เคยรู้จักคนจากตระกูลเว่ย จากช่วงเวลาที่เว่ยจินกังติดคุก ทั้งหวูตง หรือแม้กระทั่วแวดวงแถวนี้ก็หลบเลี่ยงตระกูลเว่ยราวกับว่าพวกเขาเป็นโรคระบาด
“เว่ยชิงเยว่หมดสติไปจากความอ่อนเพลียและความเศร้าที่ตี่ตู๋ เธอหมดสติไปหกวันแล้ว แต่ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร สือเหล่ย ระดับของนายสูงกว่าของฉัน ถ้าฉันมอบทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลของฉันให้กับนาย นายสามารถ… รักษาชีวิตของคนในตระกูลของฉันไว้ได้ไหม?”
นับตั้งแต่ช่วงแรกที่เว่ยชางฉิงรู้ว่าตระกูลหยูกำลังจะแตะต้องตระกูลของเขา เขาก็ได้ติดต่อไปหาดวงตาแห่งรัตติกาลและพยายามขอให้คนพวกนั้นช่วยเขาและลูกทั้งสามคนของเขา อย่างไรก็ตาม ดวงตาแห่งรัตติกาลก็ได้ปฏิเสธคำขอของเขาในทันทีเนื่องจากมันเห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้จะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง นั่นหมายความว่าแม้นายท่านเว่ยจะมอบทรัพย์สินทั้งหมดของเขาให้เป็นรางวัล ดวงตาแห่งรัตติกาลก็จะยังไม่ช่วยเขา
เขานึกถึงสือเหล่ยขึ้นมาพอดี ถึงอย่างไรก็ตาม ระดับของสือเหล่ยก็สูงกว่าเขาและแม้ว่าดวงตาแห่งรัตติกาลจะบอกเขาว่าพวกมันจะไม่แทรกแซงเรื่องการเมือง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะยังอยู่นิ่งหากสมาชิกระดับสูงอย่างสือเหล่ยร้องขอ