The Black Card - ตอนที่ 407
ตอนที่ 407 – นายท่านเว่ยผู้หยุดต่อสู้
สือเหล่ยเริ่มตื่นตระหนกตั้งแต่ส่วนแรกของประโยคและเขาก็ไม่ได้ยินสิ่งที่เว่ยชางฉิงพูดต่อจากนั้นเลย ทั้งหมดที่เขาเป็นกังวลคือ “เว่ยชิงเยว่ไม่ได้สติ”
“เว่ยชิงเยว่หมดสติ? เธอหมดสติไปได้ยังไง?” สือเหล่ยถามอย่างเลี่ยงไม่ได้
เว่ยชางฉิงถอนหายใจ “เมื่อไม่นานมานี้ ฉันบอกให้เว่ยชิงเยว่ไปที่ตี่ตู๋เพื่อขอร้องให้ใครบางคนช่วย…”
“ผมรู้ เขาเคยอยู่หวูตงมาก่อน ตอนนี้ เขาเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นและเป็นพ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่ ผู้รู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ผมแค่อยากรู้ว่าเว่ยชิงเยว่หมดสติไปได้ยังไง”
“แน่นอนว่ามันคงมีไม่กี่สิ่งที่สามารถซ่อนจากนายได้หากนายต้องการรู้ เว่ยชิงเยว่น่าจะเป็นลมจากความกดดันที่มากเกินไป แพทย์ไม่สามารถสาเหตุได้ แต่ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร”
“เธอยู่โรงพยาบาลไหน? ผมจะไปหาเธอ” สือเหล่ยรีบไปที่ประตู ในทันทีที่เว่ยชางฉิงบอกเขาว่าเว่ยชิงเยว่อยู่โรงพยาบาลไหน เขาจะจองตั๋วเครื่องบินไปตี่ตู๋ทันที
เว่งชางฉิงบอกชื่อโรงพยาบาลกับเขาและพูดขึ้นมาอีก “นายจะไปเจอเธอแบบนี้ไม่ได้ เธออยู่ในห้องพิเศษของทางพรรค และไม่ใช่ห้องที่นายจะเข้าไปได้ง่ายๆ และ… อืม ฉันจะให้ปู้ถีไปที่ตี่ตู๋กับนาย ถ้าเธอออกหน้า พวกเขาน่าจะให้นายเข้าไปเจอชิงเยว่”
“โอเค ผมจะไปที่สนามบินเดียวนี้…” สือเหล่ยจำได้ว่าการนั่งเครื่องบินจากหวูตงไปตี่ตู๋ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ด้วยเวลาที่ใช้ไปกับการเดินทางไปที่สนามบินและการขับรถจากสนามบินของตี่ตู๋ไปยังเขตเมือง การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงอาจจะเร็วกว่า มันมีเที่ยวบินไม่มากนักแต่รถไฟความเร็วสูงนั้นมีทุกๆสิบนาที
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนคำตอบไป “บางทีรถไฟความเร็วสูงอาจจะมี ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ บอกปู้ถีให้ไปเจอผมที่นั่นด้วยนะครับ”
เว่ยชางฉิงตอบ “แล้วที่ฉันถามนายก่อนหน้านี้ล่ะ?”
“ฮะ? อะไรนะครับ?” สือเหล่ยวิ่งออกไปจากห้องแล้วและกดปุ่มลิฟต์อย่างรุนแรง เขาไม่ได้ยินข่าวอะไรเกี่ยวกับเว่ยชิงเยว่กว่า 20 วันนอกเหนือจากข้อความ WeChat ในวันนั้นของเธอ หลังจากนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับอะไรเลย และบัดนี้เขาได้รับแจ้งอย่างฉับพลันว่าเว่ยชิงเยว่หมดสติไปหลายวัน เขาจะไม่ตื่นตระหนกได้ยังไง?
เว่ยชางฉิงรู้สึกขื่นขมและคิด “นายไม่ได้ยินที่ฉันพูดอะไรหลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของฉันป่วยเนี้ยนะ?”
เขาทำได้เพียงแค่ทวนซ้ำสิ่งที่เขาพูดอีกครั้ง มันเป็นเหมือนกับที่เขาเคยพูดไป เขาหยุดไปชั่วขณะในขณะที่เขาพูดถึงดวงตาแห่งรัตติกาลเนื่องจากเขาเชื่อว่าสือเหล่ยจะสามารถเข้าใจความหมายของเขาได้
สือเหล่ยฟังและคิดว่าเขายังมีโอกาสในการใช้บัตรมหาเศรษฐีอีกครั้ง แม้ว่าบัตรสีดำจะคิดว่าค่าใช้จ่ายนั้นแพงเกินไป บางทีพวกเขาอาจจะลองใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของเว่ยชางฉิงดู
ดังนั้นสือเหล่ยจึงตอบกลับไป “ผมจะติดต่อพวกเขาและให้คำตอบคุณโดยเร็วที่สุดแต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะยอมรับไหม” สือเหล่ยคิดว่านายท่านเว่ยต้องพยายามดูแล้วและมันก็เห็นได้ชัดว่าดวงตาแห่งรัตติกาลไม่ยอมรับ บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับระดับ แต่มันก็อาจจะเป็นได้ว่าทรัพย์สินทั้งหมดของนายท่านเว่ยไม่เพียงพอสำหรับการจ่ายมัน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารับปากไปง่ายๆ
“ในตอนนี้ตระกูลเว่ยเหลือกันแค่สามคน…” เว่ยชางฉิงเข้าใจว่าคดีของเว่ยจินกังไม่อาจทำอะไรได้แล้ว พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้เขามีโอกาสหลุดรอดออกมาหลังจากมีการเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าเขาเป็นฆาตกรในคดีมรณะเมื่อกว่าสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นเว่ยชางฉิงจึงเตือนสือเหล่ยว่าเขาเพียงแค่ต้องการช่วยคนสามคนเหล่านี้เนื่องจากเขายอมแพ้ต่อเว่ยจินกังไปแล้ว
สือเหล่ยตอบอย่างไม่แยแส “โอ้ใช่ วันนี้พี่ชายของชิงเยว่น่าจะเจอเรื่อง”
เว่ยชางฉิงอึ้งไปกับคำพูดของสือเหล่ย เขากำลังจะอธิบายว่าทำไมจึงเหลือแค่สามคน แม้ว่าเว่ยจินกังจะถูกจับกุมอย่างเปิดเผย แต่ในปัจจุบันมันก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบๆที่รู้กัน มันไม่มีข่าวหรือเหตุผลใดที่จะทำให้สือเหล่ยรู้ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้เว้นเสียแต่ว่าเขาจะรู้มาก่อน
“คุณสือ นายรู้ล่วงหน้างั้นเหรอ…”
“ครับ คดีร้ายแรงจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมเองก็คิดว่าเขาควรชดเชยให้กับมันดังนั้นผมเลยไม่เตือน และคุณน่าจะรู้ว่ามันเป็นอุบายเปิดเผย มันไม่มีความหมายอะไรที่ผมจะไปเตือนคุณ”
เว่ยชางฉิงถอนหายใจและวางสายไปอย่างเงียบๆ
สือเหล่ยเดินออกมาจากลิฟต์และเดิมทีเขาคิดจะไปที่โรงรถ แต่เนื่องจากเขาจำเป็นต้องติดต่อกับดวงตาแห่งรัตติกาล เขาจึงต้องเดินต่อไปอีก
เขาวิ่งไปที่ตู้เอทีเอ็มตรงมุมถนน สือเหล่ยสอดบัตรสีดำ ป้อนรหัสผ่าน และรอให้คทาปรากฏตัว
สือเหล่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าฉันใช้บัตรมหาเศรษฐีและมีความเต็มใจที่จะใช้ทรัพย์สินทั้งหมดนายท่านเว่ยเป็นราคา มันเป็นไปได้ไหมที่จะให้ดวงตาแห่งรัตติกาลเข้ามาแทรงแซงอันตรายของตระกูลเว่ยในตอนนี้? คำขอร้องคือการช่วยตระกูลเว่ย…” สือเหล่ยลังเลและในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไปทำตามบทของเว่ยชางฉิง ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกว่าเว่ยชางฉิงควรจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาได้ทำมา แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะทำร้ายเว่ยชิงเยว่ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะทำตามความตั้งใจเดิน
“คำขอคือการช่วยเว่ยชิงเยว่และเว่ยปู้ถี” เว่ยปู้ถีแก่กว่าสือเหล่ยเล็กน้อยและเว่ยชางฉิงก็ล้างมือมากว่า 10 ปีแล้ว สือเหล่ยคิดว่าแม้เว่ยปู้ถีจะช่วยเว่ยชางฉิงทำอะไรมาก่อน แต่เธอก็ไม่ควรรับโทษประหาร
อย่างไรก็ตาม คทาก็ปฏิเสธอย่างไร้ความปราณี “หนึ่งในหลักการของดวงตาแห่งรัตติกาลคือไม่แทรกแซงอะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมือง พวกเขาจะตัดสินใจด้วยใจของพวกเขาว่าสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่”
สือเหล่ยรู้ว่าหลายๆสิ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ถ้ามันอยู่ในระดับต่ำ ดวงตาแห่งรัตติกาลก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหยูและตระกูลเว่ย มันก็เกี่ยวข้องกับปัญหาระดับประเทศ มันเป็นปัญหาขนาดใหญ่ที่ดวงตาแห่งรัตติกาลไม่กล้าก้าวล่วง
“แม้ว่าแกจะอยู่ในระดับสูงสุด?” สือเหล่ยจำเป็นต้องยืนยัน
“ไม่มีใครสามารถทำได้ เว่ยชางฉิงต้องพยายามด้วยตัวเองและถูกปฏิเสธไปก่อนหน้าที่เขาจะนึกถึงเจ้าแล้ว แม้ว่าจะเป็นผู้สูงส่งอย่างข้า พวกเขาก็ปฏิเสธเหมือนกันนี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเงิน”
สือเหล่ยพยักหน้าและเอาบัตรออก เขาโทรหาเว่ยชางฉิงในขณะที่เขาเดินไปยังโรงรถ “นายท่านเว่ย ผมเอง ฉันเพิ่งติดต่อพวกเขาและพวกเขาก็ปฏิเสธ เหตุผลก็คือการไม่แทรกแซงอะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมือง”
เว่ยชางฉิงถอนหายใจอยู่นานอีกครั้งเนื่องจากเขารู้แล้วว่ามันไม่มีหวัง
สือเหล่ยพูดต่อ “พูดตามตรงนะครับนายท่านเว่ย ผมไม่ได้รู้สึกเห็นใจในสิ่งที่ตระกูลของคุณทำ ไม่ว่าคุณจะพยายามหลีกเลี่ยงมันแค่ไหน คุณก็ทำไปแล้วและไม่สามารถหลบหนีจากผลที่ตามมาได้ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าเว่ยชิงเยว่ไร้เดียงสา ดังนั้น ผมจะพยายามช่วยเธออย่างเต็มที่”
เว่ยชางฉิงอึ้งไป ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ “ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ฉันก็ต้องขอบคุณนาย นายพูดถูก ฉันเต็มไปด้วยบาป แต่คนที่สะอาดและไร้เดียงสาอย่างสมบูรณ์แบบในตระกูลเว่ยก็คือชิงเยว่ ถ้าเป็นไปได้ โปรดช่วยปู้ถีด้วย ลูกสาวคนสุดท้องของฉันอาจเคยทำอะไรผิดมาก่อน แต่ไม่มากจนเธอสมควรที่จะตาย”
ไม่ใช่ว่าเว่ยชางฉิงเชื่อในความสามารถของสือเหล่ย แต่เขารู้จักตัวตนของสือเหล่ยในฐานะลูกบุญธรรมของเฉินหยานวี่นั้นเพียงพอที่จะทำให้หลายๆคนต้องระมัดระวังในหวูตง นอกจากนี้ หยูปันจือยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสือเหล่ย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่บอกสือเหล่ยเรื่องเว่ยจินกัง มันเป็นเรื่องที่แม้แต่นายท่านเว่ยยังไม่รู้มาก่อน แต่สือเหล่ยรู้ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเขาและหยูปันจือ
ด้วยทั้งสองจุดนี้เพียงอย่างเดียว มันก็เป็นไปได้ที่สือเหล่ยจะสามารถช่วยคนบริสุทธิ์อย่างเว่ยชิงเยว่ไว้ได้แล้ว
สือเหล่ยตอบ “ผมจะพยายามเต็มที่”
“นายสามารถคุยกับหยูปันจือได้ ฉันจะทำมันด้วยตัวเอง มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาและเพียงขอร้องให้ไว้ชีวิตของชิงเยว่และปู้ถี”
สือเหล่ยสามารถได้ยินว่าเว่ยชางฉิงได้ยอมแพ้ในการต่อสู้กลับไปแล้ว