The Bloodline System ศึกแห่งสายเลือด - ตอนที่ 65
ตอนที่ 65: หมวกปรับแต่งสมอง
“โอ้ นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้คุณพูดความจริงออกมาน่ะ!”
เอดันดันหมวกกันน็อคไปทางหัวของกุสตาฟและพยายามสวมมันให้เขา
“ ฉันไม่ยอมให้แกใส่มันเข้ามาหรอกนะ” กุสตาฟขยับศีรษะไปทางด้านข้าง ทำให้หมวกกันน็อคหล่นไปที่คอของเขา
“ ทำตัวให้มันดีๆหน่อย … ฉันไม่มีเวลามากนะ!”
เอดันตะโกนออกมาและขยับหมวกไปทางกุสตาฟที่ยังคงขยับหัวไปมาเพื่อพยายามหลบ
ควับ!
เอดันจับคางของกุสตาฟด้วยมือซ้ายและจับหัวของเขาไว้อย่างแรง ก่อนจะวางหมวกกันน็อคไว้บนหัวของเขา
“ มะ …ไม่อ๊ะ … อึ้ก!” กุสตาฟพึมพำคำพูดที่ไม่ต่อเนื่องกัน ในขณะที่พยายามขยับหัว แต่มันก็ไม่มีประโยชน์
การจับคางของเขานั้นทรงพลังมากจนเขาแทบจะไม่ส่งเสียงเลย
เขาสามารถบอกได้แล้วว่าหมวกกันน็อคมีหน้าที่อะไร แต่เขาไม่มีพลังพอที่จะหยุดมัน
‘ไม่! ไม่! ไม่! ไม่! ไม่! ไม่! ‘ กุสตาฟยังคงกรีดร้องอยู่ข้างในใจ
เขาไม่ต้องการให้ความลับของระบบของเขาถูกเปิดเผย แต่เขาไม่แข็งแกร่งพอ
นี่คืออุปกรณ์ปรับแต่งสมองและหนึ่งในหน้าที่ของมัน คือการบังคับให้คนตอบตามความเป็นจริงสำหรับคำถามที่ถูกถาม
แม้ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะแปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายในตอนนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำลายพันธะที่ยึดเขาไว้ได้
แม้ว่าเขาจะสามารถฝ่าชายตรงหน้าได้ แต่เขาคนนั้นก็มีพลังมากกว่าที่เห็นอยู่ในตอนนี้และนั่นก็จะเผยให้เห็นความสามารถของกุสตาฟเองเช่นกัน
“เปิดใช้งาน!” เอดันพูดกับชายที่อยู่ข้างๆเขา
ชายคนนั้นพยักหน้าและคลิกที่ปุ่มด้านหลังหมวกกันน็อค
แกร๊บ! แกรบ! แกรบ!
ประกายไฟฟ้าบนหมวกกันน็อคเพิ่มขึ้นตามจำนวนและขนาดขึ้น ทำให้ดวงตาของกุสตาฟเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด
ในไม่กี่วินาทีดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นกระสับกระส่าย
เอดันจ้องไปที่การแสดงออกของกุสตาฟ ซึ่งดูเหมือนเขาจะตื่นแต่ก็กำลังหลับไปด้วย
“อุปกรณ์ปรับแต่งสมองกำลังทำงานอยู่” ชายข้างๆเขาระบุ
“คุณชื่ออะไร?” เอดันถาม
“ ฉันคือกุสตาฟ ออสโลฟ” กุสตาฟตอบเหมือนหุ่นยนต์
ตอนนี้เขาดูเหมือนหุ่นเชิด
“ใช้ได้ดีนี่ ไม่มีปัญหา นั่นคือชื่อเต็มของไอ้เด็กสารเลวนี่” ชายที่อยู่ข้างๆเขายืนยัน
“ตอนนี้บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภูเขาแห่งนั้นเมื่อ 3 เดือนก่อน…บอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากคุณไปยังป่านั่น” เอดันสั่ง
กุสตาฟซึ่งดวงตายังคงดูเหมือนหุ่นเชิดที่ไร้ชีวิตเริ่มพูด
“ วันนั้นฉันเข้าป่าไปฆ่าตัวตาย … ”
——
ในละแวกนั้นเวลาผ่านไปกว่า 30 นาทีและผู้คนยังคงพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แองจี้กำลังเดินข้ามถนนสายนั้นโดยพยายามตามรอยกุสตาฟ
เธอรอกุสตาฟมาถึงตั้งแต่ที่เธอเห็นเขาออกจากอพาร์ตเมนต์ก่อนหน้านี้
เนื่องจากเขาบอกว่าเขากำลังจะไปหาของบางอย่างที่แผงขายของ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 3 ถนน เธอจึงคาดว่าเขาจะมาถึงในตอนนี้
เธอสังเกตเห็นคนนอกบ้านคุยกับตำรวจบางคน
‘ทำไมตำรวจถึงมาที่นี่?’ เธอสงสัย ในขณะที่เธอขยับเข้าไปใกล้เพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น
– “คุณไม่สามารถอธิบายใบหน้าของบุคคลนี้ได้หรือไม่?”
– “ไม่ได้ครับ แต่เราอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเกินไปและพวกเขายังคงเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าที่เราจะมองเห็นร่างของพวกเขาได้อย่างถูกต้องชัดเจน และเมื่อพวกเขาหยุดเคลื่อนไหว รถก็มารับและลักพาตัวเด็กชายคนนั้นไปทันที”
แองจี้สามารถได้ยินการสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและหนึ่งในคนในละแวกใกล้เคียงที่เป็นพยานในคดีนี้ได้
‘ลักพาตัว?’ แองจี้ขยับเข้ามาใกล้เพื่อฟังอย่างเหมาะสม
– “จากรูปร่างของเขา คุณสามารถบอกได้ว่ามันเป็นเด็กใช่ไหม”
– “ใช่ครับ คุณเจ้าหน้าที่ เด็กที่ถูกจับตัวไปนั้นเป็นวัยรุ่น”
– “และจากการเคลื่อนไหวของพวกเขา เด็กผู้ชายน่าจะเป็นเลือดผสม?”
–
“พวกเขาเป็นพวกเลือดผสมอย่างแน่นอนครับ และเด็กชายคนนั้นก็ดูเหมือนกับผู้ชายที่มาลักพาตัวเขาไปมาก ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าทั้ง 2 คนเป็นเลือดผสม”
ในตอนนี้แองจี้เริ่มมีความรู้สึกสังหรณ์ในใจแล้ว
เธอเอาแต่ฟังและรู้สึกเหมือนว่าข้อมูลสำคัญบางอย่างกำลังจะตามมา
– “งั้นไม่มีทางระบุตัวเด็กคนนี้ได้สินะ?”
– “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ถ้าคุณอยู่ที่นี่ตอนที่มันเกิดขึ้นคุณจะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร … ร่างของพวกเขาเบลอมากจริงๆ เนื่องจากความเร็วของพวกเขา”
– “อืม สถานการณ์คือเราอาจทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเราไม่สามารถอธิบายลักษณะเด็กคนนั้นได้”
– “คุณเจ้าหน้าที่ ถ้าผมจำไม่ผิด … แม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนที่เร็ว แต่ผมแน่ใจว่าเด็กผู้ชายคนนั้นมีสีผมบลอนด์… ใช่ผมบลอนด์พวกเขาเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว แต่อย่างน้อยผมก็เห็นสีนั้นได้ชัดเจน!”
ทันทีหลังจากที่แองจี้ได้ยินแบบนั้น จิตใจของเธอก็หยุดชะงัก
‘ผมบลอนด์?’
แม้ว่าอาจจะเป็นคนอื่น เนื่องจากการมีผมสีบลอนด์ไม่ได้มีไว้สำหรับคน ๆ เดียว แต่แองจี้รู้ดีว่ามีเพียงคนเดียวในละแวกนี้ที่มีผมสีบลอนด์และยังเป็นเลือดผสมที่เหนือกว่าเธอด้วยความเร็วที่เธอภาคภูมิใจมาโดยตลอด
เธอเริ่มตื่นตระหนก “โอ้พระเจ้า … ฉันจะทำอย่างไรดี”
เธอไม่ได้พยายามไปพบตำรวจเพราะเธอรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะทำอะไรไม่มากหรือทำอะไรไม่ได้เลย
ตำรวจแถวนี้อ่อนแอกว่ากุสตาฟ ดังนั้นการที่เขาต้องถูกจับก็หมายความว่ามีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าในการทำงานครั้งนี้ที่นี่
เธอคิดอยู่เสมอว่าเธอจะไปพบใคร
จู่ๆเธอก็จำอะไรบางอย่างได้
‘เขามักจะมุ่งหน้าไปที่ Gami Dojo หลังเลิกเรียนเพื่อฝึกฝนกับครูของเขา … เธอเป็นคนเดียวที่ฉันสามารถไปพบได้’
แองจี้จำได้ว่าเธอเคยถามกุสตาฟว่าทำไมเขาไม่กลับบ้านกับเธอ ในตอนแรกเขาไม่อยากบอกเธอ แต่หลังจากที่เธอรบกวนเขามามากเพื่อหาคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเขาก็ยอมและบอกเธอเกี่ยวกับ Dojo
แองจี้รีบเร่งไปยังสถานีขนส่งที่ใกล้ที่สุดเพื่อขึ้นรถ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกตึงเครียด เธอไม่รู้ว่าเธอจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปใน Dojo ได้ไหม แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลอง
–
5 นาทีต่อมาแองจี้ลงจากรถบัสและข้างหน้าเธอคือตึกสูง 700 ชั้น
เธอวิ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว
ชายร่างท้วม 4 คนหน้าทางเข้าสังเกตเห็นเธอและร้องเรียกให้เธอหยุดวิ่ง
แองจี้หยุดก้าวของเธอต่อหน้าพวกเขาอย่างสุภาพและขออนุญาตเข้าไปข้างใน
– “เด็กสาวฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใครและมาจากไหน ดังนั้นฉันจะอธิบายให้เธอฟัง … นี่คืออาคารธุรกิจของกลุ่มออคทาเวีย หากไม่มีการระบุตัวตนที่ถูกต้องเธอจะไม่สามารถเข้าไปได้!”
“ได้โปรด นี่เป็นเรื่องฉุกเฉิน ฉันแค่ต้องแจ้งครูที่นี่ เกี่ยวกับนักเรียนของเธอ!” แองจี้วิงวอน
– “ฉันขอโทษ แต่ฉันไม่สามารถให้เธอเข้าไปได้ กรุณาโทรหาครูคนนั้นบนอุปกรณ์สื่อสารของเธอเถอะ!”
“ฉันไม่มีหมายเลขของเธอและติดต่อเธอไม่ได้ ได้โปรดแจ้งเธอให้ฉันที ให้เธอคนนั้นมาที่นี่ด่วน!” แองจี้เอาแต่อ้อนวอน แต่ทหารยามไม่ฟังเธอ
พวกเขาขอให้เธอออกไป แต่เธอไม่ยอมทำตาม เธอเอาแต่ขอร้องและตะโกน
เสียงของเธอดึงดูดผู้คนในบริเวณใกล้เคียง
พวกเขาบางคนที่ออกมาจากอาคารมีท่าทางรังเกียจและแนะนำให้เขานำเธอไปโยนทิ้งให้ไกลจากสถานที่
แม้จะโดนดูถูกและโดนขยะแขยง แต่แองจี้ก็ยังคงขอร้องต่อไป
ผู้คุมไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป หนึ่งในนั้นเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อคว้าตัวเธอ แต่ก็โนขัดเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงจากด้านหลัง
“ฟัลโก้ เกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงของผู้หญิงที่นุ่มนวลทำให้เขาหยุดชะงัก
ทหารยามหันกลับมาและสังเกตเห็นผู้หญิงในชุดแดงเดินออกจากอาคาร
“ ท่าน…” ทหารยามก้มหัวให้เธอเล็กน้อยขณะที่เธอเดินผ่านไป