The Bloodline System ศึกแห่งสายเลือด - ตอนที่ 17
ตอนที่ 17: บันทึกทางประวัติศาสตร์
“ ประวัติศาสตร์ปี 2076!” กุสตาฟหรี่ตา เมื่อเห็นชื่อ
“ในปีเดียวกันนั้นเขากล่าวกันว่า ชาวสลาคอฟกำลังจะลงมาบนพื้นโลกไม่ใช่หรือ?” กุสตาฟตั้งคำถาม
“ เธอบอกว่าห้องสมุด D” ดวงตาของกุสตาฟเบิกกว้างเมื่อเขารู้ตัว
“นั่นคือห้องสมุดที่เข้าถึงได้เฉพาะพวกเลือดผสมระดับ VIP เท่านั้น”
กุสตาฟพบต้นไม้ริมถนนและนั่งอยู่ข้างใต้มัน
เขาจ้องหนังสือในมืออีกครั้ง
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่เคยเห็นเล่มนี้สินะ” กุสตาฟพูดขณะที่เขาหันหนังสือไปด้านข้าง เพื่อตรวจสอบทุกส่วนของหนังสือ
กุสตาฟเคยไปเยี่ยมห้องสมุดที่นักเรียนปกติสามารถเข้าถึงได้และอ่านหนังสือมากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นหนังสือที่มีประวัติศาสตร์ในอดีตที่ยิ่งใหญ่เท่านี้มาก่อน
หนังสือประวัติศาสตร์ทุกเล่มที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาของการสืบเชื้อสายของสลาคอฟ มีจำนวนไม่เกิน 3 หน้าเต็มเลยในห้องสมุดธรรมดา
หนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้นไม่เคยให้ข้อมูลมากมายนัก มีเพียงหนังสือที่คนทั่วไปรู้จักเท่านั้น ที่มีอยู่ในนั้น กุสตาฟอยากรู้มากขึ้นเสมอและรู้สึกว่าข้อมูลจำนวนมากได้หายไป แต่เนื่องจากเขาไม่เคยได้รับสิทธิ์ให้เข้าถึงห้องสมุดที่ดีกว่า เขาจึงต้องทำสิ่งที่เขามีให้ได้
กุสตาฟรู้สึกทึ่ง เขาจึงเปิดหนังสือและเริ่มพลิกดูหน้าต่างๆ
ข้อมูลแรกที่เขาเห็นพูดถึงมนุษย์ที่กำลังมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างไร และรู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่ค้นพบ จนกระทั่งชาวสลาคอฟ ที่มาพร้อมกับยานอวกาศขนาดใหญ่นับพัน ที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์
การสืบเชื้อสายของพวกเขา ทำให้มนุษย์ตระหนักว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริงและการปรากฏตัวของสลาคอฟ ก็เป็นสิ่งที่แม้แต่สถานีอวกาศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สุดก็ไม่สามารถตรวจจับได้
สลาคอฟเข้ามาที่โลกได้โดยไม่มีการตรวจพบยานอวกาศแม้แต่ลำเดียว
อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาหายไป เมื่อพวกเขามาถึงชั้นบรรยากาศของโลกกันแน่และยานอวกาศขนาดใหญ่ของพวกเขาสามารถมองเห็นได้จากพื้นผิวโลกอีกต่างหาก
กุสตาฟพลิกไปหน้าถัดไป เขาอ่านหน้าแรกเสร็จภายในเวลาไม่ถึงนาที
เขาอ่านหนังสือต่อไปด้วยความรู้สึกทึ่ง
มนุษย์ที่คิดว่าสลาคอฟเป็นภัยคุกคามก็ได้ยิงปืนใหญ่ขีปนาวุธและอื่น ๆ ทั้งหมดไปยังยานอวกาศ และเมื่อพวกเขาลงมา
ไม่มีสิ่งใดทำงาน ยานอวกาศไม่อนุญาตให้อาวุธทุกชิ้นที่มนุษย์ครอบครองผ่านเข้าไปได้
มนุษยชาติตระหนักได้ในจุดนี้ว่าเทคโนโลยีของพวกเขายังขาดอยู่ แม้ว่าจะมีการปรับปรุงแล้วก็ตาม
สลาคอฟ ที่ไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์ในตอนแรก ก็ใช้เทคโนโลยีของพวกเขาเพื่อดาวน์โหลดประวัติศาสตร์มนุษยชาติในขณะที่กำลังลงมา
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ มีสมองที่ถูกคัดสรรและรวบรวมข้อมูลไว้อยู่สำหรับสลาคอฟแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาสามารถพูดภาษามนุษย์และเข้าใจวัฒนธรรมของมนุษย์ได้ทันที
สลาคอฟ สืบเชื้อสายมาจากหลายทวีปด้วยเรือขนาดเล็กของพวกเขา
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ที่ยังคงโง่เขลา ได้ทำการเสียสละสถานที่หลายแห่งในโลก โดยส่งนิวเคลียร์ไปเพียงเพื่อที่พวกเขาจะสามารถกำจัดโลกของสลาคอฟได้ แต่ก็มีแค่ผู้คนที่เสียชีวิตมากขึ้นเท่านั้น และสลาคอฟ ยังมีชีวิตอยู่เพราะถูกปกป้องโดยสนามพลังงาน
หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวหลายครั้งในการทำลายสลาคอฟ มนุษย์ก็ยอมแพ้และยอมจำนนต่อชะตากรรมของพวกเขา
หัวหน้าคนที่ 1 ของ สลาคอฟและบุคคลสำคัญอื่น ๆ จากรัฐบาลโลก ได้มีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับการปกครองของสลาคอฟ ว่าจะเป็นอย่างไรและมนุษย์พร้อมที่จะรับใช้พวกเขาได้อย่างไร โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกสังหาร
น่าแปลกที่หัวหน้าของสลาคอฟท่านลอร์ดแฟรมบูตินที่ 88 อธิบายให้รัฐบาลโลกเข้าใจว่ามนุษย์เข้าใจเชื้อสายของพวกเขาผิดอย่างไร
เขาอธิบายว่าสาเหตุของการอพยพของพวกเขา เป็นเพราะดาวเคราะห์ฮัมแบดเกิดการทำลายล้างและพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เพื่อทำให้มนุษย์ตกอยู่ในพันธนาการ แต่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขต่างหาก
เพื่อแสดงถึงความจริงใจ สลาคอฟได้นำเสนออุปกรณ์และเทคโนโลยีชิ้นหนึ่งแก่รัฐบาลโลก
นี่คือจุดที่มนุษย์ตระหนักว่า สลาคอฟเป็นเผ่าพันธุ์ที่สงบสุขและพวกเขาก็ฆ่าพวกนั้นไปอย่างไร้ประโยชน์
แม้ว่าชาวสลาคอฟจะมีอำนาจที่จะทำให้มนุษยชาติทั้งมวลคุกเข่าลง แต่พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกันในหมู่มนุษย์
สลาคอฟ ยังตัดสินใจที่จะลงนาม ในสนธิสัญญากับมนุษย์ โดยบอกว่าพวกเขาจะให้อะไรเพื่อแลกกับการอยู่บนโลกบ้าง
มนุษย์ที่ตระหนักว่าเทคโนโลยีสลาคอฟ เหนือกว่าพวกเขามากตัดสินใจที่จะแลกเปลี่ยนการอนุญาตเพื่อรับความรู้
ปีนี้เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติเลยที่เดียว
ในปีเดียวกันนั้น เกิดความโกลาหลขึ้น เมื่ออุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนพื้นผิวโลก ชิ้นส่วนในโลกที่ถูกอุกกาบาตชน น่าจะทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องพินาศได้ แต่ได้มีการคาดการณ์ไว้แล้ว ดังนั้นผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่เหล่านี้จึงถูกย้ายออกไปแล้ว
หลังจากอุกกาบาตเหล่านี้ตกลงสู่พื้นโลกในหลายส่วนก็เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่น่าประหลาดใจขึ้น
อุกกาบาตแตกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆบนโลก และกลายเป็นถ้ำซากปรักหักพัง และซากใต้ดินบางชนิด
ต่อมาพบว่าอุกกาบาตเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์บ้านเกิดของสลาคอฟที่ถูกทำลาย
นักวิทยาศาสตร์สำรวจซากปรักหักพังใต้ดิน และในเวลาต่อมาได้พบพลังงานใหม่ที่นั่น
พลังงานนั้นถูกเรียกว่าคริสตัลฮูลอฟ
‘อืมคริสตัลของ ฮูลอฟมาจากการทำลายล้างของดาวเคราะห์ที่บ้านเกิดของสลาคอฟสินะ’ กุสตาฟ ตั้งข้อสังเกตให้กับข้อมูลชิ้นนี้
นี่คือจุดเริ่มต้นของความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านพลังงาน
กุสตาฟพลิกดูหน้าสุดท้ายด้วยความผิดหวัง
“แค่นี้หรอ?” กุสตาฟเสียใจ เขายังคงคิดว่ามีข้อมูลมากกว่านี้
กุสตาฟเพิ่งอ่านหนังสือจบ มันมีประมาณ 100 หน้า และจำนวน 20,000 คำ ภายในเวลา 20 นาที
ทุกสิ่งที่เขียนไว้นั้น ฉาบอยู่ในกำแพงความคิดของเขา
เขายังคงต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติม
เมื่อเขาปิดหนังสือ เขาสังเกตเห็นตัวอักษรชุดเล็กที่แกะสลักไว้ใต้ปกหลัง
“อืมเล่ม 1” กุสตาฟอ่านออกด้วยรอยยิ้ม “นี่หมายความว่ามีเล่มอื่นอีกสินะ” กุสตาฟลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นในเครื่องแบบของเขา
“อืมฉันคงจะไม่ได้รับอนุญาตให้หยิบหรืออ่านหนังสือใด ๆ ในห้องสมุด D” กุสตาฟคิดว่าเขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
หลังจากครุ่นคิด ไม่กี่วินาทีเขาก็ตัดสินใจไปที่ห้องสมุด D
เป็นเวลาประมาณ 15 นาทีถึง 6 โมงเย็นในเวลานี้
ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 20 นาทีในการเดินไปยังห้องสมุด D
‘บรรณารักษ์คงจะออกไปเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นฉันจะใช้เวลาไม่นานในการไปที่นั่น’ กุสตาฟคิด ในขณะที่เขาเตรียมที่จะใช้โหมดความเร็ว
เขามองไปรอบ ๆ ตัวเขา เพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หลังจากสังเกตว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เขาจึงหันไปทางขวา ซึ่งสามารถมองเห็นถนนโค้งยาวข้างหน้าได้
‘เปิดใช้งานโหมดความเร็ว’
ทันใดนั้น เขาก็ตะโกนออกมาในใจของเขา และเขาก็หายวับไปอีกครั้ง
ความรู้สึกเบาสบายห่อหุ้มร่างกายของเขาอีกครั้ง
กุสตาฟหมอบตัวเล็กน้อยก่อนจะพุ่งไปข้างหน้า
เฟี้ยว!
เขาพุ่งไปตามเส้นทางด้วยความรวดเร็วไปตามถนนที่คดโค้ง
การเคลื่อนไหวทุกครั้งที่เขาวิ่งไปตามทางมากกว่า 100 ฟุต พุ่งผ่านต้นไม้ข้างทางไปอย่างเร็ว
ต้นไม้อยู่ห่างจากกันเล็กน้อย แต่เขาสามารถข้ามจากต้นแรกไปยังอีกต้นหนึ่งได้ในไม่กี่วินาที
ลมพัดผมของเขาไปข้างหลังและทำให้ชุดของเขาไม่เป็นระเบียบอีกครั้ง แต่นี่เป็นความรู้สึกที่เขาจะไม่มีวันแลกกับโลกใบนี้ แน่นอน
[โหมดความเร็ว ถูกปิดใช้งาน]
การจับเวลาสิ้นสุดลง นี่เป็นครั้งที่3 ที่กุสตาฟมาถึงหน้าอาคารรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนขนาดใหญ่
อาคารนี้ทาสีน้ำตาลและขาว มันเป็นเหมือนห้องโถง แต่ดูเหมือนรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสองอันเชื่อมติดกันมากกว่า
กุสตาฟเดินไปที่ทางเข้า ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอยู่
“แสดงตัวว่าคุณเป็น VIP โอ๊ะ ไม่สิ … แกหรือ? ไม่ได้ แกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป! ผู้คุมชายจำกุสตาฟได้ ซึ่งเขาเป็นขยะของทั้งโรงเรียนและการแสดงออกของผู้คุมก็ดุร้ายมาก
“ ครูเอมมี่ขอฉันให้คืนเล่มนี้” กุสตาฟยกหนังสือในมือขึ้น
“หืม?” ผู้คุมจ้องไปที่หนังสือด้วยสายตาประหลาดใจ
“ ครูเอมมี่ให้แกมาคืน? แกแน่ใจเหรอ?” สีหน้าของผู้คุมเริ่มตึงเครียดเล็กน้อย เมื่อเอ่ยชื่อครูเอมมี่
“บางทีฉันควรจะกลับไปที่สำนักงานของเธอ และบอกเธอว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกันฉันเพื่อไม่ให้ทำงานที่เธอสั่งมาให้สำเร็จ” กุสตาฟพูดและหันหลังกลับเพื่อออกไป
ใบหน้าของผู้คุมเริ่มตึงเครียดและตื่นตระหนกมากขึ้น ขณะที่เขาเอื้อมมือไปคว้ากุสตาฟ
“ เฮ้ ฉันกันแกเมื่อไหร่ เข้ามาได้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิ้มอย่างฝืน ๆ ขณะที่เขาอนุญาตให้กุสตาฟเข้าไปได้
กุสตาฟพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องสมุด
ทันทีที่เขาเข้าไป สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาคือแถวยาว และเสาของชั้นวางขนาด 3 เมตรที่เว้นระยะอย่างเรียบร้อยทั่วห้อง
ความยาวของห้องใหญ่มาก จนกุสตาฟมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดจากตำแหน่งของเขา
พื้นผนังแสงไฟ ทุกอย่างดูน่าอัศจรรย์ทำให้กุสตาฟสงสัยว่าเขาเพิ่งเข้าสวรรค์หรือเปล่า
ห้องสมุด D แตกต่างจากห้องสมุดอื่น ๆ ที่เหลือ กุสตาฟเริ่มเดินไปข้างหน้าด้วยความประหลาดใจ
เขายังคงงุนงง ขณะที่เดินท่ามกลางชั้นหนังสือเหล่านี้
“ นี่คุณมาทำอะไรที่นี่?”
เสียงผู้หญิงถามขึ้นทำให้เขาออกจากภวังค์