The Bloodline System ศึกแห่งสายเลือด - ตอนที่ 66
ตอนที่ 66: การค้นหาตัวกุสตาฟ
“หญิงสาวคนนี้กำลังรบกวนความสงบของสภาพแวดล้อม! และเธอยังคงขอเข้าไปโดยไม่ระบุตัวตน” ผู้คุมกล่าวกับผู้หญิงชุดแดงที่เพิ่งมาถึง
“ได้โปรด ฉันต้องการพบเธอ มันเร่งด่วน ยิ่งเราใช้เวลาที่นี่นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น!” แองจี้ตะโกนออกมาอีกครั้ง
ยามหันกลับไปคว้าแขนแองจี้อีกครั้ง หลังจากที่เธอตะโกนออกไป
“ฟัลโก รอก่อน!” ผู้หญิงในชุดแดงบัญชา
เธอเดินไปหาพวกเขาและยืนอยู่ตรงหน้าแองจี้
“บุคคลนี้ที่คุณหมายถึงใคร” เธอถาม
“บางที ฉันอาจช่วยคุณส่งต่อข้อความให้เธอได้” เธอเสนอด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
“เธอเป็นครูที่นี่ … เธอชื่อครูเอมมี่!” แองจี้ตอบคุณผู้หญิงตรงหน้า
ดวงตาของยามเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
‘เธอกำลังมาหาท่านรึ?’ ผู้คุมประหลาดใจกับการเปิดเผยนี้
แองจี้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของทุกคนรอบตัวเธอดูแปลกประหลาดเล็กน้อย รวมถึงผู้หญิงที่จ้องมองเธอด้วยสายตาที่ครุ่นคิดราวกับว่าเธอกำลังพยายามคิดว่าพวกเขาเคยพบกันมาก่อนหรือไม่
“หืม บอกฉันสิเด็กน้อย … ทำไมเธอกำลังหาตัวฉัน”
แองจี้ได้ยินผู้หญิงถาม เธอจึงได้แต่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
“ คุณคือครูเอมมี่เหรอ?” แองจี้ถาม
–
ไม่กี่นาทีต่อมาแองจี้ก็อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้กับครูเอมมี่เสร็จแล้ว
สีหน้าของครูเอมมี่ดูสดใสขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากได้ยินเช่นนั้น
เธอมีรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าของเธอ ขณะที่เธอจ้องมองไปที่แองจี้
ทหารยามรู้สึกหนาวสั่นเมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ
ทุกคนรู้ดีว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะยิ้มได้ เว้นแต่จะมีบางอย่างที่จะเป็นหายนะกำลังจะโดนทำให้หาไป
“ แองจี้ … นั่นชื่อเธอใช่ไหม” ครูเอมมี่ถาม
“ค่ะ” แองจี้พยักหน้ายืนยัน
“เราจะทำยังไงต่อ” เธอสอบถาม
“ ไม่ใช่เรา … ” ครูเอมมี่ตอบ
ทันใดนั้นความหนาวเย็นก็แพร่กระจายไปในอากาศ ขณะที่รอยยิ้มของครูเอมมี่ขยายกว้างขึ้นทำให้แองจี้ดูสับสน
เธอสงสัยว่าทำไมครูเอมมี่ถึงยิ้ม แต่เธอรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่กระจายไปทั่วสถานที่อย่างปฏิเสธไม่ได้
“ กลับบ้านเดี๋ยวนี้ เรื่องนั้นฉันจะจัดการเอง!” ครูเอมมี่กล่าวแล้วเดินไปข้างหน้า
น้ำเสียงเย็นชาที่ครูเอมมี่พูดทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับการถกเถียง
แม้ว่าแองจี้ยังคงกังวล แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องปฏิบัติตาม
เธอจ้องมองไปที่ด้านหลังของครูเอมมี่ ซึ่งกำลังอยู่ห่างออกไปและไกลออกไป
“ ครูเอมมี่ ครูเอมมี่เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” แองจี้ตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว
ครูเอมมี่หยุดอยู่ตรงหน้ารถโฮเวอร์ไบค์ ก่อนจะเอียงศีรษะไปทางซ้ายเพื่อจ้องไปที่แองจี้
“ฉันไม่รู้ แต่ … พวกที่จับกุมเขาจะต้องพบเจอกับเรื่องแย่ๆกว่าเขาแน่นอน!” ครูเอมมี่ตอบกลับ
คำพูดที่เต็มไปด้วยเลือดของเธอ ทำให้ทหารยามพร้อมกับผู้คนในบริเวณใกล้เคียงสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
ครูเอมมี่นั่งบนจักรยานยนต์และสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนที่จะออกรถไปทันที
–
ไม่กี่นาทีต่อมาครูเอมมี่ก็มาถึงบริเวณที่มีการป้องกันไม่ให้เข้าและมีสิ่งกีดขวางอยู่
สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประเภทต่างๆที่เคลื่อนย้ายไปรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียง
คนส่วนใหญ่สวมชุดเกราะเหมือนเครื่องแบบ
พื้นที่ภายในกำแพงที่มีสิ่งกีดขวางนั้นมีสภาพแวดล้อมที่กว้างพอ ๆ กับเมืองเล็ก ๆ
อาคารที่สูงที่สุดในเมืองแพลงก์ตอนเกิดขึ้นภายในฐานที่มั่นที่มีการป้องกันอย่างดีในที่แห่งนี้
ครูเอมมี่จ้องมองไปที่อาคารรูปจรวดที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งสูงมากจนมองไม่เห็นด้านบน
เธอถอนหายใจด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินไปยังทางเข้าของฐานที่มั่น ซึ่งมีผู้คุมจำนวนมากสวมชุดเกราะที่ดูน่ากลัวเหมือนหนังไซไฟ
*****
ภายในห้องมืดที่กุสตาฟถูกกักขัง
เอดันยืนอยู่ตรงหน้ากุสตาฟที่เพิ่งพูดจบ
“นั่นหมดแล้วหรือ?” เขาถาม.
“ ใช่ นั่นคือทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ฉันอยู่ในป่าแห่งนั้น” ดวงตาของกุสตาฟยังคงดูเฉยเมยในขณะที่เขาพูด
“อืม ตอนนี้เรารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น” เอดันพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
*****
ครูเอมมี่ยืนอยู่หน้าห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์โฮโลแกรมและอุปกรณ์เทคโนโลยีมากมาย
กลุ่มคนในชุดเครื่องแบบสีส้มสามารถมองเห็นได้จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งภายในห้องนี้ บางคนกำลังจัดการกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงสถานะของสถานที่ต่างๆในโลก
ข้างๆครูเอมมี่เป็นชายในชุดเครื่องแบบสีส้มเข้มลายดำ
เขาไว้ผมสีเขียวอ่อนและค่อนข้างเตี้ย สูงประมาณ 4’5 ฟุต
“ ฉันเป็นหนี้อะไรถึงทำให้เธอต้องมาเยี่ยมถึงที่ในครั้งนี้ … ห้ะ เอมมี่!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขี้เล่นขณะหัวเราะเบา ๆ
“ฉันไม่มีเวลามากพอ ฉันยุ่งอยู่ ฉันต้องการให้คุณใช้ดาวเทียมโอเรียน เพื่อติดตามใครบางคนให้ฉัน!” ครูเอมมี่กล่าวโดยไม่ได้กล่าวทักทายใด ๆ
“คมมาก และตรงประเด็น … แต่เมื่อได้เห็นท่าทางเร่งด่วนของคุณ ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันคงต้องใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ และตอนนี้เราควรจัดการดีลกับคุณก่อนกีกว่าไหม” ชายคนนั้นยิ้มอย่างเขินอาย ขณะที่เขาพูด
ครูเอมมี่มองกริชและจ้องเขาก่อนจะตอบ
“ได้!”
*****
“ถึงเวลาที่จะต้องเอาเด็กคนนี้กลับไป ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะเจออะไรก่อน … เราจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป หลังจากได้รับข้อแสนอแนะของนายท่านยังก่อน ที่มันเกี่ยวกับเรื่องเล่าของเด็กนี่” เอดันกล่าว ขณะดึงหมวกกันน็อคออกจากหัวของกุสตาฟ
“ แคนฟูร์ พาเขากลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของเขา” เอดันร้องเรียกชายอีกคน
ชายคนนั้นพยักหน้าและเริ่มปลดตะขอโลหะที่รัดกุสตาฟไว้กับเก้าอี้
หลังจากที่เขาพูดเสร็จเขาก็เคาะหัวกุสตาฟ “ลุกขึ้นเด็กน้อย!” เขาร้องเรียก แต่ไม่มีคำตอบ
“เฮ้ ไอ้เด็กนี่ ลุกขึ้น!”
เขาเรียกอีกครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับอีกครั้ง
ชายคนนั้นจ้องไปที่ใบหน้าของกุสตาฟด้วยความสับสนและสังเกตว่าดวงตาของเขายังคงเหมือนเดิม
สลบเหมือด!
“บอสเอดัน ฉันคิดว่าเด็กนี่ตายไปแล้ว” แคนฟูร์พูดพร้อมกับยกมือขึ้นและวางไว้ตรงหน้าของกุสตาฟ
เขาโบกมือซ้ำ ๆ มองหาสัญญาณว่ากุสตาฟฟื้นคืนสติตามปกติไหม แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
เขาจับแขนของกุสตาฟยกขึ้นและปล่อยมันลง
แขนทิ้งไปข้างหลังของกุสตาฟเหมือนเขาตายไปแล้ว
“เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เพียงแค่พาเขาออกไปจากที่นี่ตอนนี้” เอดันพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญเล็กน้อย
ชายคนนั้นพยักหน้าและยกกุสตาฟขึ้นบนไหล่ขวาก่อนจะเดินออกไปที่ทางออก
*****
ภายในห้องเทคโนโลยีครูเอมมี่ยังคงพูดกับผู้ชายตัวเตี้ย
“ยอมรับแล้ว เพียงแค่หาเขาให้ฉัน” ครูเอมมี่กล่าวกับชายที่แสดงสีหน้าตกใจ
“คุณยอมรับโดยไม่ฟังคำเรียกร้องของฉันก่อนหรือ” ชายคนนั้นกล่าวด้วยหน้าตาที่ตกตะลึง
“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันเรียกร้องเรื่องที่ไม่มีเหตุผล” เขาตั้งคำถาม
“ไม่ต้องเสียเวลา หาเขาให้ฉัน หรือคุณต้องการที่จะตาย ห้ะ” ครูเอมมี่มีสีหน้าเครียด ขณะที่เธอกำลังขู่เขา