The Book - ตอนที่ 7 บทที่ 1 องค์ 4 (1)
เธอรักการอ่านหนังสือมาแต่ตั้งวัยเด็ก กลิ่นของหนังสือเก่าทำให้ใจเธอนั้นสุขสงบ แนวหนังสือที่เธอชอบอ่านคือหนังสือนิยายเด็กที่มีอยู่ในห้องสมุดโรงเรียน รองลงมาก็คือหนังสือที่มีรูปป๊อปอัพอยู่ในนั้น
ครั้นเมื่อเธออยู่ ป.6 พ่อและแม่ของเธอได้ทะเลาะกันใหญ่โต เธอไม่สามารถตั้งสมาธิอ่านหนังสือในระหว่างที่ได้ยินเสียงแม่ของเธอขว้างปาจานชามได้ ในช่วงวัย 12 ปี ฟุตาบะ จิโฮะ จึงหนีออกจากบ้าน ตั้งใจไว้ว่าจะไปที่ท่ารถเมล์หน้าสถานีรถไฟ เพื่อขึ้นรถไฟไปยังเมือง S
เด็กน้อยซื้อโดนัทแล้วจึงมานั่งอยู่ที่ท่ารถ รอคอยเวลาที่รถจะออก ในใจนึกสงสัยว่าจะมีอะไรรออยู่ภายนอกเมืองนี้กันนะ ไม่นานนักเธอก็รู้สึกกลัวจนจับใจ นึกไม่ออกเลยว่าจะไปอยู่ที่ไหน เมื่อจากบ้านและเมืองเคยที่อยู่ เธอเกิดและเติบโตที่นี่ เคยตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต ในเมืองชื่อโมริโอ เมืองซึ่งมีลิ้นวัวหมักมิโซะเป็นของขึ้นชื่อ
ฟุตาบะ จิโฮะได้แต่นั่งถอนหายใจ จากนั้นจึงยกขนมสุดโปรด (โดนัท) ซึ่งเธอซื้อมาจากสถานีขึ้นมากัด ในระหว่างที่กินหมดไปครึ่งชิ้นแล้ว ความรู้สึกเศร้าก็เอ่อท่วมจิตใจ จึงกำลังคิดจะเปลี่ยนใจกลับบ้าน ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น
ทันใดนั้นเอง เด็กนักเลงคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ เธอ ต่างหูสีทองคู่ใหญ่ห้อยเด่นอยู่ข้างใบหู เมื่อเธอจะลุกขึ้นเดินหนี ก็โดนเขาจับแขนเอาไว้ และบังคับให้กลับมานั่ง
“ไม่ต้องกลัวไปน้อง ไม่ได้จะทำอะไรซักหน่อย”
นั่นเป็นคำโกหกอย่างชัดเจน ในช่วงราว 3 นาทีต่อมา เขาบังคับพาจิโฮะไปด้านหลังท่ารถ อีกทั้งยังขู่สำทับด้วยว่า ถ้ากรีดร้อง จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเธอแน่นอน เด็กนักเลงคนนั้น ฉกกระเป๋าสตางค์ของเธอที่มีบัตรเครดิตซึ่งเธอแอบขโมยมาจากกระเป๋าของพ่อก่อนจะออกจากบ้านเอาไว้ ในใจเด็กน้อยตื่นกลัวอย่างถึงที่สุดจนยืนแทบไม่ไหว
“อย่าร้องขอชีวิต!”
เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเจ้านักเลง ในเวลาใดไม่ทราบได้ เด็กชายซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจิโฮะได้มาเห็นเหตุการณ์นี้ แขนขาของเขาดูผอมบาง ร่างกายราวกับเป็นตุ๊กตาที่ถักขึ้นมาจากสายไฟ แม้ในช่วงนี้อากาศจะยังไม่เย็นนัก แต่เด็กชายกลับใส่เสื้อแขนยาวถึงข้อมือ แต่งกายด้วยสีดำไปทั้งตัว
“เธอกำลังจะร้องขอให้ช่วยใช่ไหม? ไอ้คนแบบนั้นน่ะ มันก็จะต้องร้องขอคนอื่นเขาไปจนตายนั่นแหละ”
สายตาของเด็กชายนั้นคมกล้า ดวงตาเล็กราวกับกำลังจับตามองผู้อื่นตลอดเวลา เขาจ้องไปยังจิโฮะ นัยตาสีดำสนิทคู่นั้น ทำให้เธอนึกถึงความว่างเปล่าของอวกาศ เด็กชายใช้น้ำเสียงเย็นยะเยือกพูดกับนักเลง
“ส่วนแก ไม่นึกเลยนะว่า จะมีใครที่หน้าด้านขนาดขโมยเงินเด็กประถม ตอนที่แกพาเด็กคนนี้มาข้างหลังเนี่ย นึกว่าแกจะพามาลวนลามซะอีก”
“มึงเป็นใครวะ?”
เจ้านักเลงเริ่มข่มขู่ แต่เด็กชายกลับไม่แม้แต่จะสะดุ้ง
“เด็กคนนั้นน่ะ ปล่อยมือสกปรก ๆ ของแกจากเขาซะที นี่คงเยี่ยวไม่เคยล้างมือเลย ใช่ไหมน่ะ?”
เด็กชายหยิบมีดเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋า รอยขีดข่วนบนใบมีดบ่งบอกถึงการใช้งานมาแล้วอย่างโชกโชน
หลังจากนั้น เธอจำได้ว่าเด็กชายและนักเลงมีปากเสียงกันอยู่อีกพักหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อถูกถามว่าเกิดอะไรขึ้นจากตำรวจ เธอเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้สึกตัวอีกที เธอก็กลับมานั่งอยู่คนเดียวที่เก้าอี้ท่ารถแล้ว
เธอรู้สึกแค่ว่า เด็กชายใช้มีดของเขาทำอะไรบางอย่าง จากนั้นข้างตัวของเธอ ก็มีใบหูซึ่งห้อยต่างหูสีทองวางอยู่บนพื้น ส่วนตัวเจ้านักเลงนั่นนอนกองอยู่หลังท่ารถ ถึงจะไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต แต่พอมีคนไปเจอตัว ไอ้เจ้านั่นก็ยังคงตัวสั่นไม่ยอมหยุด
ท้ายที่สุดแล้ว จิโฮะก็ไม่รู้ว่าเด็กที่เหมือนปีศาจคนนั้นเป็นใคร เมื่อตำรวจถามถึงรูปร่างหน้าตาของเด็กคนนั้น เธอก็บอกไปเพียงว่าแสงที่ส่องมาทางด้านหลังของเขามันจ้ามาก ทำให้มองเห็นหน้าไม่ชัด แต่คำพูดเหล่านั้น ก็เพื่อไม่ให้ตำรวจตามไปเจอตัวเขาได้ แท้จริงแล้ว เธอเห็นหน้าเด็กคนนั้นชัดเจน และเก็บความประทับใจนี้ในส่วนลึกของหัวใจเสมอมา
ในช่วงวัยมัธยมต้น สิ่งที่จิโฮะมักจะทำเสมอ ๆ คือการแวะที่ร้านอาหารครอบครัวระหว่างทางกลับบ้านร่วมกับเพื่อน ๆ ของเธอ โดยร้านประจำของเธอนั้นอยู่ข้าง ๆ ห้างคาเมะยู ด้วยจำนวนลูกค้าที่ไม่เยอะมากนัก โอกาสที่จะโดนครูเจอตัวก็น้อยลงตามไปด้วย นั่นก็หมายความว่าสามารถจะทำตัวสบาย ๆ ในเครื่องแบบได้อย่างอิสระ พวกเธอจะกดเครื่องดื่มจากดริงก์บาร์และแลกหนังสือการ์ตูนกันอ่านจนพระอาทิตย์ตกดิน หากเป็นในช่วงใกล้สอบ บนโต๊ะก็จะเต็มไปด้วยหนังสือตำราเรียน โดยทุกคนในกลุ่มจะมีแผ่นรองเขียนใสสีแดงเหมือนกันเป็นเอกลักษณ์
กระทั่งวันหนึ่งในช่วง ม.2 ระหว่างทางกลับบ้าน จิโฮะยังคงแวะไปที่ร้านประจำ แต่วันนั้นกลับมีแค่จิโฮะและเพื่อนสนิทผมเปียที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประถมอยู่ที่นั่นเท่านั้น พวกเธอคิดว่า เดี๋ยวคนที่เหลือก็คงตามมาจึงขอโต๊ะสำหรับ 6 ที่ แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครเข้ามาอีกแล้ว
“นี่พวกเราไม่ได้กลับบ้านพร้อมกันครบกลุ่มมานานแล้วสินะ ใช่มะ?”
จิโฮะเอ่ยปากถามเพื่อนสาวในระหว่างที่ตนกำลังอ่านหนังสือ เรื่องที่เธอกำลังอ่านอยู่นั้นคือ การเดินทางของกัลลิเวอร์ ซึ่งยืมมาจากห้องสมุดในเมือง
“ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแฟนน่ะแหละ”
เพื่อนสาวผมเปียตอบโดยไม่ได้ละสายตาจากนิตยสารภาพยนต์
“อื้ม ก็คิดอยู่ว่าเรื่องนั้น ว่าแล้วเชียว…”
จำนวนคู่รักที่อยู่รอบตัวพวกเธอนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงหลังมานี่ เหล่าเพื่อน ๆ ของเธอ ก็เริ่มที่จะทำตัวเหลาะแหละ และหยิบยืมเครื่องสำอางค์มาแต่งหน้าแต่งตาเวียนกันไปกันมา ส่วนตัวแล้วจิโฮะนั้น ไม่เคยแต่งหน้ามาก่อน ประสบการณ์เดียวที่เธอมีกับการแต่งหน้าก็คือ การแอบเอาลิปสติกของแม่มาเล่น จากนั้นก็โดนสวดไปชุดใหญ่
“ก๊วนดริงก์บาร์ของเรา ดูท่าจะไปไม่รอดแล้วล่ะมั้ง…”
จิโฮะกล่าว สายตาจับจ้องไปยังที่นั่งซึ่งว่างเปล่าจากนั้นก็ถอนหายใจ ด้านเพื่อนของเธอนั้นกำลังหยิบกรรไกรออกมาจากกระเป๋า แล้วบรรจงตัดเอารูปดาวฮอลลิวู้ดที่อยู่บนนิตยสารมาเก็บไว้
“เหลือแค่เราสองคนงั้นสินะ”
“ไม่รู้สิ ใครจะไปรู้ว่าปีต่อจากปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”
เพื่อนสาวกล่าว ขณะกำลังแปะดาวฮอลลิวู้ดติดกับสมุดโน้ต
“ปีต่อจากปีหน้า?”
นี่โลกกำลังถึงกาลอวสานแล้วหรือไงหว่า? แต่ปีต่อจากปีหน้าคือปี 1999 นี่นะ จะชวนจินตนาการแบบนั้นก็คงได้ล่ะมั้ง
“ก็แบบว่า พวกเราต้องเข้า ม. ปลายกันแล้วไง จิโฮะน่ะ จะเข้าที่บุโดงะโอกะใช่ไหมล่ะ? แต่ฉันคงไม่ล่ะ”
“หา? นี่เธอไม่คิดจะเรียนต่อ ม.ปลายเหรอ?”
“โทษทีนะ แต่ฉันไม่คิดจะไปเข้าโรงเรียนที่มีแต่นักเลงหัวไม้แบบที่นั่นหรอก ฉันจะไปสอบเข้าที่เรียนที่คะแนนเฉลี่ยสูงกว่านั้นน่ะ”
จิโฮะเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เมื่อถามรายละเอียด เพื่อนสาวก็บอกเริ่มอธิบายว่า เธอวางแผนเข้าโรงเรียนสตรีล้วนในเมือง S และตระเตรียมการล่วงหน้ากับอนาคตของตน ในการจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเพื่อเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังหลังจบ ม. ปลาย เป้าหมายของเธอคือการทำงานเป็นล่ามแปลภาษาให้กับพวกดาราฮอลลิวู้ด
“จิโฮะเองก็เหอะ อยากทำงานอะไรในอนาคตล่ะ?”
เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องทำนองนี้เลย
ในตอนที่พวกเธอออกจากร้านอาหาร เวลาก็มืดแล้ว มีเพียงแสงไฟจากห้างคาเมะยูส่องสลัวในท้องฟ้ายามค่ำ ด้วยความที่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เหมือนที่เห็นให้หนังอเมริกัน ทางห้างจึงต้องใช้ไฟแบบที่เห็นในสนามเบสบอล ในการสาดแสงให้ความสว่างทั่วลานจอดรถขนาดใหญ่
“ไปคาเมะยูไหม?”
จิโฮะเอ่ยถาม
“เอาสิ”
พวกเธอเดินผ่านที่จอดรถเข้าไปในห้าง จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีของอะไรที่อยากซื้อ แค่ไม่อยากรีบลาจากกันไป ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยในระหว่างเดินดูของไปเรื่อย ๆ และเมื่อเดินผ่านแผนกเครื่องสำอางค์ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
“ลองซื้อไอ้นั่นกันดีกว่า”
จิโฮะเลือกซื้อเครื่องสำอางค์พื้นฐานแบบที่ถูกที่สุด รู้สึกอายหน่อย ๆ ตอนเดินไปจ่ายเงิน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคิดจะลองซื้ออะไรแบบนี้ ไม่ต่างจากเพื่อนของเธอที่ออกอาการประหม่าไม่น้อย จากนั้นทั้งสองก็มาพักที่ม้านั่งภายนอกห้าง
สายลมฤดูใบไม้ร่วงโชยเอื่อย แสงไฟจากตู้ขายของอัตโนมัติล่อแมลงสองสามตัวให้บินเข้าหา พวกเธอลองใช้ของที่ซื้อมาแต่งหน้าของตน หลังจากลองมองดูตัวเองในกระจก ก็ให้รู้สึกว่าตนนั้นดูงดงามขึ้นเล็กน้อย
จิโฮะบอกลาเพื่อนและเดินทางกลับถึงบ้าน ภายในนั้นเงียบงันอย่างน่าขนลุก บริเวณโต๊ะกินข้าวไม่ได้เปิดทีวีไว้ พ่อและแม่ของเธอนั่งหันหน้าเข้าหากัน ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะพูดคุยเรื่องนี้มาซักพัก แต่เธอก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ตรง ๆ เป็นครั้งแรก อันที่จริงบรรยากาศในบ้านก็ชวนให้รู้สึกแบบนั้นมานานแล้ว ดังนั้นเรื่องที่พ่อแม่ตัดสินใจจะหย่าร้างกันนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตกใจแต่อย่างใด
ระหว่างที่เธอนอนราบอยู่บนเตียงนั้นเอง เสียงเคาะห้องดังขึ้น เมื่อตอบรับ ก็พบว่าแม่เดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงในขณะที่จิโฮะยังคงนอนอยู่
แม่ลูบแก้มของจิโฮะด้วยปลายนิ้ว เมื่อเห็นแม่มองดูสิ่งที่ติดมากับมือ ความรู้สึกผิดเกาะกินจิตใจของเธอขึ้นมาทันที
“หนูลองแต่งหน้าเป็นครั้งแรกน่ะค่ะ กับเพื่อนบนมานั่งที่ห้าง”
“ล้างออกด้วยครีมล้างหน้าดีกว่านะ เดี๋ยวมันระคายเคืองผิว”
เธอเดินตามแม่ไปที่ห้องน้ำ แม่ยื่นครีมมาให้เพื่อล้างเครื่องสำอางค์ออก แล้วยืนมองเธออยู่ทางด้านหลังตลอดเวลาที่จิโฮะล้างหน้า
คืนนั้นเธอข่มตานอนหลับไม่ลงแม้เวลาจะล่วงจนดึกมากแล้วก็ตาม หนังสือที่พยายามอ่านยังคงเปิดอยู่ แต่ความคิดฟุ้งซ่านมากมายก็ยังคงตีกันอยู่ในสมองจนอ่านไม่เข้าหัว ในที่สุดก็รวบรวมสมาธิปรับอารมณ์เสียใหม่ แล้วจึงตัดสินใจเปิดสมุดโน้ตขึ้นเขียนไดอารี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอลองเขียนอะไรแบบนี้ แต่เธอพยายามเขียนระบายความคิดทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เธอพบเจอและได้ยินได้ฟังมาในวันนี้ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อชีวิต
แฟน… อนาคต… แต่งหน้า… หย่า….
ช่วงที่เธอยกปากกาขึ้นจากสมุด ท้องฟ้าข้างนอกก็สว่างแล้ว ครั้นมองดูนาฬิกาก็ให้ตกใจว่าได้ผ่านไปหลายชั่วโมงราวกับมีคนลบช่วงเวลาทิ้งไป และเมื่อก้มมองสิ่งที่เขียนไว้ ก็พบว่าใช้สมุดโน้ตหมดไปทั้งเล่มเลยทีเดียว รู้สึกทึ่งกับตัวเองที่เขียนได้ลื่นไหลขนาดนี้ ด้วยความที่เป็นคนเรียนเก่งด้านวิชาภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้ว การเขียนสิ่งที่คิดไว้จึงเป็นสิ่งที่เธอโปรดปราน แต่เมื่อลองกลับมาอ่านสิ่งที่เขียนไว้อีกครั้ง ก็พบว่าสไตล์การเขียนในนั้น ดูเหมือนนิยายมากกว่าไดอารี่
ก่อนหน้านี้ จิโอะไม่เคยจริงจังกับการเขียน กระนั้นก็ไม่เคยปฏิเสธว่าเคยวาดฝันไว้ว่าอยากเป็นนักเขียนสักครั้ง และนั่นทำให้เธอเริ่มมีภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงสิ่งที่อยากเป็นในอนาคต
ถ้าได้เขียนนวนิยายจนได้รับการตีพิมพ์สู่สาธารณชน มันจะวิเศษขนาดไหนนะ แม้การที่หนังสือซึ่งจิโฮะเขียนจะได้วางอยู่บนชั้นหนังสือนั้น ยังคงห่างไกลจนไม่กล้าฝันถึง แต่ถ้ามันเป็นจริงแล้ว หากครอบครัวที่แตกแยกของเธอได้มองเห็นหนังสือของเธอวางขายในร้านหนังสือ บางที่มันอาจทำให้พวกเธอหวนระลึกถึงวันเวลาที่เคยได้มีความสุขกันอย่างพร้อมหน้าก็เป็นได้