The Book - ตอนที่ 12 บทที่ 1 องค์ 5 (3)
“สงสารเด็กคนนั้น ขอร้องล่ะ ช่วยที เขายังไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เขาด้วยซ้ำ”
วันหนึ่งเขาได้ยินเจ้าหน้าที่สถานรับเลี้ยงดังขึ้นมาจากโถงทางเดิน ฟังดูเหมือนกับกำลังคุยกับหมอหรือพยาบาล ในช่วงนั้นทาคุมะดื่มยาและจิตใจกำลังนิ่งอยู่ เมื่อมาลองตรองดูแล้ว เขาเองก็มีพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ? จนถึงปัจจุบัน เคยนึกอยู่แต่ว่า อยู่ดี ๆ เขาก็เกิดขึ้นมาบนโลกจากอากาศธาตุ แต่พอมาคิดพิจารณาดูแล้ว เขาก็เป็นเหมือนกับเด็กทั่วโลกนี้ คือเป็นลูกของใครซักคู่หนึ่ง
น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ทันใดนั้นเองที่มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างหมอน
มันเป็นหนังสือปกแข็งขนาดเท่ากับหนังสือการ์ตูนรวมเล่ม ปกสีน้ำตาลเข้มห่อด้วยหนังซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนมากมายทั้งเล็กและใหญ่เหมือนโดนกรีดด้วยมีด เพียงแค่มองดูก็ให้รู้สึกเจ็บแทน เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครเอามาวางไว้ข้างหมอนตั้งแต่เมื่อไหร่ แน่ใจว่าเมื่อนาทีก่อนยังไม่มีอะไรอยู่ตรงนี้ และก็ไม่มีใครเดินเข้ามาด้วย
ทาคุมะลองหยิบหนังสือขึ้นมาดู พอนิ้วได้สัมผัสปกของหนังสือ ก็รู้สึกถึงไออุ่นเหมือนกำลังสัมผัสเนื้อหนังของคน และเมื่อลองวางบนอุ้งมือ ประสาทรับรู้ก็บอกว่าหนังสือเล่มนี้กำลังหายใจอยู่ มันทั้งนิ่มและถือได้อย่างถนัดถนี่เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ามือ จนคิดว่าถ้ามีหนังสือที่ห่อปกด้วยหนังมนุษย์ก็คงจะมีสัมผัสแบบนี้แน่นอน
บนหน้าปกไม่มีชื่อเรื่องหรือผู้แต่งบอกไว้ แต่ความรู้สึกประหลาดประการหนึ่งก็คือ เหมือนเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว ทว่าพอลองไล่ความทรงจำทั้งหมดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาดูแล้ว ก็ไม่พบหนังสือปกน้ำตาลเล่มนี้ในสมองเลย
ขณะกำลังจะเปิดหนังสือขึ้นอ่าน ก็มีพยาบาลคนหนึ่งเข้ามาในห้องเพื่อเปลี่ยนผ้าพันแผลที่แขนของเขา พยาบาลรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่เห็นทาคุมะดูท่าทางสงบเสงี่ยมในวันนี้ หลังจากที่เปลี่ยนผ้าพันแผลเสร็จ พยาบาลก็ออกจากห้องไป ทาคุมะหันกลับไปหาหนังสือเพื่อจะลองเปิดอ่านดูอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะลองหาที่หมอนหรือใต้เตียง เขาก็ไม่พบหนังสือเล่มนั้นอีกเลย
ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวขึ้นของหนังสือเล่มนั้นส่งผลกับการฟื้นตัวของทาคุมะไม่น้อย ตัวเขาเองไม่รู้ว่าทำไม แต่หลังจากวันนั้น อาการความทรงจำที่ไม่พึงประสงค์ก็หยุดแทรกเข้ามาในหัวสมอง ทาคุมะออกจากโรงพยาบาลและกลับไปใช้ชีวิตที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้อีกครั้งหนึ่ง
ครั้งที่สองซึ่งทาคุมะได้พบเจอหนังสือปกหนังเล่มนั้น ก็คือคืนวันที่เขากลับมาสถานรับเลี้ยงนั่นเอง หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล เขาได้ถูกจัดให้ไปอยู่ในห้องเดี่ยวเพื่อป้องกันปัญหา กลางดึกคืนนั้นระหว่างที่กำลังจะหลับอยู่ในเบาะนอน ความทรงจำในอดีตก็กลับมาหลอกหลอนเขา ข้อมูลที่ทับถมกันเริ่มจะพัวพันสับสนในสมองอีกครั้ง แต่ทันใดที่เขากำลังจะจิกเล็บข่วนแขนนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียง “ตุ้บ” เหมือนกับมีอะไรบางอย่างตกลงมาจากเบื้องบน
ยามที่เขาลุกขึ้นมาจากที่นอน หนังสือปกหนังเล่มนั้นก็วางอยู่ข้าง ๆ
ไม่น่าจะมีคนเปิดห้องเข้ามาแล้วเอามาโยนไว้ แต่เหมือนอยู่ ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นมาเอง
น่าแปลกที่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล มันดูท่าทางทรุดโทรมมาก แต่หนังสือในตอนนี้กลับมีเพียงรอยขีดข่วนตื้น ๆ อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันไม่ใช่หนังสือคนละเล่ม ด้วยเหตุผลกลใดที่อธิบายไม่ได้ แต่ทาคุมะก็แน่ใจว่ามันคือหนังสือเล่มเดียวกับที่เขาเห็นที่โรงพยาบาลแน่นอน ที่ประหลาดก็คือ สภาพของมันดูราวกับสภาพของตัวเขาเอง ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล เขาเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ตอนนี้ที่หลงเหลืออยู่ก็แค่รอยแผลเป็นเท่านั้น
คะเนด้วยสายตา น่าจะมีความหนาราว ๆ 380 หน้า น้ำหนักพอดีให้ถือได้อย่างสบายมือ ตัวหนังสือเริ่มอ่านจากด้านขวา เมื่อลองเปิดออกกลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี พอลองดูเนื้อหาก็พบหน้าว่างเปล่าหลายหน้า หลังจากนั้นก็พบตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นเรียงกันในแนวตั้ง
เนื้อหาเต็มไปด้วยร้อยแก้วและคำอุปมาอุปมัย คำบรรยายมืดมิดที่เรียงร้อยไม่รู้จบไปทั่วทั้งหน้ากระดาษ ทุกหน้าเต็มไปด้วยอักษรขนาดเล็กอัดแน่นกันราวกับอยู่ในรังมด เมื่อลองมองดูใกล้ ๆ ก็เห็นตัวมดเหล่านั้นกำลังสั่นไหวอยู่ รู้สึกเหมือนสติสัมปชัญญะร่วงหล่นจากหัว แล้วตกลงไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่บนบทบรรยายที่แสนหดหู่นั่น ความมืดมิดที่เข้มข้นราวกับมีตัวตนในโลกความเป็นจริง จนทาคุมะทนอ่านต่อไปไม่ไหวอ่าน หนังสือเหมือนเป็นนวนิยายที่คนแต่งดูจะสติไม่ปกติสักเท่าใดนัก
เขาหวาดกลัว รู้สึกเหมือนอยากเขวี้ยงหนังสือเล่มนี้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ จึงแอบออกมาในกลางดึกคืนนั้น เดินไปที่สะพานแล้วทิ้งหนังสือลงน้ำ อีกทั้งยืนมองพรายฟองซึ่งผุดขึ้นมาจากก้นแม่น้ำเพื่อให้แน่ใจว่ามันจมลงไปแล้วจริง ๆ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็พบหนังสือกลับมาอยู่ข้าง ๆ ที่นอนนั่นเอง ในระหว่างไปจากโรงเรียน เขาลองโยนมันลงมาจากสะพานลอยลงบนหลังรถบรรทุก จ้องตามเพื่อยืนยันว่าหนังสือสีน้ำตาลเล่มนั้นถูกพาไปจนลับตาแล้ว แต่เมื่อเปิดลิ้นชักของโต๊ะเรียน หนังสือก็อยู่ในนั้นราวกับกำลังรอเขาอยู่
ทาคุมะลองใช้ชีวิตโดยทำเป็นไม่สนใจหนังสือเล่มนั้น แต่มันก็โผล่เขามาในทุก ๆ ที่ที่เขาไป ในห้องตรวจอาการในโรงพยาบาล มันจะวางอยู่บนโต๊ะของแพทย์ ในห้องสมุดของโรงเรียน ก็จะอยู่รวมกับหนังสือในมุมหนังสือใหม่ ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ ทุกคนดูจะมองไม่เห็นเจ้าหนังสือเล่มนี้เลย เหมือนกับมีเขาคนเดียวที่เห็นมัน เมื่อเขาลองวางหนังสือปกหนังนี่บนพื้น ทุกคนไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์ เพื่อนร่วมห้อง หรือพนักงานภารโรงก็เดินผ่านเหมือนไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น
เหมือนเป็นภาพลวงตาซึ่งมีแต่เขาที่มองเห็น เขาเป็นคนเดียวที่หนังสือมีตัวตนจับต้องได้ เมื่อลองเอามาจ่อใกล้จมูกก็ยังมีกลิ่นเหมือนหนังสือเก่า นี่ประสาททั้งหมดของเขากำลังเพี้ยนไปหมดแล้วหรือไงกัน?
วันหนึ่ง ทาคุมะทดลองสังเกตการณ์หนังสือเล่มนี้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาลองวางหนังสือเล่มนี้บนโต๊ะข้างหน้าต่างก็พบว่ามันมีเงาทอดลงมา ลองเขย่าโต๊ะตัวหนังสือก็สั่นไหวตาม ลองใช้นิ้วดันหนังสือก็รู้สึกว่ากำลังดันของแข็งอยู่ ลองใช้ดินสอเคาะดูก็มีเสียงดังก๊อก ๆ ครั้นเมื่อลองปล่อยดินสอให้ตกลงบนหนังสือ ดินสอก็กลิ้งหยุดอยู่บนปกหนังสือ ถ้ามันเป็นแค่ภาพลวงตา ดินสอน่าจะต้องตกทะลุแล้วกลิ้งผ่านตัวหนังสือไปสิ
ถึงจะยังกลัวอยู่บ้าง แต่ทาคุมะก็ทำใจแข็งเปิดหนังสือออกอ่านอีกครั้งหนึ่ง ตอนต้นของหนังสือเริ่มด้วยบทบรรยายแสนมืดมิดชวนให้รู้สึกหดหู่ใจ แต่เมื่อข้ามไปจนถึงหน้าที่ 50 พอลองอ่านบางบรรทัดดู ก็พบว่าบทบรรยายเขียนในรูปแบบนิยายมุมมองบุคคลที่หนึ่ง แม้ยังน่าขนลุกเหมือนที่คิดไว้ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่เขาจดจำได้
…คืนหนึ่งที่ฉันนั่งลงพูดคุยกับเด็กขี้แย
“ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้ล่ะ?”
เด็กขี้แยไม่ตอบ ได้แต่นอนสะอึกสะอื้นต่อไป ฉันโอบกอดศีรษะของเด็กน้อยเอาไว้ และพบรอยช้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณกลางหลัง เด็กขี้แยใช้แขนเสื้อที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตาขึ้นเช็ดหน้า
“นี่ ฉันจะเล่าอะไรสนุก ๆ ให้ฟัง เอามะ? ไม่ต้องร้องแล้ว”
ในชั่วขณะที่เขามองตัวหนังสือนั่นเอง ภาพความทรงจำ กลิ่น บรรยากาศ ทุกสิ่งย้อนภาพกลับเข้ามาในหัว มันคือประสบการณ์ของเขาเองที่อยู่ในตัวหนังสือ ตัวข้อความนั้นเรียบง่าย เพียงแค่กวาดตามองก็เข้าใจได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ภาพลวงของความรู้สึก ณ วันเวลานั้น ก็กลับมาอีกครั้ง ตัวหนังสือ “ทาคุมะ” ปรากฏอยู่ทุกที่ที่บุคคลที่สามกล่าวถึงตัวละครบุคคลที่หนึ่ง ยิ่งเปิดอ่านบทอื่น ๆ มากขึ้น ทาคุมะก็เริ่มแน่ใจ
ข้อความในหนังสือ ก็คือความทรงจำของเขาในรูปแบบนวนิยายบุคคลที่หนึ่ง อดีตที่เขาเคยผ่านพ้นมาทุกอย่างถูกเปลี่ยนให้เป็นตัวอักษร และเก็บรวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้