The Book - ตอนที่ 5 บทที่ 1 องค์ 2
ก่อนหน้านี้โมริโอยังคงเป็นแค่เมืองชนบทที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่นาข้าวและสวนผัก ในขณะที่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือก็เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในช่วงฤดูร้อนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ในปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวก็ยังคงมีเรือนพักแรมของซามูไรเหลือให้เห็นอยู่บ้าง
อย่างไรก็ดี ฮิราอิ อาคาริ ไม่ได้มีความสนใจในประวัติศาสตร์ของบ้านเกิดแต่อย่างใด เรื่องราวของเรือนซามูไรก็ไม่ต่างจากเรื่องที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ในทางกลับกัน สมัยเด็กเธอรู้สึกอับอายเหลือเกิน เมื่อต้องพูดถึงเมืองบ้านนอกคอกนาเช่นที่นี่ ดังนั้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เธอจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องย้ายเข้าเมืองใหญ่และใช้ชีวิตอย่างหรูหราดังเช่นที่เห็นในละครโทรทัศน์ ในขณะเดียวกันภาพลักษณ์เกษตรกรของพ่อแม่ ยิ่งทำให้เธอหวาดหวั่นว่า สุดท้ายเธอก็จะต้องเน่าตายอยู่ในบ้านนอกเหมือนอย่างพวกท่าน แค่นึกถึงมือตนเองที่จะต้องกลายเป็นเหมือนของมารดาซึ่งแห้งแข็งและเต็มไปด้วยรอยแตก เธอก็แทบทนไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของการที่ต้องตากแดดตากลมปักกล้าข้าวในตอนตอนกลางวัน หรือแหกขี้ตาตื่นมาออกตรวจระดับน้ำในท้องร่องยามค่ำคืน
หลังจากจบมัธยมปลาย เธอเข้าศึกษาต่อในระดับอนุปริญญาในเมืองทันที แต่สุดท้ายแล้วก็หางานทำไม่ได้ จึงต้องจำใจกลับมาที่โมริโอ แต่แค่ช่วงเวลาแค่สั้น ๆ ที่จากเมืองไป เธอกลับประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นถึงความเจริญของเมือง โมริโอเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ ช่วงเวลานั้นหลายต่อหลายที่ของญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงสร้างบ้านแปลงเมืองให้ทันสมัยขึ้น เช่นเดียวกับเมือง S จังหวัด M ที่ติดกับโมริโอ ซึ่งองค์กรบริษัทใหญ่โตหลายแห่งต่างรุกคืบเข้ามาทำธุรกิจในเมือง ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาจับจองพื้นที่อยู่อาศัยในบริเวณข้างเคียง จึงทำให้โมริโอได้รับอานิสงส์ไปด้วย ประชากรในเมืองที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทางจังหวัด M ยอมทุ่มงบประมาณก้อนโตในการพัฒนาเมือง ด้วยคาดหวังผลตอบแทนจากการปรับปรุงย่านการค้าคาเมะยู ไปเป็นช็อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ บ้านเรือนงดงามต่างเรียงรายเข้าแทนที่นาข้าว สายไฟฟ้าถูกฝังลงดิน ตลอดจนเสาโทรศัพท์ที่รบกวนทัศนียภาพของเมืองก็หายไปจนเกือบหมด
อาคาริตัดสินใจกลับมาทำงานในโมริโอ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่การกลับไปใช้ชีวิตลำบากลำบนกับครอบครัว เธอเข้าอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นต์ห้องเดี่ยวหน้าสถานีรถไฟ สัมภาษณ์งานกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และได้งานในตำแหน่งพนักงานธุรการ โดยบริษัททำธุรกิจด้านการวางแผน ก่อสร้าง และซื้อขายอาคารบ้านเรือน ดูเหมือนว่าพนักงานที่มีความรู้นั้น มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ในยามที่โมริโอกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ โดยระหว่างที่ทำงานด้านเอกสารอยู่ที่นี่ อาคาริก็พบรักกับสถาปนิกหนุ่ม ผู้ซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน
โองามิ เทรุฮิโกะ รับผิดชอบด้านการวางแผนพัฒนาอพาร์ทเม้นต์และโรงแรม เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ทว่าไม่ค่อยชอบที่จะสังสรรค์กับพนักงานคนอื่นมากมายนัก หรือถ้าไป ก็มักจะนั่งอยู่มุมห้องเงียบ ๆ คนเดียว กระนั้นหากได้สนทนาด้วย ก็จะพบว่าเขาเป็นคนมีบุคลิกที่สงบนิ่ง อ่อนโยน และหลักแหลมไม่น้อย เป็นคนประเภทที่ว่า ขอใช้เวลาว่างในการนั่งเขียนแบบไปเงียบ ๆ ตามลำพัง ดีกว่าจะไปสุงสิงกับคนกลุ่มใหญ่ เขาไม่ค่อยได้สนทนาใด ๆ เลยกับคนในบริษัท จึงแทบไม่มีใครนอกจากอาคาริ ที่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว เขาก็เป็นคนที่มีอารมณ์ขันมากมายใช่เล่น
กระทั่งทริปที่พวกเขาได้ไปเที่ยวยุโรปด้วยกัน เธอจึงได้เห็นอีกด้านที่ซ่อนอยู่ของชายหนุ่ม ช่วงเวลาอาทิตย์อัศดงบนยอดเขา ทั้งสองคนยืนชมวิวของเมืองอันเก่าแก่ แว่วเสียงระฆังโบสถ์กังวาลไปทั่ว เขากล่าวกับเธอ
“ดูใบหน้าของเด็กที่กำลังวิ่งเล่นพวกนั้นสิ มองแค่แว้บเดียวก็เห็นเลยว่า หินบนถนนและอาคารบ้านเรือนของเมืองนี้ ได้รับความรักที่ก้าวข้ามกาลเวลาแม้นานขนาดไหน นี่แหละเป็นเมืองแบบที่ผมอยากสร้างมันขึ้นมา ถึงจะเป็นแค่สถาปนิกกระจอก ๆ คนนึง แต่พอได้เห็นอาคารที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ให้รู้สึกเลยว่างานของผมมันมีผลต่อการเจริญเติบโตของเมืองขึ้นมาจริง ๆ มองแล้วก็ให้นึกถึงเด็กรุ่นใหม่ในอนาคตของโมริโอ ประชากรขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เด็กก็เกิดเยอะขึ้น ผมอยากสร้างเมืองที่เด็กพวกนั้นจะเติบโต และยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจกับเมืองของพวกเขา”
แต่แล้วในวันหนึ่ง ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมปี 1981 โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของอาคาริก็ดังขึ้น
“ขอสายคุณฮิราอิ อาคาริ หน่อยค่ะ”
เป็นเสียงของผู้หญิง
“ค่ะ เรียนสายอยู่ค่ะ”
“คุณอาคาริใช่ไหมคะ? คือ… มีบางอย่างที่ฉันอยากจะขอคุยด้วยซักหน่อย เรื่องเกี่ยวกับคุณโองามิ น่ะค่ะ”
บทสนทนาจากเสียงผู้หญิงปลายสาย บอกเล่าเรื่องราวที่น่าตกตะลึง
“กรุณาค้นห้องเขาด้วยค่ะ มันน่าจะมีแบบก่อสร้างที่ผิดกฏหมายอยู่ในนั้น เขาแอบไปทำสัญญาลับหลังบริษัทของคุณในการลดสเป๊ควัสดุก่อสร้างให้ถูกที่สุด ถึงขนาดใช้วัสดุเกรดต่ำที่จะพังเสียหายทันทีที่แผ่นดินไหว คุณอาจสงสัยว่าฉันเป็นใครใช้ไหมคะ? ฉันเป็นคนรักของเขาค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นคนที่เท่าไหร่เหมือนกัน เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นแล้ว ฉันชื่อ โอริคาสะ ฮานาเอะ ค่ะ คันจิเขียนด้วยตัวอักษร ‘ถักทอ’ แบบมีตัว ‘เล็ก’ ประกอบข้าง ‘หมวกไม้ไผ่’ แบบมี ‘ไม้ไผ่’ ประกอบบน คันจิ ‘ดอกไม้’ มี ‘หญ้า’ ประกอบบน และอักษร ‘ประเสริฐ’ เป็น ‘โอริคาสะ ฮานาเอะ’ ค่ะ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อที่ฉันพูด จะลองไปถามเขาโดยตรงก็ได้นะคะ”
จากนั้นสายก็ตัดไป
อาคาริแสร้งทำเป็นลุกจากโต๊ะมาเข้าห้องน้ำ แล้วจึงแอบออกจากบริษัทตรงไปยังบ้านของเขา เธอเข้าไปข้างในโดยใช้กุญแจสำรองที่เขาเคยให้ไว้ แต่กระนั้นก็ค้นไม่พบเอกสารใด ๆ ที่ส่อถึงเจตนาในการทุจริตเลย กระทั่งเธอไปพบกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งซ่อนอยู่บนเพดาน ในนั้นบรรจุปึกธนบัตรใบละหนึ่งหมื่นเยนอยู่มากมาย ถึงจะไม่รู้แน่นอนว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่ดูแล้วก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 50 ล้านเยนแน่นอน สิ่งที่ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า โอริคาสะ ฮานาเอะ พูดมานั้น ดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันที อาคาริตัดสินใจนำกระเป๋าบรรจุเงินใบนั้นมาเก็บไว้ แล้วจึงโทรศัพท์หาเขาที่ไซต์งาน
“ฉันไม่รู้เบอร์อะไรนะ แต่วันนี้ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าแฟนของเธอโทรมาหาฉันน่ะ”
“ถ้าเชื่อเรื่องหลอกเด็กแบบนั้น ก็ไม่ไหวนา”
“ก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อนะ แต่แค่สงสัยว่าทำไม คนที่ชื่อ โอริคาสะ ฮานาเอะ ถึงโทรมาหาฉันด้วย?”
“อยากมาเจอหน้ากัน แล้วคุยเรื่องนี้ไหม?”
“ได้สิ ฉันจะรอเธอที่ดาดฟ้าบริษัทตอนหกโมงเย็นแล้วกัน”
กว่าจะถึงเวลานัด บรรยากาศก็เกือบมืดสนิทจากเมฆค่อนข้างหนาเต็มท้องฟ้า พนักงานในอาคารกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ส่งให้รอบข้างยิ่งเงียบงัน
อาคาริยืนพิงรั้วดาดฟ้าซึ่งสูงประมาณเอวในระหว่างที่รอ ฝนเริ่มตกปรอย ๆ จนเธอต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหยาดน้ำฝน แต่ทันใดนั้นก็มีกระแสลมกระโชกพัดผ้าเช็ดหน้าจนหลุดจากมือร่วงหล่นไปในบริเวณพื้นที่รอยต่อระหว่างอาคารบริษัทและตึกที่อยู่ข้างเคียง
6 นาฬิกาตรง โองามิ เทรุฮิโกะ ก็มาพบตามเวลานัด เธอต้องการทราบความจริงทั้งหมด ต้องการรู้ว่าถ้อยคำที่พวกเขาเคยพูดคุยกันนั้นเท็จจริงประการใด
แต่สุดท้าย การพูดคุยก็ไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจากก่อนที่เธอจะได้เปิดปาก โองามิ เทรุฮิโกะ ก็ตรงเข้าบีบคอเธอ
หยดน้ำตกลงมาปะทะใบหน้า ส่งให้ ฮิราอิ อาคาริ ตื่นขึ้นมาจากการสลบไสล เธอพยายามมองไปรอบ ๆ แผ่นหลังปวดร้าวราวกับโดนแท่งเหล็กเสียบอยู่ ในระหว่างที่กำลังเรียกสติอยู่ว่าตัวเองหลับไปนานขนาดไหนแล้ว ลำคอก็รู้สึกเสียววูบจนลมหายใจขาดห้วง ทุกครั้งที่พยายามหายใจ ก็รู้ติดขัดและเหนื่อยหอบขึ้นมาทันที
อาคารินอนอยู่บนพื้นโคลนเปียก ๆ เลอะเทอะไปทั้งเสื้อผ้าหน้าผม รอบข้างมืดมิด มีเพียงลังกระดาษและกระป๋องเปล่าตกอยู่รอบ ๆ เท่านั้น หลังจากที่พยายามจ้องมองอยู่นาน เธอก็รู้ตัวว่ากำลังอยู่ที่ใด ด้านข้างทั้งสองของอาคาริเป็นกำแพงที่สูงจนมองแทบไม่เห็นด้านบน ค่อนข้างแคบขนาดที่ยืดแขนออกไปได้ไม่สุด ข้าง ๆ ตัวนั้น มีของที่เธอรู้จักดี มันคือผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งโดนลมพัดหลุดมือไปนั่นเอง
ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ตรงกลางระหว่างอาคารสองหลัง หลังหนึ่งเป็นอาคารบริษัทที่เธอและโองามิ เทรุฮิโกะ ทำงานอยู่ เนื่องจากเมื่อมองขึ้นไปด้านบน เธอยังเห็นรั้วดาดฟ้าที่เคยพิงอยู่ก่อนหน้านี้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็คืออาคารสำนักงานให้เช่าที่อยู่ข้าง ๆ กัน
กำแพงอาคารทั้งสองฝั่งตั้งตรงสูงขนานกันไป โดยมีช่องเปิดเล็ก ๆ เห็นเมฆฝนอยู่ด้านบน รอบด้านที่ว่างเล็ก ๆ นี้ตั้งตรงดิ่งราวกับวาดด้วยไม้บรรทัด คราบน้ำฝนที่ไหลย้อยลงมาก็ทำให้กำแพงเปียกทั่วทั้งแผ่น
อาคาริคิดว่า เธอคงถูกผลักจนตกลงมาจากดาดฟ้า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่? ยิ่งคิดมากทำไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกสับสนมึนงงขึ้นมา บางทีอาจเพราะเธอตกลงบนพื้นดินโคลนที่เปียกและนิ่มจึงช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ หรือจะเป็นพวกลังกระดาษกับกระป๋องพวกนี้ที่รองรับร่างของเธอไว้
เธอไม่เห็นว่าเขายังอยู่ บางทีเขาอาจจะหนีไปโดยนึกว่าเธอตายไปแล้วก็ได้
ถึงจะเจ็บไปทั่วทั้งร่างกาย เธอก็ฝืนตัวลุกขึ้นยืน ใช้นิ้วลูบไปตามเรือนผมเพื่อปัดเอาเศษโคลนก้อนใหญ่ลงบนพื้น พยายามใช้มือไล่ไปตามกำแพงเพื่อคลำทางในความมืด
เธอเดินเลียบกำแพงอยู่นาน กระทั่งพบเจอสิ่งที่ขวางหน้า มันคือแนวท่อหลายแนวที่พันคดเคี้ยวไปมาราวกับต้นไม้ในป่าทึบ ขัดขวางไม่ให้อาคาริเดินต่อไปได้ เธอพยายามยื่นแขนลอดเข้าไปในแนวท่อเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากคนที่อาจอยู่ด้านนอก แต่หลังแนวท่อก็ยังคงมีจุดวางเครื่องปรับอากาศซึ่งล้อมอยู่อย่างแน่นหนาจนเธอมองออกไปข้างนอกไม่เห็น ขวางไว้อีกชั้น
อาคาริพยายามตะโกนไปยังฝั่งตรงข้าม
“ช่วยด้วย!”
ช่องว่างระหว่างอาคารสว่างวาบ ฟ้าฝ่าดังสนั่นหวั่นไหวราวกับจะฉีกทุกสิ่งเป็นเสี่ยง ๆ
ไม่มีวี่แว่วว่าจะมีคนได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของอาคาริ เธอเพิ่งรู้ตัวว่านี่คือช่วงหลังเลิกงาน ผู้คนจึงน่าจะออกจากอาคารไปจนหมดแล้ว ถนนก็ไม่น่าจะมีใครเช่นกัน
เธอพยายามเดินกลับไปทางอาคารเพื่อหาทางออกจากอีกฝั่ง แต่ก็พบว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีกำแพงของอีกอาคารขวางทาง มันเป็นอาคารธนาคารด้านหน้าสถานีรถไฟซึ่งปิดทางเธอเอาไว้ ด้านข้างก็สร้างใกล้ซะจนแทบจะชิดกัน มีเพียงช่องแคบ ๆ กว้างราว ๆ 15 เซนติเมตรเท่านั้นเอง แน่นอนว่าไม่มีทางผ่านเข้าไปเพื่อจะออกทางด้านหลังได้
อาคาริพยายามปลอบตัวเองว่า ไม่เป็นไรน่า ไม่ใช่ว่าไปติดเกาะร้างไม่มีผู้มีคนซะเมื่อไหร่กัน แต่นี่ติดอยู่กลางเมืองเลย ถ้าขอความช่วยเหลือไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็มีคนได้ยินเองแหละ
หยาดฝนหล่นลงมาเปียกแก้ม ชะเอาดินโคลนไหลเข้าปากเข้าตา เธอร้องขอความช่วยเหลือ จนลืมแม้กระทั่งจะเช็ดโคลนจากหน้า แต่แม้เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา สิ่งที่เธอได้ยินมีเพียงเสียงของฟ้าคำรามและสายฝนเท่านั้น
ถ้ารอจนถึงเช้า แน่นอนว่าจะต้องมีพนักงานมากมายด้านนอก นั่นแหละคือโอกาสของเธอ อาคาริเพียงแค่ต้องผ่านคืนนี้ไปให้ได้ ต้องมีใครได้ยินเสียงเธอหรือเห็นเธอจากดาดฟ้า และทันทีที่ได้รับความช่วยเหลือ เธอก็จะแจ้งตำรวจแน่นอน
แต่จะว่าไป ทำไมถึงมีโทรศัพท์แบบนั้นมาหาเธอกันนะ? อาคาริ จำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเรียกตัวเองว่า โอริคาสะ ฮานาเอะ อ้างตัวเองว่าเป็นหนึ่งในคนรักที่มีอยู่มากมายของหมอนั่น
ถ้าตอนนั้นอาคาริไม่รับโทรศัพท์ก็คงไม่ต้องมาพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ จริง ๆ แล้ว อาคาริไม่แน่ใจเสียแล้วว่า ระหว่างการค้นพบความจริงแล้วต้องมาเจอเรื่องอับโชคแบบนี้ กับการแสร้งไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วใช้ชีวิตอย่างสุขใจ แบบไหนจะดีกว่ากันกันแน่
อาคาริขดตัวลงและพยายามจะนอนหลับ แม้อาการปวดที่หลังจะทุเลาลงบ้างแล้ว แต่ทั่วทั้งตัวหนาวสั่น ยามเมื่อหลับตาลง ความคิดถึงพ่อแม่ก็แล่นเข้ามาในหัวสมอง
เหมือนตอนนั้นเลย
ช่วงที่เธอเข้าเรียนอนุปริญญา เมื่อครั้งแรกที่เธอเข้าเมืองใหญ่และอยู่ตัวคนเดียว คืนแรก เธอล้มตัวลงนอนในห้องที่เกือบไร้ซึ่งเครื่องเรือนใด ๆ รู้สึกเหมือนเดินทางมาจนสุดขอบโลก ว้าวุ่นจนนอนไม่หลับ แม้จะมีคนอยู่มากมายในเมือง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอมีตัวตนอยู่ รู้สึกตัวอีกทีก็นึกถึงหน้าของพ่อแม่ พร้อมทั้งพยายามข่มกลั้นความวิตกกังวล ผู้ซึ่งรู้ว่าเธอมีตัวตนอยู่ในห้องนี้ กลับเป็นพ่อและแม่ซึ่งอยู่ห่างออกไปในชนบท อาคาริแน่ใจว่าพวกท่านก็ต้องคิดถึงเธออยู่เช่นกัน
“น่าจะขอบคุณโชคชะตานะ ที่ตกจากที่สูงขนาดนี้แล้วยังรอดชีวิตอยู่ได้น่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงดังจากด้านบน เธอก็ลืมตาขึ้น แสงจากไฟฉายสาดส่องลงมาจากดาดฟ้าอาคาร ช่องว่างสว่างขึ้นจนเห็นเม็ดฝนตกผ่านแสงไฟอยู่ปรอย ๆ
“จริง ๆ ฉันตั้งใจจะฆ่าเธอซะ แต่สงสัยจะกะแรงน้อยไปหน่อยตอนบีบคอเธอ อีบ้า โอริคาสะ เอ๊ย ไม่อยากเชื่อเลยว่า แม่งจะทำอะไรโง่ ๆ อย่างโทรหาเธอ คงหึงจนหน้ามืดตามัวซะละมั้ง ก็เรากำลังไปกันได้สวยเลยใช่ไหมล่ะ อีนั่นถึงต้องมาก่อกวนกันแบบนี้”
มันคือเสียงของชาย ผู้ที่เธอแน่ใจว่าคงจะจำเสียงนี้ได้จนวันตาย