The Book - ตอนที่ 6 บทที่ 1 องค์ 3
“เห็นแว่บแรกก็ตกใจว่าเป็นเลือด แต่มันก็อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้นี่ครับ ใช่ม้า? จะไม่คิดเลยเหรอว่า มันอาจจะเป็นแค่สีทาบ้าน หรือไม่ก็แยมสตอว์เบอรี่อะไรเทือกนั้น หรือต่อให้เป็นเลือดจริง มันก็น่าจะเป็นแบบ เลือดปลาที่ติดมาตอนแมวมันแอบเข้าไปในตลาดอะไรแบบนี้น่ะครับ”
“นี่นายคิดว่าเป็นเลือดปลาจริงดิ? ไม่ใช่แหงอยู่แล้ว เลือดคนชัด ๆ ดูสภาพที่มันแห้งและหนืดขนาดนั้น เจ้าแมวนี่เปื้อนเลือดมาจากที่อื่น อาจจะเป็นว่ามันเข้าไปคลอเคลียกับคนที่ล้มลงเลือดท่วมอยู่ก็ได้”
ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมีแมวที่เปื้อนเลือดท่วมตัวมาอยู่หน้าซันมาร์ทได้? ผมกับคิชิเบะ โรฮังกำลังถกเถียงกันอยู่ในเรื่องนี้
“คนเรามันจะล้มเลือดท่วมกันได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
พวกนักเขียนการ์ตูนนี่จินตนาการล้ำเลิศเป็นบ้าเลย
“ถ้างั้นไปลองสืบหาความจริงกันดีกว่าไหม”
คิชิเบะ โรฮังกล่าว
เจ้าแมวตัวนั้น มีปลอกคอผ้าสีดำคล้องป้ายชื่อรูปหัวใจสีเงินผูกไว้รอบลำคอ ดูเหมือนว่าจะมีชื่อแมวเป็นอักษรคาตากานะพร้อมทั้งเบอร์โทรศัพท์และชื่อเจ้าของตัวเล็ก ๆ สลักไว้บนป้ายชื่อ เราจดข้อความไว้แล้วเดินออกจากบริเวณนั้น ส่วนเรื่องของแมวที่ล้มเกลื่อนกลาดแถวนั้น เดี๋ยวผู้จัดการร้านซันมาร์ทก็คงมาจัดการเอาเองล่ะมั้ง อย่างไรก็ดี ความอยากรู้อยากเห็นของ คิชิเบะ โรฮัง ก็ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ตอนนี้ในหัวคงเต็มไปด้วยความสงสัยว่า ทำไมแมวตัวนั้นถึงได้เปื้อนเลือด (ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าใช่เลือดจริง ๆ หรือเปล่า) ไม่ว่าเจอเรื่องลึกลับเล็กน้อยขนาดไหน ก็ดูจะดึงความสนใจของเขาได้เต็มที่ซะทุกที คงจะคิดว่าเอาไปใช้ในพล็อตเนื้อเรื่องการ์ตูนได้แหง ๆ แต่ก็คงต้องขอบคุณเรื่องนี้จริง ๆ ที่ช่วยชีวิตเจ้าแมวสีเทาที่เข้าไปป่วนห้องทำงานของพี่แกไว้ได้ ลงว่าคิชิเบะ โรฮัง กำลังใจจดใจจ่อกับเรื่องนี้อยู่ คงลืมเรื่องการโทรหาเทศบาลมาจับแมวไปได้สนิทแล้วล่ะ
ในตอนแรก เราพยายามจะโทรหาเบอร์โทรศัพท์ที่สลักไว้บนป้ายชื่อแมว แต่โทรไปก็ไม่มีคนรับสาย เมื่อไม่มีทางเลือก เราจึงใช้ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ในการค้นหาที่อยู่ของเจ้าของเบอร์ หลังจากที่ถามทางจากผู้คนและดูแผนที่อยู่ราว ๆ 15 นาที เราก็มาถึงบ้านซึ่งเป็นเจ้าของแมวในที่สุด ตัวบ้านเป็นสไตล์ฝรั่งประดับด้วยสวน ประตูบ้านมีประตูแมวเล็ก ๆ ติดอยู่ ป้ายชื่อหน้าบ้านก็ตรงกับชื่อที่เขียนอยู่บนปลอกคอแมว น่าจะไม่ผิดหลังแล้วล่ะ
เรากดกริ่งหน้าบ้าน แต่พอเห็นว่าไม่มีใครออกมา คิชิเบะ โรฮังก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปในบริเวณข้างบ้านโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เกล็ดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟ้าของโมริโออีกครั้ง พวกเราเดินเข้าไปในสนามหญ้า เสียงรองเท้าเหยียบเศษใบไม้ร่วงดังกรอบแกรบฟังแล้วก็ให้อารมณ์หม่นหมอง
ครั้นเมื่อเราเดินเลียบกำแพงเข้าไปในสวนนั่นเอง ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่ดันทะลึ่งเดินเข้ามา รู้ดีเลยว่าต่อให้กลับบ้านไปตอนนี้ มีหวังสมาธิกระเจิงจนทำการบ้านเลขไม่ได้แหง ๆ บริเวณบ้านช่างเงียบเชียบ ได้ยินกระทั่งเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกัน
คิชิเบะ โรฮังยกมือขึ้นจับที่คาง ดูหน้าตาหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
เราออกมาจากบริเวณบ้าน ผมสูดลมหายใจลึก ๆ เข้าหลายครั้ง รถยนต์คันหนึ่งพ่นควันขโมงผ่านหน้าพวกเราไปตามถนน ราวกับโลกนี้กลับมาหมุนเหมือนเดิมอีกครั้ง ทำเอารู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ทว่าคิชิเบะ โรฮัง กำลังเดินกลับไปที่สวน
“จะไปไหนน่ะครับ?”
“ฉันจะไปเดินรอบ ๆ บ้านหน่อย นายรออยู่นี่แหละ”
ผมต้องกลั้นอาการคลื่นไส้แทบตาย ระหว่างที่รอเขากลับมา
“ไม่มีหน้าต่างบานไหนเลย ที่ไม่ล็อกอยู่”
เขาพูดระหว่างเดินกลับมาหาผม
“มีแค่ประตูแมวเท่านั้นที่เปิดอยู่ นอกนั้นบ้านนี้แทบจะปิดตาย พอมองผ่านหน้าต่างเข้าไป ก็เห็นกุญแจอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ดังนั้นเลยเชื่อได้เลยว่า ไม่ได้ล็อกจากข้างนอกแน่ ๆ”
“เรียกรถพยาบาลก่อนดีกว่าไหมครับ?”
“ถ้าจะเรียกล่ะก็ เรียกรถตำรวจเหอะ นี่มันไม่ปกติแล้วล่ะ ศพนั่นน่ะ ไม่เหมือนว่ามีอาการบาดเจ็บหรือป่วยไข้เลย ลักษณะการตายก็ดูเฉพาะเจาะจง นายเห็นรอยช้ำที่ต้นขานั่นไหม?”
“ไม่เห็นครับ”
“ตายเนื่องจากตกจากที่สูงงั้นเหรอ? กระโปรงเลิกขึ้นด้านบน บริเวณต้นขาด้านขวามีรอยช้ำ ซึ่งเริ่มเปลี่ยนสีน่าสยดสยอง แถมรูปร่างของรอยช้ำนั่นอีก ดูเหมือนกับ… ไม่สิ เดี๋ยวค่อยคิดดีกว่า เฮ้ย นายอั้นไว้ก่อน! อย่าเพิ่งอ้วกสิว้า! เอาเป็นว่าเราแจ้งตำรวจก่อนดีกว่า”
“ก็นั่นนะสิครับ”
ผมใช้โทรศัพท์โทรแจ้งความทันที
“ฮัลโหล ตำรวจเหรอครับ…? คือ มันอาจจะฟังดูแปลก ๆหน่อย แต่คืองี้ครับ…”
ไม่มีกลิ่นของการเน่า อาจเป็นเพราะอากาศที่เย็นจนกลิ่นไม่สามารถเดินทางได้ไกล แต่กระนั้นผมก็พยายามที่จะกดจำนวนลมหายใจให้น้อยที่สุด ก่อนหน้านี้ ในจังหวะที่เราเดินเข้าไปในสวนนั้นเอง ที่ผมกลั้นหายใจจนแทบตาย ที่ตรงนั้นมีหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ม่านถูกเปิดออก เราจึงมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นได้อย่างชัดเจน มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้นข้าง ๆ กระจก ไหล่ซ้ายอยู่ใต้ลำตัว รอบตัวมีรอยเลือดกระจายเป็นวงกว้างจนแทบจะย้อมสีพื้นบ้านทั้งหมดเป็นสีแดง ไม่มีทางที่มนุษย์คนไหนจะยังมีชีวิตอยู่ได้ หากเสียเลือดไปขนาดนั้น เปลือกตายังคงเปิดอยู่ สายตาของเธอดูราวกับกำลังจ้องมองไปยังบางสิ่งที่อยู่ห่างไกล บริเวณด้านหน้าของหน้าต่างมีไม้พุ่มเตี้ยบังอยู่ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นศพจากระยะไกลได้ นั่นคงเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงไม่มีใครพบร่างของเธอกระทั่งเอาป่านนี้
ผมบอกตำรวจไปว่าผมเป็นคนที่พบศพแต่เพียงผู้เดียว ตามคำขอของคิชิเบะ โรฮัง ระหว่างนั้นเองที่เขาแอบออกไปรอบริเวณใกล้ ๆ แล้วกลับมายืนดูเหตุการณ์ปะปนกับพวกญี่ปุ่นมุงในตอนที่ตำรวจมาถึงแล้ว ด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของเขา ขืนออกข่าวว่าเป็นคนพบศพนี่ มีหวังได้วุ่นวายกันยกใหญ่ ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ อย่างไรเสียผมเองก็เป็นแฟนผลงานของคิชิเบะ โรฮังคนนึง ไอ้การจะเอาชื่อเสียงในระดับโลกของเขามาเกี่ยวข้องกับไอ้เรื่องแบบนี้ ก็ดูไม่น่าจะโสภาซักเท่าไหร่
“ชื่อผมเหรอครับ? ผมชื่อ ฮิโรเสะ โคอิจิ เป็นนักเรียน ม. 4 โรงเรียนบุโดงะโอกะ ครับ… ไม่ครับ ผมไม่รู้จักคนตาย ผมเจอแมวเลยตามมาถึงที่บ้านน่ะครับ คิดว่ามันคงไปคลอเคลียกับศพ ตอนผมเจอแมว มันเลยมีเลือด… ผู้ตายเป็นผู้หญิง ชื่ออะไรน่ะเหรอครับ? คิดว่าอ่านว่า ‘โอริคาสะ ฮานาเอะ’ มั้งครับ ชื่อที่อยู่บนป้ายหน้าบ้านกับป้ายบนคอแมวก็ชื่อเดียวกันเลย คันจิเขียนด้วยตัวอักษร ‘ถักทอ’ แบบมีตัว ‘เล็ก’ ประกอบข้าง ‘หมวกไม้ไผ่’ แบบมี ‘ไม้ไผ่’ ประกอบบน คันจิ ‘ดอกไม้’ มี ‘หญ้า’ ประกอบบน และอักษร ‘ประเสริฐ’ น่ะครับ”