The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 123
ตอนที่ 123 เหมือนกันเลยทั้งพ่อทั้งลูก
เรื่องยุ่งระหว่างหวังลิ่งและกลุ่ม10นักบุญได้จบลงไปแล้ว
กลุ่ม10นักบุญก็กลับไปรวมตัวกันและรายงานผลที่ปราสาทตระกูลโม่ แต่เนื่องจากพวกเขาสูญเสียศิษย์พี่ใหญ่ไปถึงสองคนทำให้พวกเขาไม่อยากที่จะรับความเสี่ยงอีก นักบุญลำดับสามซึ่งขณะนี้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มได้ประกาศถอนตัวจากภารกิจนี้
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ในเวลานี้ทางปราสาทตระกูลโม่ไม่สามารถที่จะหากลุ่มคนที่จะมาลงร่วมปฏิบัติการแย่งชิงหน้ากากผีดิบได้
ส่งผลให้เทพมือระเบิดถือโอกาสใช้ช่วงนี้ในการค้นคว้าวิจัยหน้ากากผีดิบอย่างเต็มที่และสบายใจ
เมื่อหวังลิ่งเรียกร่างแยกกลับไป ร่างจริงของเขาเองก็กำลังเดินทางกลับบ้าน เขารู้สึกว่าเมื่อเขาได้พลังทั้งหมดกลับคืนมา เขารู้สึกสดชื่นขึ้นทันตาเห็น
มันเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของการใช้วิชาร่างแยกขั้นสูง เพราะร่างแยกของเขาไม่ได้สร้างขึ้นมาจากพลังเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงวิชา ความสามารถส่วนตัว และอารมณ์ของเขาด้วย… ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะหลีกเลี่ยงการใช้วิชานี้ เพราะเนื่องจากเขาต้องแบ่งอารมณ์ไปยังร่างแยก จึงทำให้ร่างจริงของเขานั้นแทบจะไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไรเลยตลอดทั้งวัน
เมื่อหวังลิ่งกลับถึงบ้าน เขาพบว่ามีคนแปลกหน้าที่คนหนึ่งอยู่ในบ้านเขา แต่ทว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณตรวจสอบเขาก็พอจะเดาได้ว่าคนคนนั้นคือลี่เหมงเหมง เพราะเขาเห็นรองเท้าแตะหูกระต่ายสีขาวหายไปจากชั้นวางรองเท้า ซึ่งทางบ้านของเขาได้เตรียมไว้สำหรับลี่เหมงเหมงโดยเฉพาะ
วันนี้เขามาด้วยธุระเรื่องของคุณปู่หวัง
หลังจากที่ได้พบกับอาจารย์ป่านเมื่อวันก่อน ชายแก่ก็อาการดีขึ้นเป็นอย่างมาก ปมภายในใจได้ถูกแก้ไปแล้วทำให้ชายแก่กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ยังไงก็ตามพ่อของหวังลิ่งก็ยังคงเป็นห่วง ดังนั้นเขาจึงเรียกลี่เหมงเหมงเข้ามาช่วยดูอาการ
คุณปู่หวังซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาจับมือลี่เหมงเหมงขึ้นมาเพื่อแสดงความขอบคุณ “ขอโทษที่ทำให้ลำบากอีกครั้งนะคุณซ่ง!”
คำพูดธรรมดาเพียงประโยคเดียวทำให้ทั้งลี่เหมงเหมงและพ่อของหวังลิ่งรู้สึกโล่งใจ นั่นก็เพราะว่าชายแก่เรียกชื่อพวกเขาถูกแล้ว นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลี่เหมงเหมงเชื่อว่า อาการป่วยทางสมองของชายแก่ได้ถูกรักษาโดยสมบูรณ์…
“ไม่เป็นไรครับคุณปู่! ผมแค่จะมาถามคำถามคุณปู่ไม่กี่คำถามเท่านั้นเอง” เมื่อพูดจบ ลี่เหมงเหมงก็หยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าของเขา ซึ่งมันก็คือแบบทดสอบของผู้ป่วยทางจิตซึ่งเขาเก็บรวบรวมมันไว้ โดยจะมีทั้งคำถามแบบถูกผิด แบบตัวเลือกและแบบเติมคำ
คุณปู่หวังพนักหน้าตอบรับ “เอาเลยคุณซ่ง ถามมาได้เลย!”
“คำถามแรก เมื่อคุณกินไข่คนกับมะเขือเทศ คุณมักจะมีปัญหาในการตัดสินใจว่าจะกินมะเขือเทศก่อนหรือไข่ก่อนใช่หรือไม่?”
ชายแก่ส่ายหัวทันทีที่ฟังคำถามจบ
ลี่เหมงเหมงจดคำตอบลงไปจากนั้นจึงถามต่อ “คุณจะเลือกกินอะไร ระหว่างช็อคโกแลตรสอึ หรือ อึรสช็อคโกแลต?”
ชายแก่คิดอยู่ครู่นึงแล้วจึงถามบางอย่างกลับมา “ทั้งสองอย่างนั้น ช็อคโกแลตมีน้ำตาลใช่ไหม?”
ลี่เหมงเหมงพยักหน้า “ใช่แล้วครับ”
ชายแก่จึงตอบกลับมาว่า “จากสุขภาพของฉัน ฉันไม่สามารถกินพวกมันได้”
ลี่เหมงเหมงงุนงงในคำตอบของชายแก่ “…”
“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงเลือกถามคำถามแบบนี้กับคนแก่กัน? คนแก่ส่วนมากก็เป็นโรคเบาหวานกันทั้งนั้น ถามคำถามแบบนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย!”
“…โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวผมเปลี่ยนคำถามให้”
ลี่เหมงเหมงก้มลงไปเลือกคำถามใหม่ “คุณปู่รู้ใช่ไหมว่า ทำไมหนึ่งบวกหนึ่งถึงเท่ากับสอง?”
ชายแก่จ้องไปยังลี่เหมงเหมงด้วยความสงสัย ราวกับว่าเขานั้นปัญญาอ่อน “แน่นอนสิว่ามันเท่ากับสองเพราะการคำนวณ! คุณซ่งคงไม่ได้ไปเอาคำถามที่เอาไว้ถามเด็กปัญญาอ่อนมาถามฉันใช่ไหม? ถึงแม้ว่าฉันจะแก่แต่ฉันก็ไม่ได้โง่นะ คำถามพวกนี้มันเก่าและดูงี่เง่ามากไปแล้ว!”
“…”
ชายแก่จ้องลี่เหมงเหมงเขม็งเป็นเชิงตำหนิ “ฉันพบว่าคนหนุ่มสมัยนี้ ไม่ได้มองการณ์ไกลในการแก้ไขปัญหาเอาเสียเลย เหมือนคุณและคำถามปัญญาอ่อนของคุณด้วย ไม่คิดคำนึงถึงผลที่จะตามมา คุณช่วยใช้คำถามที่คิดขึ้นเองโดยไม่ทำตามกระดาษได้ไหม? จากที่ฉันดู ดูเหมือนว่าคุณจะยังไม่เคยมีแฟนเลยใช่ไหม?”
‘หะ…’
‘ไม่มีแฟน…’
“…” ลี่เหมงเหมงแทบอยากจะร้องไห้
หลังจากคำถามและคำตอบผ่านไป ทางฝั่งพ่อของหวังลิ่งก็สรุปผลได้สองอย่าง
อย่างแรก ปัญหาทางจิตและสมองของพ่อของเขาถูกรักษาหายขาดแล้วแน่นอน การรับมือที่ยอดเยี่ยม การพูดจากัดจิกแบบเมื่อสมัยก่อนได้กลับมาแล้ว…
และอย่างที่สอง หลังจากการได้เห็นการสนทนาระหว่างลี่เหมงเหมงและพ่อของเขา ลี่เหมงเหมงได้ถูกชายแก่พูดแทงใจดำเข้าอย่างจังจนตอนนี้ทำอะไรต่อไม่ถูกแล้ว
………………………………
หลังจากอาหารค่ำ หวังลิ่งก็สามารถนั่งดูซีรี่ย์ได้ทันเวลาถามแผน เขาไม่ได้ใช้ทีวีตัวเล็กในห้องนอนของเขามานานแล้ว และถ้าหากไม่ใช่เพราะการจับฉลากของบริษัทสมอลแร็คคูนระหว่างซีรี่ย์ออกอากาศ เขาคงไม่คิดจะเปิดทีวีเครื่องนี้เด็ดขาด นั่นก็เพราะว่าปัจจุบันนาฬิกาข้อมือทำได้แทบจะทุกอย่างแล้ว
ทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถทำผ่านเจ้านาฬิกาข้อมือ ทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกสมัยก่อนอย่างทีวีกำลังจะตายลง มีเพียงแค่คุณปู่หวังเท่านั้นที่ยังคงใช้ทีวีดูซีรีย์เรื่องตำนานรักชาติ
……………………………….
ตอนเช้าของวันอังคารที่ 25 พฤษภาคม
อารมณ์ของหวังลิ่งค่อนข้างหดหู่ นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยในการจับฉลากเมื่อวาน
เขารู้สึกว่าการจับฉลากนั้นคล้ายกับการอัพเกรดอุปกรณ์ในเกมในค่ายเพนกวิ้น(Tencent) แม้ว่าจะมีโอกาสติดถึง90%แต่มันก็ยังแตกอยู่ดี…
เมื่อหวังลิ่งถึงห้องเรียนชั้นปีที่หนึ่งห้องสาม เขาก็ได้ยินเสียงซุบซิบของเพื่อนในห้องเรียนอย่างเป็นปกติ โดยหัวข้อเกี่ยวกับการซ้อมสอบที่เคยเป็นหัวข้อสนทนาได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นหัวข้อการประชุมผู้ปกครองเมื่อวาน
โดยที่เจ้าพ่อเรื่องซุบซิบนินทาคนไม่พ้นกัวหาว เขาได้พูดถึงข้อมูลที่เขาได้รับรู้เมื่อวาน “ฉันได้ยินมาว่า เมื่อวานมีการโหวตบางอย่างขึ้นในระหว่างการประชุมผู้ปกครอง”
มีใครบางคนถามขึ้นมา “โหวตเกี่ยวกับอะไร?”
กัวหาวจึงหันไปตอบว่า “โรงเรียนของพวกเขาต้องการให้จัดตั้งการประกวดร้องเพลง เมื่อวานอาจารย์ป่านก็ได้ให้เหล่าผู้ปกครองเสนอเพลงเข้ามา และพวกเขาก็โหวตกัน เพราะเหตุนั้นเองพวกเราจึงจำเป็นต้องเลือกเพลงทั้งหมดสามเพลงสำหรับห้องของเราในการประกวดนี้”
เมื่อกัวหาวพูดจบ เขาก็หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นนึง ซึ่งเป็นกระดาษที่พ่อของกัวหาวจดรายละเอียดเอาไว้ โดยส่วนที่วงเอาไว้ก็คือรายชื่อเพลงที่ทางผู้ปกครองเสนอขึ้นมาเมื่อวาน
ทุกคนจ้องไปยังกระดาษแผ่นนั้นซึ่งมีรายชื่อเพลงต่างๆอยู่บนกระดาษ
เพลงที่เหล่าผู้ปกครองโหวตคะแนนสูงสุดก็คือเพลง “คืนที่ดาวเต็มฟ้า” ซึ่งถูกเสนอมาโดยพ่อของลี่โกวห่าย
เพลงที่สองคือ “Run” ซึ่งเสนอโดยพ่อของเช็นเฉา
และลำดับที่สามคือ “แอปเปิ้ลน้อย” ซึ่งเสนอโดยพ่อของเสี่ยวหัวเฉิง
เมื่อทุกคนเห็นชื่อเพลงเหล่านั้น พวกเขาก็พยักหน้าให้แก่กัน
แน่นอนว่านอกเหนือไปจากเพลงสามเพลงนี้ ยังมีเพลงอื่นอีกแต่เพลงเหล่านั้นไม่ได้ติดอันดับหนึ่งในสามของการโหวต
ยกตัวอย่างเช่น “The Will of the East Wind” เพลงจากนิยายบอยเลิฟเรื่อง Grandmaster of Demonic Cultivation ซึ่งเสนอโดยแม่ของหลินเสี่ยวหยู… ไม่ต้องคิดให้เมื่อยรอยหยักสมอง หลินเสี่ยวหยูคงได้ความชอบแบบนี้มาจากแม่ของเธอแน่นอน
และเพลงที่พ่อของกัวหาวเลือกนั้นคือเพลง “คันหู” ก็คงไม่ต้องบอกอีกว่ากัวหาวได้ส่วนนี้มาจากใคร…เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก
และจนมาถึงเพลงที่อยู่ในอันดับสุดท้าย ซึ่งทุกคนต่างสงสัยว่าทำไมจึงไม่ได้รับการโหวตเลยแม้แต่เสียงเดียว “เอ๋? ไม่มีใครโหวตเพลงนี้เลยหรอ?! แม้แต่เพลง คันหู ยังได้รับการโหวตเลยนะ…”
มีใครบางคนตะโกนจากข้างหลังมา “ใครเสนอเพลงนั้นกัน?”
“ใครสักคนที่ชื่อหวังเล่ย”
“…” ทันทีที่หวังลิ่งได้ยินชื่อ เขาก็รู้ทันทีเลยว่านั่นน่ะเป็นชื่อที่เทพมือระเบิดใช้ในการเข้าร่วมประชุม
เช็นเฉาขมวดคิ้ว “หวังเล่ย? หรือนั่นคือพ่อของหวังลิ่ง?” เพราะว่ามีเพียงคนเดียวในห้องที่ใช้สกุลหวัง
“เพลงอะไรที่เขาเสนอมาหล่ะ?”
“Pomp and Circumstance” [เป็นเพลงญี่ปุ่นนะครับถ้าหากใครอยากรู้เสิจในYoutubeได้เลย…ผู้แปล]
หลังจากได้ยินชื่อเพลง คนทั้งห้องต่างไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาแต่หันไปมองหวังลิ่งกันหมด ใครจะคาดคิดว่าภายใต้ความเงียบขรึมของหวังลิ่ง เขายังมีด้านมืดนี้ซ่อนอยู่ในหัวใจ…
ส่วนทางด้านหวังลิ่ง ตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงพยายามสงบสติอารมณ์ของเขา…