The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 134
*********หมายเหตุ*********
ขอทำการแก้ไขชื่อาหารจากตอน 133
“บะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดอง” > “เลาตั๋นบะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดอง”
*****************************
ตอนที่ 134 ห้องอาหารยามเที่ยงคืน
การเดินทางด้วยกระบี่บินโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีในการเดินทางแปดร้อยกิโลเมตร เพราะระยะทางมันค่อนข้างที่จะไกล แต่ทว่าหวังลิ่งสามารถไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพียงแค่กระพริบตา
พ่อของหวังลิ่งและสองสีเดินมาเกาะตัวเขาไว้ และชั่วพริบตาพวกเขาก็มาโผล่อยู่ข้างหน้าร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว
ร้านอาหารแห่งนี้ดูค่อนข้างเก่า กำแพงถูกสร้างขึ้นมาจากไม้และอิฐบล็อก ดูค่อนข้างอันตรายพร้อมที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ มีแผ่นไม้ที่เขียนชื่อร้านตั้งเป็นแนวตั้งอยู่ข้างหน้าร้าน ซึ่งเขียนว่า “ห้องอาหารยามเที่ยงคืน” ตรงขอบป้ายมีรอยแตกและถูกยึดไว้ด้วยปูนปาสเตอร์อเนกประสงค์อย่างลวกๆ ทำให้ร้านอาหารแห่งนี้ดูเก่าแก่และมีมนขลังกว่าอาคารเก่าในสวนตระกูลเสี่ยวเสียอีก…
เมื่อหวังลิ่งยืนอยู่หน้าทางเข้าร้านอาหาร เขาก็นึกขึ้นออกมาได้ว่า เขาเคยวิ่งผ่านสถานที่นี้มาก่อนระหว่างทางที่เขาเดินทางไปโรงเรียน แต่ด้วยความที่เขาเคลื่อนที่เร็วจนเกินไป เขาจึงมองมันเห็นไม่ชัด และตอนนี้เค้ารู้แล้วว่า…ไอตึกเก่าๆตึกนี้ไม่ใช่ห้องน้ำสาธารณะ!
“อย่าตัดสินร้านอาหารแห่งนี้ด้วยเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ยิ่งดูโทรมมากเท่าไร ก็แสดงว่าอาหารมีความอร่อยมากขึ้นเท่านั้น…” ทั้งพ่อและลูกชายยืนอยู่หน้าทางเข้า เมื่อมีสายลมอันแผ่วเบาพัดผ่านพวกเขาทั้งสาม พ่อของหวังลิ่งก็ดึงคอเสื้อของหวังลิ่งไว้ หวังลิ่งรู้สึกว่าพ่อของเขาไม่มั่นใจในร้านอาหารแห่งนี้
ร้านอาหารแห่งนี้ไม่มีแม้แต่ประตู มีแค่เพียงเศษผ้าแขวนอยู่หน้าทางเข้า และเหนือขึ้นไปนั้นมีประตูกรงเหล็กที่เลื่อนปิดจากข้างบน ในทุกวันร้านอาหารแห่งนี้ทำการปิดร้านเพียงแค่ดึงประตูกรงเหล็กลงมาและใช้ตะขอเกี่ยวล็อคมันไว้กับพื้น
เมื่อมนุษย์สองคนและสุนัขหนึ่งตัวเดินผ่านประตูผ้าเข้าไปในร้าน ก็พบว่าภายในร้านนั้นประกอบไปด้วยโต๊ะไม้สี่ตัว และเก้าอี้พาสติกวางอยู่ข้างโต๊ะ
เมื่อหวังลิ่งเข้ามา เขาก็เห็นเจ้าของร้านกำลังยืนพิงอยู่ที่ประตูห้องครัวและสูบบุหรี่อยู่
เจ้าของร้านไว้ผมสั้นและดูท่าทางจะอายุราวๆสี่สิบ เขาดูเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดีเสียเท่าไรเพราะมีแก้มตอบและมีเบ้าตาลึก มีรอยแผลเป็นเป็นรอยของมีคมกรีดยาวจากหน้าผากด้านขวาผ่านลงมาจากตาจนไปถึงลำคอของเขา
แน่นอนว่าชายคนนี้ต้องมีประวัติความเป็นมาและเบื้องหลังบางอย่าง
“วันนี้ลูกค้ามันกันเร็วดีเนอะ” เมื่อชายผมสั้นเจ้าของร้านเห็นลูกค้าของเขาเดินเข้ามาในร้าน เขาจึงรีบดับบุหรี่ของเขาและชี้นิ้วไปยังเมนูที่แขวนอยู่กลางร้านอาหาร ก่อนที่จะยกมือขึ้นท้าวสะเอว “นอกเหนือไปจากบะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดอง ถ้าอยากกินอะไรเพิ่มก็สั่งมาได้เลย ตราบใดที่ฉันทำมันเป็นน่ะ…”
พ่อหวังลิ่งถามขึ้น “คุณมีเส้นใหญ่น้ำใสลูกชิ้นปลาไหม”
เจ้าของร้านส่ายหัว “ที่นี่ไม่มีเส้นใหญ่”
พ่อของหวังลิ่งถามอีกครั้ง “แล้วข้าวหน้าลูกชิ้นปลาหล่ะ”
เจ้าของร้านส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่มีลูกชิ้นปลา”
พ่อของหวังลิ่งจึงถามออกไปตรงๆ “ถ้าคุณไม่มีอะไรเลยสักอย่าง…แล้วทำไมคุณถึงกล้าเปิดร้านนี่?!”
เจ้าของร้านเลิกคิ้วขึ้นและโต้เถียงกลับไปด้วยความหงุดหงิด “นายจะมาพูดแบบนี้ไม่ได้ว่าร้านเราไม่มีอะไรเลย มันคือนายเองต่างหากที่ไม่รู้วิธีสั่งอาหาร อาจารย์ของฉันนั้นได้สั่งสอนวิธีการทำอาหารให้แก่ฉันมาหมดแล้ว และฉันนี่แหละศิษย์เอกของเขา”
“…”
หวังลิ่งคิดในใจว่า ‘ถ้าหากอาจารย์ของคุณรู้ว่า ศิษย์เอกของเขานั้นเปิดร้านอาหารและทำร้านอาหารเจ๊งแบบนี้ เขาคงอกแตกตายแน่ๆ’
พ่อของหวังลิ่งไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี เขาจึงชี้ไปที่เมนู “งั้นพวกเราขอสั่งเป็น บะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดองชามเล็กสองชามก่อน…”
เจ้าของร้านไม่ได้พูดอะไรกลับมาเขาแค่เพียงพยักหน้าและเดินกลับเข้าไปยังห้องครัว หวังลิ่งมองตามหลังเขาไป และเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดพัดลมดูดอากาศ ซึ่งเสียงของมันดังราวกับรถแทรกเตอร์…
ประมาณสิบนาที บะหมี่ทั้งสองชามที่สั่งไปก็พร้อมเสิร์ฟ เจ้าของร้านถือมาด้วยมือทั้งสองข้างของเขาและวางลงตรงหน้าของหวังลิ่งและพ่อของเขา แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะเตรียมจานอาหารมาเผื่อเจ้าสองสีด้วย
สองสีมองไปยังกระดูกวัวตุ๋นในจานด้วยใบหน้าเรียบเฉย และใช้ลิ้นตวัดกินแมลงที่เข้ามาตอมกระดูกด้วยสีหน้าพึงพอใจ…
เจ้าของร้าน “…”
โดยคาดไม่ถึง บะหมี่สองชามนี้ค่อนข้างจะดูดี แม้ว่าตัวชามเองจะดูเก่าแต่ก็ไม่ได้สกปรกเลยแม้แต่น้อย
พ่อของหวังลิ่งคีบบะหมี่คำโตเข้าปาก จากนั้นเขาก็ยกหัวขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ ‘บะหมี่ชามนี้รสชาติไม่เลว’
ทีเด็ดอยู่ตรงที่กระหล่ำปลีดองนั้นไม่ได้เปรี้ยวเลย
พ่อของหวังลิ่งขมวดคิ้วและเอ่ยปากถามเจ้าของร้านออกไป “เฮ้บอส ทำไมกระหล่ำปลีดองของคุณถึงรสชาติไม่เหมือนกระหล่ำปลีที่ถูกดองในไหเลย มันไม่เปรี้ยวเลยแม้แต่น้อย”
เจ้าของร้านหันขวับกลับมาตอบ “ใครบอกนายว่ามันถูกดองในไห”
พ่อของหวังลิ่งชี้ไปยังเมนู “คุณอ่านหนังสือออกใช่ไหม เนี่ยมันเขียนว่าเลาตั๋น ผมเป็นคนมีการศึกษาคุณช่วยอธิบายมาทีนะว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะแปลว่าคุณกำลังหลอกลวงผู้บริโภค”
เจ้าของร้านเบ้ปาก “ฉันชื่อ ทาน ซิมมิ่ง และผู้คนที่รู้จักฉันเขาเรียกฉันว่าเลาตั๋น (ซึ่งในภาษาจีนแปลว่าไห) และฉันนั้นทำบะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดอง ฉันจึงตั้งชื่อให้มันว่า เลาตั๋นบะหมี่เนื้อกระหล่ำปลีดอง หรือนี่ยังไม่ชัดเจนเพียงพออีก”
หวังลิ่งและพ่อของเขาไม่สามารถปฎิเสธคำอธิบายนั้นได้ว่ามันผิด
ตอนนี้เป็นเวลาใกล้สองทุ่มแล้ว พวกเขายังกินบะหมี่ได้เพียงแค่ครึ่งชาม ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเอะอะมาจากข้างนอกร้าน
มีชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังหวีผมหน้าม้าของเขาและมีกีต้าอยู่ด้านหลังเดินเข้ามาในร้าน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นนักดนตรีพเนจร
เพราะว่าเขาไม่สามารถจ่ายค่าที่พักในเขตตัวเมืองได้ เขามีเงินจำนวนไม่มากที่ได้รับมาจากการทำงานในเมืองมาเช่าที่พักอยู่ข้างนอกเมือง
ด้วยความสามารถอ่านอดีตอีกฝ่ายได้ หวังลิ่งจึงรู้เรื่องราวประวัติความเป็นมาทั้งหมดของชายหนุ่มคนนี้
หวังลิ่งไม่ได้อยากจะอ่านสมองของเขาหรอก มันเป็นพลังติดตัวของเขา เนื่องจากคนบางคนจะแสดงออกผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจน เขาจะสามารถอ่านความคิดของคนพวกนี้ได้ง่าย แต่บางคนที่มีอดีตที่ซับซ้อนอย่างอาจารย์คังและเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขามีอดีตประวัติความเป็นมาอย่างไร เว้นเสียแต่เราจะใช้สมาธิจริงจัง
และดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นลูกค้าประจำของที่ร้าน เพราะทันทีที่เจ้าของร้านเห็นชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามา เขาก็ส่งยิ้มให้และพูดประโยคสั้นๆว่า “เหมือนเดิมใช่ไหม”
ชายหนุ่มคนนั้นก็พยักหน้า และค่อยๆว่างกีต้าของเขาพิงไว้ข้างกำแพง และมองหาที่นั่ง
แม้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะไม่ได้พูดอะไรออกมา ราวกับว่าเจ้าของร้านสามารถอ่านความคิดของชายหนุ่มคนนั้นได้ “ฉันรู้ว่านายได้ไปเข้ารับการทดสอบมาสินะ แต่ดูเหมือนว่าผลจะออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไร”
เมื่อได้ยินประโยคที่เจ้าของร้านถาม ชายหนุ่มก็คอตกลงเหมือนคนสิ้นหวัง
ในขณะที่เขานั้นกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เขาก็พูดปรอบใจชายหนุ่มว่า “เจ้าหนู นายน่ะยังคงมีโอกาสอยู่ ดูสิวันนี้เรามีลูกค้าใหม่ นายจะลองเล่นดนตรีให้พวกเขาฟังดูไหม เพลงที่นายใช้ในการเข้าทดสอบน่ะ”
ชายหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น “ผมเล่นได้หรอครับ”
สองพ่อลูกวางตะเกียบลงอย่างพร้อมเพรียงและพยักหน้าให้กับชายหนุ่มคนนั้น
การที่ได้มาฟังเพลงของนักดนตรีโนเนมในร้านอาหารที่โทรมๆแบบนี้ หวังลิ่งคิดว่ามันก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต
นักดนตรีหนุ่มโค้งคำนับเจ้าของร้าน หวังลิ่งและพ่อของเขา จากนั้นเขาจึงทำการวอร์มเสียง
เธอเป็นคนสร้างเมฆฝน และเป่ามันไป…
เธอเป็นคนยกฉันขึ้น และทิ้งฉันไว้…
พ่อของหวังลิ่ง “…”
เจ้าของร้านตะโกนเอาอาหารมาเสิร์ฟ “ไอหนู…เอ้านี่มันฝรั่งหนอนไหมบิบิมบับ เสร็จแล้ว นายควรจะกินมันตอนที่ยังร้อนๆ”
ด้วยเสียงเพลงที่สุดแสนจะไพเราะ? บาดหู และอาหารสไตล์ที่เขาคุ้นเคยนั้นทำให้หวังลิ่งช็อคเป็นสองเท่า…