The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 141
ตอนที่ 141 บางทีการที่หัวล้านก็ไม่ได้ทำให้คนเก่งขึ้น
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลีมอบหมายให้พยาบาลที่ดูแลชั้นนี้เก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของนักเรียนทั้งสามคน
นักเรียนทั้งสามคนนั้นเรียนอยู่ที่โรงเรียนระดับแรกเริ่มลมปราณทั้งหมด และทั้งสามคนนั้นมาจากโรงเรียนในเขตไป่หยวนทั้งสิ้น คนนึงมาจากโรงเรียนช่างก่อสร้าง อีกคนมาจากโรงเรียนเนตรพระเจ้า และคนที่สามมาจากโรงเรียนอันดับที่ 59
เมื่อหวังลิ่งเห็นข้อมูลรายละเอียดของนักเรียนทั้งสามคน หนังตาของเขาก็เริ่มกระตุกโดยไร้สาเหตุ
เนื่องจากว่าเขาเคยไปยังโรงเรียนอันดับที่ 59 มาก่อนเขาจึงมีความทรงจำบางอย่างที่ยากจะลืมเลือนในคราวนั้น…
‘ชี่ฮุย’
เมื่อเขาอ่านข้อมูลเหล่านั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ชื่อไม่สามารถละลายตาออกไปไหนได้
เขาเงยหน้าขึ้นและเริ่มเพ่งสายตาไปยังทางเด็กผู้ชายที่นอนคว่ำหน้าทำท่ายิงใยอยู่…ยิ่งเขามองมากเท่าไรเขาก็รู้สึกคุ้นอย่างแปลกๆ
และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เรียกความทรงจำทั้งหมดกลับมาได้จากผลของวิชาความทรงจำล้ำเลิศ จนเขาสามารถระบุได้แล้วว่าสไปเดอร์แมนตัวปลอมตัวนั่นคือลูกน้องของรุ่นพี่เหอบู่ฟง!
เหตุผลที่เขาจำไม่ได้ในทีแรกนั้นก็เพราะเมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่ได้ไว้ผมทรงนี้ ก่อนหน้านี้เป็นผมทรงชี้ๆราวกับโงกุน แต่ตอนนี้กลับโกนหัวเกลี้ยงราวกับสกินเฮดเบอร์ศูนย์
“…” เมื่อมองเห็นสภาพของชี่ฮุยหวังลิ่งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘บางทีการที่หัวล้านก็ไม่ได้ทำให้คนเก่งขึ้น…แม้ว่านายจะวิดพื้น ไม่เปิดแอร์ในห้องตอนหน้าร้อน มันก็ไม่มีผล’ [จากเรื่อง One-punch man…ผู้แปล]
“หืม…น้องลิ่งรู้จักเด็กคนนี้หรอ” เทพมือระเบิดรู้สึกว่าหวังลิ่งแสดงท่าทางออกมาค่อนข้างจะแปลกเมื่อเขาเห็นชี่ฮุย เนื่องจากใบหน้าของหวังลิ่งมักจะอยู่ในโหมดโปกเกอร์เฟสตลอดเวลา เมื่อมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงเขาสามารถจับความผิดปกติได้
หลังจากคิดอยู่นาน หวังลิ่งจึงพยักหน้ารับ
เขาไม่คิดว่าเขานั้นมีความสัมพันธ์กับโรงเรียนอันดับที่ 59
แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าที่แห่งนั้นมอบความทรงจำอะไรบางอย่างให้แก่เขา…
เขาจ้องไปยังชี่ฮุยหลังจากที่ขมวดคิ้วอยู่พักใหญ่ เขาจึงตัดสินใจดีดนิ้วและทันใดนั้นเด็กนักเรียนทั้งสามคนก็ตกอยู่ในสภาพหลับลึก ชี่ฮุยที่ก่อนหน้านี้พยายามยิงใยแทบตายก็ล้มลงและกรนออกมา หลังจากนั้นหวังลิ่งจึงใช้วิชาเคลื่อนย้ายชี่ฮุยให้กลับขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
นี่เป็นประสบการณ์เลวร้ายที่ทั้งสามคนอาจจะถูกกำหนดมาให้เผชิญ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงเขาก็ไม่สามารถแทรกแซงได้
สิ่งที่เขาพอจะทำได้คงมีเพียงเท่านี้
การที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโองการจากสวรรค์มีแต่จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ไปมากกว่านี้
หวังลิ่งรู้สึกอ่อนล้านี่เขาก็เป็นแค่เพียงเด็กอายุ 16 ปีเท่านั้นเอง
“พวกเขาสงบลงแล้ว…” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลีรู้สึกตกใจเมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาพึ่งจะรู้ว่าหลิงเจินเหรินนั้นมีความสามารถมากมายขนาดนี้!
“วิชาจำศีลของน้องลิ่งนั้นจะทำให้คนที่โดนหลับเป็นเวลากว่าเจ็ดวัน พวกเขาไม่มีทางที่จะตื่นขึ้นมาต่อให้ฟ้าถล่มดินแยกก็ตาม” เทพมือระเบิดเคยเห็นหวังลิ่งใช้วิชานี้มาก่อนแล้วเมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน ในครั้งนั้นหวังลิ่งยังไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้ดีนัก ทันทีที่เขาโบกมือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในรัศมีล้มลงนอนในทันที
ผู้อำนวยการหลีนั้นไม่ได้มีพลังวิญญาณอะไรสูงส่ง เขาจึงรู้สึกนับถือเทพมือระเบิดและหวังลิ่งจากก้นบึ้งของหัวใจ
เพราะว่าคนไข้หลายคนภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่สามารถนอนหลับได้ เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นทรมานจากความเจ็บปวด คนไข้ธรรมดาทั่วไปอาจจะรับประทานยานอนหลับหรือฉีดยาได้ แต่สำหรับคนไข้ที่เป็นผู้ฝึกตน ร่างกายของพวกเขามีภูมิต้านทานต่อยาธรรมดาทั่วไป
‘มันคงจะดีถ้าหากเราสามารถเรียนวิชาจำศีลได้ แม่ของเราจะได้เลิกกังวลตอนเราอ่านหนังสือสักที’ [นึกว่าจะใช้งานกับคนไข้ไอคุณหมอ…ผู้แปล]
แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงความฝัน…เขาคงไม่สามารถที่จะเรียนวิชาขั้นสูงแบบนี้สำเร็จหรอก
ในขณะที่คุณหมอผู้อำนวยการหลีกำลังถอนหายใจ เขาก็ได้ยินเสียงข้อความเข้าโทรศัพท์ของเขา ซึ่งนั่นเป็นข้อความจากอาจารย์โทยะของเขา
หลังจากอ่านจบคุณหมอหลีก็ทำหน้าลำบากใจ
เทพมือระเบิดเห็นดังนั้นจึงถามออกไป “อะไรรึ”
“อาจารย์บอกว่าส่วนผสมในยาตัวนั้นค่อนข้างแปลกพอสมควร มันวิเคราะห์ยากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถระบุได้เลยว่าส่วนผสมเหล่านั้นมีอะไรบ้าง”
หลังจากนั้นโทยะก็ส่งข้อความมาอีก ซึ่งในข้อความส่วนที่สองนี้เป็นข้อมูลของการทดลอง
“แม้แต่น้องโทยะก็ยังไม่รู้หรือนี่”
เทพมือระเบิดเองก็รู้สึกแปลกใจเพราะนอกจากสภานักปรุงยาซึ่งทำงานให้กับม่านน้ำฮวงโหแล้ว ก็มีเพียงนักปรุงยาจากตระกูลเสี่ยว เขายังคิดไม่ออกเลยว่าใครกันที่เก่งกาจถึงขนาดโทยะจอมอมตะไม่สามารถวิเคราะห์สูตรตัวยาได้
ถือว่าเป็นเบาะแสใหม่ชิ้นสำคัญสำหรับเขา
ถือว่ามันคุ้มที่จะลองสืบประวัติคนจากม่านน้ำฮวงโหและตระกูลเสี่ยว ว่ามีใครในนั้นที่กำลังร่วมมือกับปราสาทตระกูลโม่หรือเปล่า
“พวกเราทำได้แค่เพียงรอข้อความใหม่จากอาจารย์ แต่จากผลการทดสอบเบื้องต้นนี่ เราสามารถใช้มันเพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติบางประการของมันได้”
หลังจากพูดจบผู้อำนวยการหลีก็หันไปทางหวังลิ่ง “เอ่อ…พอดีว่าคุณหลิงเจินเหรินพอจะใช้วิชาจำศีลกับคนไข้บนชั้นสามสิบได้ไหมครับ”
“เขาป่วยเป็นอะไร” เทพมือระเบิดนั้นสงสัยมาก่อนหน้านี้แล้วว่าอาการคนไข้ในชั้นที่สามสิบจะเป็นยังไง
“เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและจิตเภท ซึ่งภูมิต้านทานต่อยาของเขานั้นสูงมาก เขาลองมาทุกวิธีแล้วแต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผล แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่เขาเป็นหลานของจักรพรรดิแห่งดินแดนรกร้าง” [ผู้เขียนหมายถึงเป็นลูกหลานของตัวละครเอกในนิยายเรื่อง Perfect World…ผู้แปล]
“…”
“เมื่อตอนที่เราเดินเข้ามา คุณจำน้ำพุตรงข้างล่างได้ไหม นั่นแหละบ่อเกิดของปัญหา”
เมื่อพูดถึงตรงนี้คุณหมอหลีก็เอามือกุมขมับ “คนไข้น่ะคิดว่าเขาสามาระใช้วิชาคุนเป็งได้ (สัตว์ในตำนานจีนเป็นปลามีปีก) และตัดสินใจที่จะกระโดดจากชั้นสามสิบลงไปยังบ่อน้ำพุ…”
“เพราะอะไร…?”
หมอหลีตอบกลับมาด้วยใบหน้าจริงจัง “เพราะเขาคิดว่า น้ำพุนั่นคือประตูมิติ”
[ตรงนี้ผู้เขียนเขาใช้คำว่า Dayu haitang (Big Fish & Begonia) เป็นการ์ตูนอนิเมชันเกี่ยวกับโลกคู่ขนานโลกเซียนกับโลกมนุษย์ ตัวเอกจะต้องกลายร่างเป็นปลาโลมาออกไปเผชิญกับความจริงในโลกมนุษย์ เป็นบททดสอบการที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และกลับมาให้ทันเวลาไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นปลาโลมาตลอดชีวิต]
“…” ทั้งหวังลิ่งและเทพมือระเบิดต่างเงียบฟังไม่ขอออกความคิดเห็น
………………………………
ในเวลาเดียวกันที่ลานจอดรถ ชายในชุดสูทและสองคิงชูก็ยังคงคุยกันผ่านโทรศัพท์อยู่
หลังจากที่สองคิงชูคิดไตร่ตรองอยู่นานพอสมควรเขาก็ตัดสินใจออกมา “เอาแบบนี้ นายจะไปหาใครก็ได้หรือนายจะทำมันเองก็ได้ ไปทำลายรถของพวกมัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง หรือพวกมันมีข้อมูลมากน้อยแค่ไหน เราต้องขัดขวางมันก่อน อย่างมากที่สุดเราก็แค่ต้องจ่ายค่าเสียหายกับรถคันนั้นแต่มันจะแพงแค่ไหนเชียว”
ชายในชุดสูทมองไปยัง “รถ” ที่เทพมือระเบิดและหวังลิ่งขี่มา “หัวหน้า…หัวหน้าแน่ใจนะว่าหัวหน้าอยากจะทำมันจริงๆ”
สองคิงชูแทบจะตะโกนกลับมาในทันที “บอกให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า! ทำไมแกขี้บ่นนัก?! แกไม่ได้เป็นคนจ่ายเสียหน่อย รถของมันจะแพงสักแค่ไหนเชียว แลมโบ พอช หรืออะไร?”
“เอ่อ…ไม่ใช่ที่พูดมาทั้งหมดเลยหัวหน้า…”
“ไม่ใช่เรอะ???”
หายากที่ผู้ฝึกตนจะขับรถมา เพราะพวกเขาเลือกที่จะขี่กระบี่บินเสียมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามมันไม่แปลกที่ทุกคนจะมีรถเป็นของตัวเองเพราะว่าหลายๆคนก็เลือกที่จะขับรถเพราะมันดูมีสไตล์มากกว่า
แต่ถึงกระนั้นรถที่ถูกซื้อโดยผู้ฝึกตนที่เก่งกาจก็มักจะมีราคาแพงตามไปด้วย
สองคิงชูรู้สึกสงสัยในคำพูดของลูกน้องจึงถามออกไป “แล้วพวกเขาขับอะไรมา”
“รถสามล้อ…” ลูกน้องของเขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“…”