The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 130
ตอนที่ 130 นี่ถ่ายหนังTrain to Busanกันหรอ?!
ตอนรุ่งเช้า สองคิงชูได้รับข้อความจากดิงหยุนซ่ง
สรุปใจความได้ว่า เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันใหญ่เกินไป จนดึงความสนใจของบรรดาเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ จนเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
เมื่อเขาได้อ่านข้อความคิ้วของสองคิงชูก็กระตุก…’ทำไมเขาต้องเป็นคนที่เจออะไรแบบนี้กับคนคนเดิมที่เขาเคยมีปัญหาด้วย? ทั้งเด็กหนุ่มปริศนาที่ปรากฏตัวที่บ้านของเทพเมือระเบิด และปัญหาตอนนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับกูรูหวังสิถู…
สองคิงชูไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องมาเจออะไรที่ทำให้เขาอารมณ์เสียแบบนี้
ในขณะที่เขากำลังอยู่ในอารมณ์ไม่ดี โทรศัพท์นาฬิกาข้อมือของเขาก็ดังขึ้น
“พี่สอง นี่โจวจี้เอง เมื่อวานฉันเห็นว่าสถานการณ์บนWeiboมันเริ่มจะคงที่แล้ว แต่ทำไมมันถึงกลับมาอีกครั้ง? ยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?” น้ำเสียงของโจวจี้สั่นด้วยความรู้สึกหวั่นใจว่าจะเกิดอะไรแปลกๆ
สองคิงชูเอามือก่ายหน้าผากด้วยความรำคาญ “ฉันทำอะไรไม่ได้แล้วสำหรับเรื่องนี้ คนที่หนุนหลังหวังสิถูนั้นใหญ่เกินกว่าที่ฉันคิดไว้ แม้แต่ปราสาทตระกูลโม่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง…” โจวจี้พูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
หลังจากเงียบไปได้ครู่นึง สองคิงชูก็พูดขึ้น “ฉันแนะนำว่า นายควรจะรีบจัดการจองตั๋วเครื่องบินส่งหลานของนายไปต่างประเทศ ดีที่สุดไม่ต้องกลับมาเลยอย่างต่ำครึ่งปี”
“เรื่องนี้มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ?”
สองคิงชูถอนหายใจ “ดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน ฉันบอกได้เพียงเหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากบรรดาสิบนายพลผู้ก่อตั้ง”
“…”
โจวจี้นั่งนิ่งด้วยความหวาดกลัว ‘ต้องมีอิทธิพลขนาดไหน เขาจึงสามารถเรียกสิบนายพลผู้ก่อตั้งออกมาช่วยเหลือได้?”
………………………..
เวลา 6 โมงเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม
ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดาหวงเมืองซ่งไห่
ชายทรงผมโมฮอกสวมหน้ากากสีดำกำลังลากกระเป๋าสัมภาระสีดำกำลังก้าวเข้าห้องรับรองผู้โดนสายขาออก
เขากำลังคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงที่เบาหวิวว่า “ฮัลโหล…ลุงผมถึงสนามบินแล้ว”
ทางอีกฝั่งของสายตอบกลับมา “โจวเว่ย ลุงเตรียมทุกอย่างให้หมดแล้ว ลุงซื้อตั๋วเที่ยวเช้าที่สุดให้ เครื่องขึ้นตอนหกโมงยี่สิบ ไปต่อแถวยังช่องผู้โดยสายฉุกเฉิน สิบนาทีก่อนเครื่องจะขึ้น…ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้นเข้าใจไหม? ขึ้นเครื่องให้ได้ก่อน!”
“โอเคครับลุง ผมเข้าใจแล้ว…”
ใบหน้าของโจวเว่ยเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อเขาวางสายเสร็จเขาก็ถอนหายใจออกมา เขาอยากจะตัดมือของเขาทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด! ทำไมเขาถึงไม่ควบคุมตัวเองไว้เมื่อตอนนั้น?!
โดยสัญชาตญาณ เขาหันหลังกลับไปและเห็นแมวดำตัวนึงซึ่งหัวโขกเข้ากับเก้าอี้นั่งพัก
‘ก็แค่แมวสินะ…’
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
เดี๋ยวนี้มันไม่แปลกที่จะเห็นสัตว์เลี้ยงในสนามบิน เพราะสัตว์เหล่านั้นเป็นสัตว์วิญญาณซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณและชาญฉลาด ตราบใดที่เจ้าของของมันซื้อตั๋วเครื่องบินให้ พวกมันก็สามารถขึ้นเครื่องได้ด้วยตัวของมันเอง หรือสัตว์วิญญาณที่มีพลังวิญญาณและสติปัญญาสูงเทียบเท่ามนุษย์ก็สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินด้วยตัวของมันเองและขึ้นเครื่องเองได้
โจวเว่ยคิดว่าแมวตัวนั้นก็น่าจะเป็นแมวธรรมดาทั่วไปซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของใครสักคนแถวนี้
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกแปลกที่เขาถูกจ้องโดยแมว เขารีบลุกขึ้นและย้ายที่นั่งเพื่อที่จะเขาจะได้มองไม่เห็นแมวตัวนั้น
เมื่อชายหนุ่มทรงผมโมฮอกเดินออกไป แมวดำที่นอนอยู่ใต้เก้าอี้ตัวเมื่อสักครู่ก็ยกหูที่พับอยู่ขึ้น เผยให้เห็นว่าจริงๆแล้วมันกำลังปกปิดหูฟังไร้สาย(Wireless)อยู่
แมวตัวนั้นพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า “โปรดทราบ หัวหน้าหน่วยทหารราบทั้งหมด! พบเป้าหมายแล้ว! หลวงพี่ทางนายเป็นอย่างไรบ้าง?”
“รายงาน! ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี!”
เจิ้งทานพยักหน้า “ดีมาก ทุกหน่วยสะกดรอยตามเป้าหมาย! หลวงพี่รีบๆนำกำลังเสริมเข้ามาได้แล้ว พวกเราต้องหยุดชายคนนั้นก่อนที่เขาจะได้ขึ้นเครื่อง!”
……………………………….
โจวเว่ยไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่ขี้กลัวหลังจากทำความผิด ก่อนเวลาขึ้นเครื่องด้วยทางเข้าฉุกเฉินเพียงสิบนาที แต่ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังนั่งทับเข็มหลายเล่ม
เวลาหกโมงเช้านั้นจะมีผู้โดยสารแค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในห้องรับรอง โจวจี้ได้สั่งให้โจวเว่ยเข้าไปรอในห้องรับรองVIPเพราะในนั้นจะมีคนเพียงไม่กี่คน แต่อย่างไรก็ตามเขายังคงรู้สึกราวกับว่ามีสายตานับร้อยจับจ้องอยู่
หางตาของเขาเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งพนักงานทำความสะอาดกำลังดูดฝุ่นและอยู่ห่างออกไปหลายเมตร…’คนนั้นกำลังจ้องเราอยู่งั้นหรือ?!’
เขาใช้หนังสือนิตยาสารบังหน้าของเขาและแอบมองอีกครั้ง
กลับกลายเป็นว่ามีป้าแก่ๆคนนึงยืนอยู่ข้างพนักงานทำความสะอาด
ชายคนนั้นถอดชุดพนักงานทำความสะอาดออก กลับกลายเป็นว่าชายคนนั้นมีกล้ามเป็นมัดๆและตัวสูงถึงร้อยแปดสิบเซนติเมตร นี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกหนาวจนถึงขั้วหัวใจ
‘นั่นก็แค่ป้าแก่ๆ…เธอคงไม่ได้จำคนผิดใช่ไหม?”
โจวเว่ยรู้สึกหวั่นใจ
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจย้ายที่นั่งอีกครั้ง เขาตัดสินใจเว้นระยะห่างจากคุณป้าให้มากขึ้น…
ทันทีที่ชายหนุ่มหัวโมฮอกเดินจากไป ป้าคนนั้นก็นั่งลงหลังเครื่องดูดฝุ่นและแอบหยิบวิทยุออกมา “โปรดทราบ ทุกหน่วย! เป้าหมายเคลื่อนที่แล้ว! นี่เป็นเคสที่ใหญ่และสำคัญสำหรับพวกเราสมาคมเสริมสร้างความสามัคคี! มือขวาจางทางด้านนั้นเป็นอย่างไร?”
“รายงานมิสดง! ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีครับ!”
มาดามดงพยักหน้า “เยี่ยม! ทุกคนตามเขาไป! เป้าหมายกำลังจะไปขึ้นเครื่องในอีกห้านาที! พวกเราต้องหยุดเขาให้ได้ก่อนที่เขาจะไปได้ไกลกว่านี้!”
………………………………
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า แต่โจวเว่ยรู้สึกว่าหนึ่งวินาทียาวนานเหมือนเป็นปี
ในที่สุดก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง
เขาเดินไปพร้อมกระเป๋าสัมภาระสีดำอย่างเร่งรีบในทางผ่านฉุกเฉิน!
‘เขาไม่อยากจะอยู่ตรงนี้อีกแล้ว!’
ที่หน้าทางเข้าฉุกเฉิน หญิงสาวหน้าตาน่ารักผมสีน้ำตาลหยุดเขาไว้ “คุณผู้ชายคะ โปรดแสดงตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ดด้วยค่ะ”
เขาหยิบของเหล่านั้นขึ้นมาอย่างเร่งรีบและยื่นไปให้หญิงสาวตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ คุณ ทอม โจว ยินดีต้อนรับ เดินทางให้สนุกนะคะ…”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวตรงหน้าจะยื่นตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ดกลับมา ก็มีกองทัพสองกองทัพรี่เข้ามาหาเขา หนึ่งเป็นกลุ่มคนแก่ที่มีโบว์สีแดงผูกไว้ที่แขนขวาของพวกเขา โดยมีคุณป้าพนักงานทำความสะอาดเป็นคนนำขบวน!
สิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือข้างกลุ่มคนแก่ยังมีฝูงแมวจำนวนมาก…และคนที่นำหน้าฝูงแมวเหล่านั้นมาคือแมวดำซึ่งกำลังยืนกอดอกด้วยสองขาอยู่ สายตาของมันจ้องไปยังโจวเว่ย และข้างหลังแมวเหล่านั้นมีตำรวจอ้วนคนหนึ่ง
โจวเว่ยถึงกับเหงื่อตก…แปลว่านี่เขาโดนคน(แมว)เหล่านี้จับตามองมาตั้งแต่ต้น!
“จับไอสารเลวนั่น!” มาดามดงตะโกนเสียงดังพร้อมกับชี้นิ้วมายังเขา
แทบจะในทันที กลุ่มแมวและกลุ่มคนแก่กระโจนเข้าหาโจวเว่ย…
“…”
ข้างหลังพวกเขา หญิงสาวคนสวยยืนมองภาพตรงหน้าอย่างมึนงงในใจคิดว่า… ‘นี่พวกเขากำลังถ่ายหนังเรื่องTrain to Busan ภาคสองหรอ?!!’