The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 136
ตอนที่ 136 เสน่ห์ของความฝัน
เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่ม เมื่อเทียบกับเสียงของต้นฉบับ มันค่อนข้างจะขาดทางด้านประสบการณ์ แต่ก็เต็มไปด้วยความสดใสของวัยรุ่น
เพลงที่หวังลิ่งเลือกมานั้นมีชื่อว่า Old Boys ของ Chopstick Brothers
เพลงนี้พูดถึง ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธจากหญิงที่ตัวเองชอบ แสดงถึงความรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถย้อนกลับไปยังช่วงวัยรุ่น
หวังลิ่งชอบเพลงนี้มาก เขาจำได้ว่าเมื่อตอนที่เขาย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขามีโอกาสที่จะพูดกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เนื่องจากเหตุผลส่วนตัว เขาไม่ได้บอกอะไรออกไปจนกระทั่งถึงวันที่จบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนั้น
เป็นเพราะว่าเขากลัวที่จะทำร้ายเธอ
และขณะนี้เอง บรรยากาศโดยรอบร้านอาหารแห่งนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของเพลง “Old Boys” และเมื่อหวังลิ่งเริ่มต้นเปล่งเสียงออกมา ทั้งเจ้าของร้านทานและถังยุนหนิงก็ถูกเสียงของหวังลิ่งตกไปเป็นที่เรียบร้อย…
คนนี้แหละคือเด็กผู้หญิงที่ฉันหลงรักและเฝ้าคิดถึงทั้งเช้าและเย็น
แต่ฉันจะทำอย่างไรดี
เธอจะรับรักฉันไหม
บางทีฉันอาจจะไม่สามารถพูดคำนั้นออกไปได้
ฉันคงถูกกำหนดให้ต้องอยู่บนโลกเพียงลำพัง
ฉันรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก
ความฝันมันก็คงเป็นได้แค่เพียงความฝัน
บางทีฉันควรจะต้องยอมแพ้
ดอกไม้บานและหายไปในฤดูฝน
ไหนเล่าฤดูใบไม้ผลิ
วันวานช่างผ่านไปอย่างแสนรวดเร็ว
จากไปโดยที่ไม่มีวันหวนคืนและไม่มีโอกาสได้บอกลา
ทิ้งไว้แค่เพียงความเจ็บปวด
โดยที่ไม่ได้ร้องขอ
มองดูท้องฟ้าที่เต็มกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่น
ความสวยงามมักจะมีระยะเวลาสั้น
จะมีใครบ้างที่จำได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยสวยงาม…
นี่เป็นแค่เพียงท่อนแรกของเพลง แต่หวังลิ่งก็วางกีตาร์ลงหลังจากร้องมาถึงท่อนนี้ เจ้าของร้านทำสีหน้างุนงง ‘จบแล้วหรือ?!’
ในขณะที่หวังลิ่งเล่นเพลงนี้ เจ้าของร้านได้ค้นหาหาเนื้อร้องบนอินเทอเน็ต แต่ก็ไม่พบเพลงใดเลยที่มีเนื้อเพลงเหมือนเพลงนี้ นั่นจึงทำให้เขามั่นใจเลยว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เด็กหนุ่มคนนี้แต่งขึ้น
เด็กคนนี้อยู่แค่เพียงระดับมัธยมปลายชั้นปีที่หนึ่ง แต่เขานั้นมีทักษะในการเขียนเพลงได้ดีขนาดนี้…
ทั้งเจ้าของร้านทานและถังยุนหนิงรู้สึกชื่นชมหวังลิ่งด้วยใจจริง
พวกเขารู้ทันทีว่า มันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ภายใต้เพลงเพลงนี้
เพลงนี้เป็นเพลงที่พวกเขานั้นไม่เคยได้ยินมันมาก่อน แค่ได้ฟังบางส่วนของเพลงนั้นก็ทำดาเมจรุนแรงได้ถึงขนาดนี้!
เจ้าของร้านได้ตกเป็นแฟนคลับของหวังลิ่งไปเรียบร้อยแล้ว ‘หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นอัจฉริยะอย่างที่พ่อของเขาบอก’
“…”
มีเพียงหวังลิ่งที่รู้ว่าเขาไม่ใช่อัจฉริยะเลย…เขาไม่ได้เขียนเพลงเองเสียด้วยซ้ำ เขาแค่ก๊อปเพลงมาจากที่อื่นที่เขาได้ยินผ่านวิชาหูทิพย์ของเขามาแค่นั้น
หวังลิ่งวางกีตาร์ลงไปยังที่เก่า และค่อยๆเดินกลับไปยังโต๊ะของเขาเพื่อทำการกินบะหมี่ส่วนที่เหลือ ด้วยลักษณะนิสัยของหวังลิ่งที่วางตัวเรียบง่ายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้ถังยุนหนิงรู้สึกประหลาดใจ
‘…คนคนนี้เป็นใครกัน’
ถังยุนหนิงรู้สึกเศร้าและผิดหวัง เขาทิ้งหัวลงเพราะรู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง… ก่อนที่เขาจะเริ่มเรียนเกี่ยวกับดนตรีเขายอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งครอบครัวของตนเอง เขาขโมยเงินจากการจำนองที่ดินไปจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน ซึ่งจริงๆแล้วเงินจำนวนนี้ถูกเก็บไว้สำหรับเขาเพื่อใช้ในการแต่งงาน และเมื่อเขาถูกจับได้เขาจึงถูกทางครอบครัวตัดขาดไม่ช่วยเหลือด้านการเงินอีก และเพราะเหตุนั้นเองเขาจึงกลายมาเป็นนักดนตรีเร่ร่อน
มันดูเหมือนว่าเขาได้ทำบางสิ่งบางอย่างพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย
ถ้าหากเขายอมเชื่อฟังพ่อแม่ของเขา ไม่ใช้เงินจำนองที่ดินอันนั้น ป่านนี้เขาคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับภรรยาของเขาไปแล้ว เขาจะมีบ้านใหม่หลังใหญ่และบางทีอาจจะกำลังเล่นกับลูกๆอยู่…เขาอาจจะมีอาชีพการงานที่ดีและมั่นคงกว่านี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ถังยุนหนิงรู้สึกว่าเขาเลือกทางเดินผิด
‘เขาจะไปต่อดีไหม?’
หลังจากได้ฟังหวังลิ่งร้องเพลง เขาก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจัง
“นายทำเงินได้แค่ไหนต่อหนึ่งวัน” จู่ๆพ่อของหวังลิ่งก็ถามขึ้นมา
ถังยุนหนิงเกาหัวอย่างอายๆ “ก็…มันขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นฝนตกหรือเปล่า ถ้าหากฝนตกผมก็จะไม่ได้เงินเลย ผมแค่ต้องการให้ทุกคนให้เงินผมเพราะชอบเพลงของผม ไม่ใช่เพราะรู้สึกสงสารในตัวผม”
“…” และทุกคนในร้านก็ตกอยู่ในความเงียบ
ถังยุนหนิงลูบกีตาร์ของเขาพร้อมกับน้ำคลอเบ้า “ก่อนหน้านี้ผมคิดว่า ด้วยความสามารถของผม ผมคงจะผ่านเข้ารอบการแข่งขัน… เพราะผมมีแค่ดนตรีเพียงอย่างเดียวในชีวิต”
“แปลว่านายจะเดินทางสายนี้ต่อสินะ” พ่อของหวังลิ่งถามย้ำ
เด็กหนุ่มส่ายหัว “ผมไม่รู้”
“นายไม่รู้นั่นแปลว่านายยังคงอยากที่จะทำมันต่อ”
พ่อของหวังลิ่งเลิกคิ้วขึ้น เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ยังคงดื้อดึง ใครก็ตามที่โดนเค้าต่อว่านั้นมักจะยอมแพ้ไปตั้งแต่แรก แต่ก็นั่นแหละยังมีบ้างที่ทนคำพูดของเขาได้ อย่างเด็กหนุ่มคนนี้เขายังคงไม่อยากจะยอมแพ้ในสิ่งที่เขาเลือก
“แล้วนายคิดยังไงกับเพลงของลูกของฉันเมื่อสักครู่”
“เพลงนั่นมันเยี่ยมมากเลย!”
ถังยุนหนิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและเศร้าในเวลาเดียวกัน “ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถเขียนเพลงแบบนั้นได้…”
“นายรู้แล้วหรือยังว่าทำไมนายถึงพลาดในการประกวดนั่น มันอาจจะเป็นเพราะเพลงที่นายเลือกก็ได้” พ่อของหวังลิ่งถามย้ำกลับไป
หวังลิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าทัศนคติของพ่อเขาที่มีต่อเด็กหนุ่มเริ่มเปลี่ยนไป จากก่อนหน้านี้ที่คอยพูดลดทอนกำลังใจกลับกลายมาเป็นการพูดด้วยสาระและเหตุผล พ่อของหวังลิ่งนั้นเป็นคนที่เก่งในด้านการสรรหาคำพูดมาใช้ หนำซ้ำเขายังมีความเป็นผู้นำในตัวค่อนข้างสูง… หวังลิ่งเคยเห็นพ่อของเขาชักจูงคนที่อ่านนิยายเถื่อนของเขาให้กลับมาอ่านนิยายที่วางขายอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกครั้ง
ถังยุนหนิงกระพริบตาปริบๆ “คุณอาจารย์หมายความว่ายังไง”
“อย่าเรียกฉันว่าอาจารย์เลย มันฟังดูแปลกๆ เรียกฉันว่าคุณลุงก็พอ” พ่อของหวังลิ่งโบกมือ “ฉันหมายความว่า ถ้าหากนายไม่รังเกียจเพลงของลูกชายฉัน หากฉันจะขายให้นายหล่ะเป็นไง”
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “คุณลุง… คุณหมายความว่าคุณจะขายเพลงเพลงนั้นให้กับผม?”
แต่ก็แทบจะในทันทีเด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า “แต่คุณลุง…ผมไม่มีตังนะ”
เพลงที่มีคุณภาพดีแบบนี้หาได้ยากในยุคปัจจุบัน ถังยุนหนิงรู้สึกว่าเพลงของหวังลิ่งนั้นสามารถเรียกราคาได้ค่อนข้างสูงถ้าหากขายให้กับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่
พ่อของหวังลิ่งหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบและจุดไฟ “ทั้งตัวนายมีเท่าไร?”
ถังยุนหนิงค้นหาเงินทั้งตัวและเอามากองไว้บนโต๊ะ ทั้งหมดรวมได้แค่เพียง สามสิบสามหยวน และเศษเจ็ดเซ็น
ถังยุนหนิงมองไปยังพ่อของหวังลิ่งสลับกับมองไปยังกีตาร์คู่ใจของเขา เขาก้มลงจูบกีตาร์ของเขาทีนึงก่อนจะพูดขึ้น “คุณลุง…ถ้าหากไม่รังเกียจ…”
“ไม่” พ่อของหวังลิ่งตอบกลับทันทีโดยที่ไม่ทันแม้แต่จะฟังเด็กหนุ่มพูดจนจบ
“…”
“ฉันจะเอากีตาร์ของนายไปทำไม? มันกินได้หรอ? ไม่ใช่ว่านั่นคือเส้นเลือดใหญ่ของนายรึไง? คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้าหากขาดเพื่อนคู่ใจไปแบบนั้น”
และเมื่อพูดจบเขาจึงหันไปมองเจ้าของร้านบะหมี่ “บอสทาน คุณมีกระดาษกับปากกาไหม”
เจ้าของร้านบะหมี่พยักหน้า “มี”
พ่อของหวังลิ่งนั้นมีความจำที่ดี และเขาก็พอจะมีความรู้ทางด้านดนตรีอยู่บ้าง เขานั้นจำเนื้อเพลงและทำนองเพลงที่หวังลิ่งร้องได้หมดแล้ว และถึงแม้ว่าเขาจะจำผิดหวังลิ่งก็สามารถช่วยเขาแก้ไขผ่านการบอกทางโทรจิตได้อยู่ดี…
ด้วยการเขียนที่ลื่นไหลตามสไตล์หวังสิถู เขาเขียนเนื้อเพลง “Old Boys” ลงบนกระดาษจนเสร็จ และเขียนอะไรบางอย่างลงไปก่อนที่จะปิดฝาปากกา
เขายื่นกระดาษแผ่นนั้นไปให้ถังยุนหนิง “สิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดของความฝันนั่นก็คือ มันสามารถกลับมาสานต่อได้ ไม่ว่านายจะล้มเหลวมากี่ครั้งแล้วก็ตาม”
ถังยุนหนิงจับกระดาษแผ่นนั้นมาด้วยมือที่สั่นเทิ้ม
พ่อของหวังลิ่งพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นรูปมังกรกินหาง และหยิบเอาสามสิบสามหยวนเจ็ดเซ็นบนโต๊ะมา และวางลงบนมือของเจ้าของร้าน “ค่าบะหมี่สองชามสามสิบหยวน ไม่ต้องทอน”
หลังจากนั้นทั้งคู่และสุนัขหนึ่งตัวก็เดินออกจากร้านไป ปล่อยให้เจ้าของร้านยืนถือเงินจำนวนสามสิบสามหยวนเจ็ดเซ็นด้วยความงุนงง
…………………………………..
หลังจากหวังลิ่งเทเลพอร์ททุกคนกลับมาบ้าน พ่อของเขาก็เดินไปนอนบนโซฟาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ “แม่ของแกน่ะใช้เงินของพ่อหมดเลย พวกเราต้องประหยัดเงินให้ได้มากที่สุดภายในช่วงนี้”
“…”
พ่อของหวังลิ่งมองหวังลิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง “ดูสิด้วยความฉลาดของพ่อ พ่อสามารถประหยัดเงินค่าบะหมี่สองถ้วยได้ พ่อแค่อยากจะสอนให้แกรู้ว่าความตระหนี่มันเป็นยังไง”
“…”