The Daily Life of the Immortal King - ตอนที่ 178
ตอนที่ 178 เคล็ดลับเพิ่มความสูง
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นภายในหนึ่งคืน หวังสิ่งอัพเกรดวิชาเกราะป้องกันขั้นสูง เทพมือระเบิดได้เปิดอกพูดคุยกับเจ้าของร้านบะหมีทางซิมมิ่ง กว่าทั้งสองจะพูดคุยเสร็จเขากวางและซุปสลัดแมงกะพรุนสนก็เย็นหมดแล้ว ค่าอาหารทั้งหมดอยู่ที่ 419 หยวน…อาหารจานนี้เป็นอาหารที่แพงที่สุดแล้วในบรรดาอาหารจานธรรมดาของร้านห้องอาหารยามเที่ยงคืน
เทพมือระเบิดเดินทางกลับบ้านในตอนรุ่งสาง
ในตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มสว่างและดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงผ่านก้อนเมฆตรงขอบฟ้า แสงของมันส่องกระทบใบหน้าของชายผู้หนึ่งซึ่งกําลังยืนอยู่บนกระบี่บิน แต่ทว่าใบหน้าของเขานั้นกลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเลยนับตั้งแต่ออกมาจากห้องอาหารยามเที่ยงคืน
หอคอยอมตะ…
จากคําบอกเล่าของทานซิมมิ่งเทพมือระเบิดได้ยินชื่อองค์กรนี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเขาเคยได้จากปากของผู้หญิงที่ชื่อว่าอายูซึ่งเป็นลูกจ้างของปราสาทตระกูลโม่
ในตอนนั้นเขายังไม่รู้รายละเอียดขององค์กรนี้เท่าไรนัก หลักจากที่เขากลับไปถึงบ้าน เขาเริ่มทําการค้นหาข้อมูลขององค์กรที่ชื่อว่าหอคอยอมตะ แต่ทว่ากลับไม่พบเบาะแสอะไรเลย
มันไม่ใช่สานักที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับทางรัฐบาล แปลว่ามันต้องเป็นสํานักซึ่งอยู่ฝ่ายอธรรม
ทานซิมมิ่งนั้นดูเหมือนจะเคยอยู่ในองค์กรหอคอมอมตะมาก่อน แม้ว่าเทพมือระเบิดยังไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แน่ชัดระหว่างทานซิมมิ่งและหอคอยอมตะ ด้วยสัมผัสที่หกของเขาบอกว่าเขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับองค์กรนี้ในสักวันหนึ่ง
เขาขบคิดแต่เรื่องนี้ตลอดเวลาขณะที่เขาเดินทางกลับไปยังที่พักของเขา
ข่าวขององค์กรเงาสายธารนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นทางรัฐบาลหรือทางโลกโซเชียลพวกเขามักจะสนใจเรื่องพวกนี้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ
ตลอดช่วงระยะเวลานั้น ประชาชนจะตั้งหน้าตั้งตาค้นหาข้อเท็จจริงและแสดงความคิดเห็นอย่างบ้าคลั่ง ที่แย่ไปกว่านั้นคือบรรดาสื่อทั้งหลายจะใช้ทั้งข่าวจริงและข่าวลือสร้างกระแสเพื่อทําให้ยอดผู้เข้าชมของตนเองสูงขึ้น
แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์นักโทษแหกคุก หรือมีทหารเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ หรือข่าวเครื่องบินสูญหายเมื่อหลายปีก่อน….บ้างก็แสดงความคิดเห็นเฉยๆ บ้างก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาล่วงเลยทุกคนจะหันเหไปสนใจในเรื่องใหม่เรื่องอื่น และท้ายที่สุดก็จะไม่มีใครสนใจเรื่องราวเหล่านั้นอีกต่อไป
หวังสิ่งเข้าใจเรื่องนี้ดีจากประสบการณ์ตรง เหตุการณ์ล่าสุดคือเรื่องของแม่ของเขา ในระยะเวลานั้นบรรดาบล็อกเกอร์ (Blogger)ต่างพากันทําคู่มือป้องกันการถูกลวนลามสําหรับผู้หญิงภายหลังจากที่เรื่องนี้ได้ตกเทรนด์ไปแล้ว ผู้คนก็ลืมเลือนไปและไม่พูดถึงมันอีกเลยตามกาลเวลา
วันนี้หัวข้อที่นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งห้องสามกําลังพูดถึงกันนั่นก็คือ เรื่องการเข้าค่ายฝึกทหารของพวกเขา
หวังลิ่งไม่คาดคิดว่าข่าวเหล่านี้ ทางต้นข่าวจะมาจากเหอบู่ฟงและถังจิงเสอ
พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนมัธยมอันดับที่60แค่เพียงไม่นาน แต่ดูเหมือนสองคนนี้จะปรับตัวได้รวดเร็ว ไม่นานพวกเขาก็เข้าแก๊งนักเรียนชายของห้องสามไปเป็นเรียบร้อย
หวังสิ่งคิดว่าทั้งสองคนนั้นคงติดโรคติดต่อร้ายแรงเข้าให้แล้ว..โรคติดต่อที่ว่านั่นก็คือโรคช่างเม้าของพวกเขานั่นเอง
ไม่จําเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความ พวกเขาต้องติดโรคติดต่อนี้มาจากกัวหาวอย่างแน่นอน หวังสิ่งนั้นคิดว่าไอโรคนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าไข้หวัดเสียอีก เขาไม่ได้เว่อนะ!
“ฉันได้ยินข่าวการฝึกทหารนี้มาจากรุ่นพี่บางคนที่กําลังจะจบการศึกษา”
ในระหว่างคาบว่างช่วงเช้า เหอบู่ฟงนั่งอยู่ที่โต๊ะของเขาและเลื่อนอ่านข้อมูลบางอย่างในมือของเขา เด็กนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งห้องสามทั้งหมดยืนล้อมรอบตัวเขา หวังลิ่งเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองและคอยสังเกตจากไกลๆ
“นายใช้เงินไปกับข้อมูลพวกนี้ฉันหรอ?” กัวหาวถามขึ้นอย่างสงสัย
“ปาว”
เหอบู่ฟงส่ายหัว “ฉันแค่ให้คําสัญญาว่า ถ้าหากพวกเขาจบไปแล้ว พวกเขาสามารถนําเอาบัตรนักเรียนไปยังโรงพยาบาลของครอบครัวฉัน เพื่อทําการผ่าตัดเพิ่มความสูงฟรี…แต่การผ่าตัดนี้จํากัดแค่เพศชายเท่านั้น และนี่เป็นโครงการล่าสุดที่ทางโรงพยาบาลของฉันกําลังขอยื่นสิทธิบัตร”
หรือจะให้พูดว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจธรรมดา – เพิ่มส่วนสูงแลกกับข้อมูล
“แล้วมันได้ผลจริงๆงั้นเรอะ?” เห็นเฉาถามด้วยความสงสัย
“ถ้าพูดกันตามหลักพันธุกรรม ความสูงของคน คล้ายกับอัจฉริยภาพของผู้ฝึกตน มันถูกกําหนดไว้ตั้งแต่เกิด แม้ว่าผู้ฝึกตนจะไม่สามารถเพิ่มความสูงตัวเองได้ผ่านการฝึกฝน ยาเพิ่มความสูงนั้นก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด ยาตัวนั้นสามารถเพิ่มความสูงได้แค่เพียงครึ่งเดือนและมีราคาแพง”
เสี่ยวหัวเฉิงคอตกทันทีที่เหอบู่ฟังพูดจบ
“แต่เทคโนโลยีทุกวันนี้นั้นก้าวหน้าไปมาก มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเพิ่มความสูงขึ้นหนึ่งถึงสองเซ็น แผนกผ่าตัดที่โรงพยาบาลของฉันนั้นไว้ใจได้ ผลก็คือมันสามารถเพิ่มส่วนสูงได้อย่างถาวรและไม่มีผลข้างเคียง แต่นายจะต้องรอจนกว่าจะเรียนจบจากมัธยมปลาย เพราะนายจะสามารถใช้ช่วงเบรกสองปีได้อย่างเต็มที่” (ในต่างประเทศบางประเทศจะเปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิ์ทําอะไรก็ได้ก่อนที่จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาครับ)
เสียวหัวเฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างสนใจ “มันเป็นยังไงหรอ?”
“นายจะต้องโดนยาชา จากนั้นพวกเราจะมีที่มหักกระดูกสองคนคอยทุบทั้งสองของนาย ถ้าจะให้ดีที่สุดคือกระดูกของขาทั้งสองต้องแหลกละเอียด หลังจากนั้นเราจะฉีดยาเพิ่มความสูงซึ่งถูกคิดค้นโดยโรงพยาบาลของฉันเข้าไปในกระดูกที่แตก และใส่ผงบํารุงกระดูกของเยอรมันลงไปปิดปากแผล…ใช่แล้วสิ่งที่จําเป็นที่สุดของการผ่าตัดครั้งนี้คือต้องทุบขาทิ้ง!”
ทุกคน: “…”
เหอบู่ฟง: “ยิ่งแตกเยอะยิ่งดี แต่ห้ามแตะต้องเส้นประสาทเด็ดขาด คนที่หักขาของนายนั้นถูกฝึกให้ทําลายกระดูกขาเป็นพิเศษจากโรงพยาบาลของฉัน”
เซ็นเฉายกมือปิดหน้าตัวเองและหัวเราะแห้ง “โหดเกินไปละมั้ง!”
“นั่นคือเหตุผลว่าทําไมถึงทําได้แค่ในผู้ชาย ขาของเด็กผู้หญิงนั้นเล็กเกินไป ดังนั้นมันจึงยากที่จะควบคุมแรง?” เหอบู่ฟงอธิบาย
กัวหาว: “ฉันแค่อยากจะรู้ว่า คนที่ยอมตกลงแลกเปลี่ยนกับนาย พวกเขารู้ไหม?”
เหอบู่ฟงยักไหล่ “แน่นอนว่าไม่”
กัวหาว: “นายจะไม่เป็นอะไรงั้นเหรอ ถ้าหากพวกเขารู้ความจริง?”
เหอบู่ฟังแตะไหล่ของก๊วหาว “ไม่ต้องเป็นห่วง..กว่าพวกเขาจะรู้ตัวขาพวกเขาคงแตกละเอียดไปแล้ว!”
หวังสิ่งไม่เคยรู้สึกกลัวเหอบู่ฟังมาก่อน…จนถึงตอนนี้
เหอบู่ฟงได้ทําการอ่านข้อมูลเหล่านี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว “ให้ฉันอธิบายคอนเทนท์การฝึกใหม่ของกองทัพสั้นๆง่ายๆ นอกเหนือไปจากการฝึกซ้อมทั่วไป ยังมีการแข่งขันเซอร์ไววอล(Survival)ประเภททีมอีกด้วย”
หลินเสี่ยวหยู: “หา การแข่งขันแซนด์วอชชิ่ง (Sand-washing)? พวกเราจะต้องไปเล่นโคลนกันหรือ?!” [ในการออกเสียงของครจีน Sand-washing กับ Survival นั้นคล้ายกัน…ผู้แปล]
“เซอร์ไววอล ไม่ใช่ แซนด์วอชซิ่ง”
เหอบู่ฟงอธิบายต่อ “การแข่งขันเซอร์ไววอลนี้ พวกเราจากโรงเรียนทั้งหกโรงเรียนจะต้องแบ่งทีมกัน โดยที่สองโรงเรียนจะจับพันธมิตรกันเป็นหนึ่งทีม และทั้งหมดสามทีมจะต้องลงไปต่อสู้กันในโปรแกรมจําลองการต่อสู้ คนที่เหลือรอดสิบคนจะเป็นผู้ชนะของการแข่งขันนี้”
หลังจากเหอบู่ฟังพูดจบ ถึงจิงเสอก็มองไปรอบๆห้องและพูดขึ้นว่า “ครั้งนี้โรงเรียนของพวกเรา โรงเรียนมัธยมอันดับที่59และโรงเรียนมัธยมอันดับที่60 จะจับมือกันเป็นพันธมิตรและต่อสู้กับสี่โรงเรียนที่เหลือ!”