The Dark King – กษัตริย์แห่งความมืด - ตอนที่ 643
The Dark King – Chapter 643 ความศรัทธา
เมื่อได้ยินเสียงของเทียนที่พูดพึมพําอยู่กับตัวเองคอของราชันย์โลกใต้ดินก็ขยับไปมาและดิ้นรนอย่างรุนแรง แต่เนื่องจากแรงอันมหาศาลที่กดศีรษะของเขาเอาไว้ทําให้สามารถทําได้เพียงหายใจอย่างรุนแรงออกมาด้วยความทรมาณเท่านั้น
“ผมหวังว่าพวกคุณจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี … “เทียนจ้องไปที่หลุมศพขนาดเล็กอยู่ชั่วครู่จากนั้นเขาค่อยๆมองลงมายังฝ่ามือที่จับศีรษะของราชันย์โลกใต้ดินเอาไว้และขยับฝ่ามือลงมาบีบคอของเขาแน่น
ทันใดนั้นราชันย์โลกใต้ดินที่ดิ้นไปมาก็หยุดนิ่งทันที
“แกร็ก… “เสียงแตกของกระดูกดังขึ้น ลําคอของราชันย์โลกใต้ดินที่ถูกบีบอย่างรุนแรงจนลําคอมีรูปร่างเปลี่ยนไปดูคล้ายกับนาฬิกาทราย เสียงของเขาค่อยๆหยุดลงและร่างกายของเขาก็แน่นิ่งไป
เทียนปล่อยมือของตนเองลุกขึ้นอย่างช้าๆและมองย้อนกลับไปเพื่อดูการต่อสู้ของเซอร์กี้และคนอื่นๆ
การต่อสู้ได้จบลงไปแล้วเซอร์กี้กําลังจับตัวผู้ติดตามทั้งสี่คนของราชันย์โลกใต้ดินเข้ามาในป่า
“คุกเข่าลง” เทียงพูดอย่างเฉยชา
เซอร์กี้และคนอื่นๆเหลือบมองไปที่พื้นดินที่นูนขึ้นมาขนาดเล็กและรู้ได้ในทันทีว่านี่คือสุสานพ่อแม่บุญธรรมของเทียนเซอร์กี้ผลักชายทั้งสี่และบังคับให้พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าสุสานทันทีเมื่อทั้งสี่เห็นราชันย์โลกใต้ดินคุกเข่าพวกเขาไม่กล้าต่อต้านและคุกเข่าลงทันที
เทียนมองทั้ง 4 คนอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ทําท่าทางบางอย่างให้เซอร์กี้และคนอื่นๆจากนั้นเทียนก็จูงไอช่าออกมาและหันหลังให้กับป่าแห่งนี้
เซอร์กี้รับรู้ได้ในทันที เขาจัดการกับร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพอย่างรวดเร็วและเสียงกรีดร้องก็ดังกึกก้องไปทั่วป่า
เมื่อออกมาจากป่าเทียนก็เดินตรงมาที่รถม้าที่จอดรออยู่ เมื่อมาถึงรถม้าก็พบกับกาเบรียลที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อมากมายเทียนพูดออกไปว่า “นายกลัวเหรอ?”
กาเบรียลกลืนน้ําลายลงคอและส่ายหัว “ไม่ครับ ผมไม่กลัว”
เทียนเข้าไปภายในรถม้าและลดม่านลง
เซอร์กี้ เกล็นและคนอื่นต่างพากันออกมาจากป่าและขึ้นไปขี่ม้าทันที
เทียนออกคําสั่งมาจากด้านหลังม่าน “ไปที่มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อได้ยินที่เทียนพูดเซอร์กี้เกล็นและคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึง เซอร์กี้พูดออกมาว่า “นายท่านมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นสํานักงานใหญ่ของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นายท่านจะไปจัดการกับสมเด็จพระสันตะปาปาตอนนี้เลยหรอครับ?”
“นายต้องเลือกวันมงคลในการจัดการกับเขาอย่างนั้นหรอ?” เทียนกล่าว
เซอร์ก็พูดว่า “นายท่านผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ ตอนนี้เป็นเวลาค่ํามากแล้ว …”
“ถ้านายรู้สึกเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนได้”
เซอร์กี้เหงื่อตกและพูดออกมาว่า “นายท่านผมหมายถึงโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นทรงพลังมากกว่าโบสถ์แห่งความมืดมากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นสํานักงานใหญ่ของพวกเขาที่มีอัศวินแห่งแสงอยู่นับไม่ถ้วนพวกเรามีกันเพียงไม่กี่คนผมคิดว่าเราควรกลับไปตั้งหลักและรวบรวมกําลังพลมาให้ได้มากที่สุดก่อนจะดีกว่าครับ”
“การให้เวลาในการหายใจของศัตรูคือการลดเวลาในการหายใจของพวกเรา” เสียงของเทียนพูดออกมาอย่างสงบ “ฉันได้วางแผนไว้แล้วไม่จําเป็นต้องพูดอะไรอีก กาเบรียลออกเดินทางได้”
“ครับนายท่าน”
เซอร์กี้ เกล็นและคนอื่นๆต่างมองหน้ากันพวกเขาไม่คิดว่าเทียนจะกระตือรือร้นที่จะทําสิ่งต่างๆโดยไม่หยุดหย่อนหมายความว่าเทียนตั้งใจจะควบคุมกองกําลังที่แข็งแกร่งที่สุดของพื้นที่กําแพงชั้นนอกภายในคืนนี้อย่างนั้นหรอ? !
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ตั้งสํานักงานใหญ่ของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความงดงามอันศักดิ์สิทธิ์
ภูเขามีความสูง 580 เมตร มีดอกไม้หิมะสีขาวที่เบ่งบานอยู่ทั่วภูเขาทั้งลูกเต็มไปด้วยความสดใสเปล่งประกายและสวยงามในฤดูหนาวหิมะสีดํา ในฤดูฝนที่มีฝนตกชุกมันก็ค่อยๆเลือนหายไปและถูกกัดเซาะด้วยละอองฝน
ที่เชิงเขาของภูเขาศักดิ์สิทธิ์มีถนนที่สามารถรองรับรถม้าแปดคันได้ในเวลาเดียวกันเป็นถนนที่กว้างขวางที่สุดในพื้นที่กําแพงชั้นนอกพื้นดินถูกปูด้วยก้อนอิฐสีขาวราวกับถูกหิมะปกคลุมเมื่อยามราตรีแสงจากดวงดาวและดวงจันทร์ก็สาดส่องลงมากระทบพื้น แม่ในเวลากลางคืนทั่วทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสีขาวสว่างไสวอันบริสุทธิ์
เสียงรถม้าสั่นสะเทือนดังกึกก้อง ไม่นานรถม้าก็หยุดที่จัตุรัสด้านนอกเนินภูเขาศักดิ์สิทธิ์และเทียนก็ยก ม่านขึ้นและพยุงไอช่าลงมา
“นายท่านจะบุกเข้าไปจริงๆหรอครับ?” เมื่อเซอร์กี้มองดูภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่าน เขารู้สึกว่าที่แห่งนี้เป็นรังของสัตว์ร้ายมากมาย จะต้องมีกองทหารจํานวนมากมายขนาดไหนถึงจะเอาชนะได้
เทียนมองขึ้นไปบนภูเขาและพูดออกมาว่า “พวกนายกลับไปก่อน ฉันจะบุกเข้าไปคนเดียว”
เซอร์กี้ เกล็นและคนอื่นๆเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นายท่านจะไปคนเดียวหรอครับ? “ให้พวกเราตามไปด้วยไหมครับ…”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะไปกับฉัน” เทียนพูด “เมื่อพวกนายเจอกับทหารลาดตระเวนบนท้องถนนให้แสดงตราสัญลักษณ์ของตระกูลมิลานออกไป”
หลังจากเทียนพูดจบเขาก็จูงมือไอช่าเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ ร่างของทั้งสองก็ค่อยๆหายลับไปจากสายตา
ที่ประตูของภูเขามีรูปปั้นเทวดาสองรูปตั้งอยู่ รูปปั้นมีความสูงแปดเมตรมีปีกสีขาวบริสุทธิ์ราวกับขนนกที่ละเอียดอ่อน บริเวณใต้รูปปั้นเทวดามีอัศวินแปดคนกําลังยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตู เวลากลางคืนที่มืดสนิทนี้มีเพียงเสียงหญ้าที่พริ้วไหวตามสายลมและเสียงกบที่ร้องประสานเสียงกัน
แม้ว่าอัศวินทั้งแปดจะได้หลับพักผ่อนตอนกลางวันแล้วแต่พวกเขายังรู้สึกง่วงนอนอยู่ อัศวินต่างนั่งล้อมวงดื่มและพูดคุยกัน
ฟื้ว!
เสียงสายลมพัดผ่านจากระยะไกลดังขึ้น
หนึ่งในอัศวินที่นั่งดื่มได้ยินการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เขาหันหลังและเหลือบมองไปตามเสียง แต่แสงจากดวงดาวและดวงจันทร์ถูกเมฆบดบังทําให้พื้นที่รอบๆเต็มไปด้วยความมืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เมฆก็ปลิวลอยไปตามสายลมเผยให้เห็นกอหญ้าที่ยุบลงไปและไม่มีอะไรบนพื้นหญ้า
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้อาวุโสเรย์” ชายอีกคนหนึ่งตะโกน
เขาขยี้ตาและส่ายหัว “ไม่มีอะไรฉันคงตาฝาด เหมือนว่าจะมีคนเพิ่งเดินผ่านพวกเราไป”
“ผู้อาวุโสเรย์คุณดื่มมากเกินไปแล้ว ใครจะกล้ามาหาเรากลางดึกแบบนี้?”
“แม้แต่พวกโบสถ์แห่งความมืดยังไม่กล้าโจมตีสํานักงานใหญ่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเลยคุณต้องเมาแล้วแน่ๆ!”