The Divine doctor : ชายาข้าคือแพทย์เทวะ - ตอนที่ 729-730
ตอนที่ 729 การแก้แค้นจากตระกูลเหยา
ตอนที่729 การแก้แค้นจากตระกูลเหยา
เจ้าหน้าที่ในราชสำนักปัจจุบันตระกูลใดที่ไม่มีรายได้พิเศษจากแหล่งอื่น ? แม้แต่เฟิงจินหยวนก็ยังมีธุรกิจเล็ก ๆ แน่นอนว่าตระกูลเฟิงส่วนใหญ่พึ่งพาตระกูลเฉินเพื่อรับการสนับสนุน แต่หลู่ซ่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนปัจจุบันนั้นพึ่งพาธุรกิจของเขาอย่างเต็มที่ในการดำเนินงานและสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดของตระกูลหลู่ รวมถึงอาชีพของเขา
ตั้งแต่ต้นตระกูลหลู่ไม่ได้ตั้งใจจะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับองค์ชายแปดด้วยบุตรสาวสามคน พวกเขาได้มุ่งไปที่ตระกูลเหยาและตระกูลเรินแล้ว มันน่าเสียดายที่ความรอดเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเขาคือองค์ชายแปด หลู่ซ่งเป็นคนที่ไม่อาจถือว่าโง่ได้ เขารู้ว่าตำแหน่งของเขาในฐานะเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่มั่นคง อันที่จริงแล้วตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่เคยมั่นคง ดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของตระกูลหลู่ในขณะที่เขายังคงมีอำนาจ ด้วยสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาจะต้องคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากหลู่ซ่งและเก้อซื่อพูดคุยกันพวกเขาตัดสินใจรวบรวมธุรกิจทั้งหมดของตระกูลหลู่จากทั่วทุกมุมในภาคใต้ ตระกูลหลู่จะแสดงจุดยืนอย่างถี่ถ้วนและสนับสนุนองค์ชายแปดอย่างเต็มที่ พวกเขาจะวางหมากทั้งหมดของพวกเขาไว้กับองค์ชายแปดด้วยความหวังว่าจะให้ตระกูลรุ่งเรืองบนหลังของหลู่ซื่อ* ในเวลาเดียวกันพวกเขาใช้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระสนมหยวนชูเพื่อเชิญยายจากพระราชวังมาสอนหลู่หยานเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของพระราชวัง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้หลู่หยานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก
ตระกูลหลู่จัดประเภทธุรกิจของครอบครัวของพวกเขาใหม่เป็นความลับแม้แต่หลู่หยานก็ไม่ทราบรายละเอียด แม้แต่คนที่รับผิดชอบธุรกิจเหล่านั้นก็ยังคงปิดปากเพราะพวกเขาดำเนินการตามคำสั่งของหลู่ซ่งอย่างเงียบ ๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจของตระกูลหลู่อย่างรวดเร็ว และสิ่งที่เรียกว่าเร็วจริง ๆ ค่อนข้างรวดเร็ว ธุรกิจจำนวนมากเสร็จสิ้นการเคลื่อนไหวภายในหนึ่งเดือน เริ่มต้นจากเมืองหลวงและไปภาคใต้ พวกเขาขยายไปจนถึงทางใต้สุดของหลานโจว พวกเขาเริ่มขยายสู่ทะเลทราย
อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับตระกูลหลู่ที่กำลังชื่นชมยินดีเช่นเดียวกับที่หลู่ซ่งเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะพัฒนาในลักษณะที่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ธุรกิจของตระกูลหลู่ก็เริ่มประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ! ยิ่งกว่านั้นความสูญเสียครั้งใหญ่เหล่านี้เริ่มต้นจากภาคใต้และมุ่งหน้าไปภาคเหนือ และสิ่งนี้ทำให้ตระกูลหลู่ไม่ได้เตรียมตัวไว้
ราวกับว่าอีกฝั่งหนึ่งกำลังต่อต้านตระกูลหลู่และเป็นเหมือนก้อนหินที่กำลังทำลายล้าง การเปิดร้านในแต่ละวันมันเป็นการต่อสู้ทุกวัน ในสามวันเมืองถูกนำตัวลง จากชายแดนภาคใต้จะส่งเข้าเมืองหลวงทีละน้อย มันกลายเป็นความเสียหายมากขึ้น และเร็วขึ้น ในที่สุดไม่กี่เดือนต่อมาธุรกิจของตระกูลหลู่ทั้งหมดก็ถูกทำลาย ! เงินทุนทั้งหมดของพวกเขาย่อยยับ แม้แต่คนที่รับผิดชอบในการดูแลธุรกิจก็ออกจากตระกูลหลู่ทั้งสมัครใจหรือถูกจับกุมโดยทางการด้วยข้อหาทุกประเภท เครือข่ายข้อมูลที่หลู่ซ่งใช้เวลาหลายปีในการสร้างถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเขาต้องการได้รับข้อมูลบางอย่าง เขาก็ไม่สามารถทำได้ ตราบใดที่คนของเขาออกจากเมืองหลวง พวกเขาจะขาดการติดต่อทันที ไม่มีแม้แต่คนเดียวของเขาที่จะทำเรื่องนี้ หลู่ซ่งพยายามไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้ข้อมูลกลับคืนมาเลย
ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์เขาเริ่มรู้สึกกลัว เขาเริ่มไตร่ตรองอย่างแม่นยำว่าเกิดอะไรขึ้น คำพูดของเก้อซื่อย้ำเตือนเขาว่า “รีบไปขอความช่วยเหลือจากพระสนมหยวนชู ตระกูลหลู่ของเราอยู่ในความมืด แต่พระสนมหยวนชูและฝ่ายองค์ชายแปดก็ไม่อาจถูกตัดขาดได้เช่นกัน ขอให้พระสนมหยวนชูช่วยสอบถามให้”
ดังนั้นหลู่ซ่งจึงเข้าไปในพระราชวังและจบลงด้วยการพูดคุยกับพระสนมหยวนชู “หลู่ซ่ง ! ด้วยสถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่ เจ้ายังคงมีความกล้าที่จะค้นหาสิ่งนี้ ? บุตรสาวของตระกูลหลู่ของเจ้าทำผิดอย่างมหันต์และทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง ตอนนี้เจ้ากำลังได้รับการแก้แค้น แต่เจ้ายังมีหน้าที่จะขอให้ข้าช่วย ? เจ้าต้องรู้ว่าด้วยความกดดันของอีกฝ่าย องค์ชายแปดได้สูญเสียธุรกิจไปสามในสิบส่วน ! ”
หลู่ซ่งไม่สามารถคุกเข่าได้อีกต่อไปในขณะที่เขาล้มลงกับพื้น เขามองพระสนมหยวนชูอย่างว่างเปล่า และพยายามถามหลังจากเงียบไปนาน “พนะสนมหมายความว่าคนที่ทำร้ายเราคือ…ตระกูลเหยาหรือขอรับ ? ” หลู่ซ่งไม่ได้คิดในทิศทางนี้ในตอนแรก และเขาก็ทำ ไม่คิดว่าตระกูลเหยานั้นมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้พนะสนมหยวนชูได้เอ่ยเรื่องความผิดพลาดของบุตรสาวตระกูลหลู่ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อก็ตาม เขาก็ควรเข้าใจ สิ่งที่นางชี้ไปคือตระกูลเหยา แต่… “ตระกูลเหยาและองค์หญิงจี่อันตัดความสัมพันธ์กันแล้ว หากไม่มีความช่วยเหลือขององค์หญิงจี่อัน พวกเขาจะทำอะไรได้มากในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ขอรับ”
เมื่อเห็นว่หลู่ซ่งไม่เชื่อสายตานางสนมหยวนชูเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อย่าพูดเรื่องที่ว่าตระกูลเหยาและองค์หญิงจี่อันตัดความสัมพันธ์จริงหรือไม่ แม้ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นก็ตาม เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าประเมินตระกูลเหยาต่ำเกินไป ? เมื่อเจ้าให้บุตรสาวแต่งงานกับตระกูลเหยา มันเป็นเพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับองค์หญิงจี่อันไม่ใช่หรือ ? ” พระสนมหยวนชูมองหน้า นางไม่อยากน่าเชื่อ “ข้าคิดว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนใหม่ของราชสำนักจะเป็นคนฉลาด ใครจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ดีไปกว่าเฟิงจินหยวน” นางเย้ยหยันหลู่ซ่งโดยตรง ในที่สุดนางก็สะบัดแขนของนางแล้วเดินไปที่ห้องด้านในโดยไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
หลู่ซ่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นจิตใจของเขายังคงทำงาน ทุกคำพูดของพระสนมหยวนชูได้ดังขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง แต่สิ่งนั้นจะทำอย่างไร ? แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเหยาทำเช่นนี้หรือไม่ เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปว่าเมื่อคดีของหลู่เหยาถูตัดสินแล้ว ตระกูลเหยาบอกว่าตระกูลหลู่จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้ เพราะหลู่เหยาดึงซูซื่อลงน้ำอย่างจงใจและทำร้ายนาง ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลเหยาที่เงียบสงบจะดุร้ายเมื่อต้องแก้แค้น
หลูซ่งไม่ได้อยู่ในพระราชวังอีกต่อไปและจากไปอย่างรวดเร็ว เขาเตรียมที่จะตรวจสอบ ย้อนกลับไปที่ตำหนักชานชู พระสนมหยวนชูถามหยู่ซู่ว่า “ภาพนั้นควรไปถึงภาคใต้แล้วใช่หรือไม่ ? ”
หยู่ซู่นับวันแล้วพยักหน้า“สองเดือนแล้วเจ้าค่ะ คงไปถึงองค์ชายแปดแล้ว พระสนมเพียงอดทนรออีกหน่อย หลังจากที่องค์ชายแปดได้เห็นแล้ว พระองค์จะส่งจดหมายกลับมาอย่างรวดเร็วเจ้าค่ะ”
พระสนมหยวนชูยิ้ม“ข้าไม่รีบ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงจี่อันกับตระกูลเหยาต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด อย่าโดนนางหลอก”
ความจริงแล้วมันไม่ใช่แค่พระสนมหยวนชูที่คอยจับตาดูเฟิงหยูเฮงนับตั้งแต่เรื่องระหว่างเฟิงหยูเฮงและเหยาซื่อ ตระกูลเหยาและตระกูลเฟิงต่างก็ประกาศตัดความสัมพันธ์กัน ราชสำนักยังเรียกคืนตำแหน่งฮูหยินขั้นหนึ่งของเหยาซื่อกลับ ใครจะรู้ว่ามีดวงตากี่ดวงที่มองจากเงามืด พวกเขาเฝ้าดูตั้งแต่กลางฤดูใบไม้ร่วงจนถึงต้นฤดูหนาว พวกเขาไม่ได้เหนื่อยล้า แต่เฟิงหยูเฮงรู้สึกเหนื่อยล้ากับพวกเขา แต่นางก็ไม่ได้กังวลอะไรเลยแม้แต่น้อยในขณะที่นางยังคงเคลื่อนไหวระหว่างคฤหาสน์ของบุตรสาวของจักรพรรดิ และร้านห้องโถงสมุนไพรทุกวัน ในเวลา 2 เดือนนางและหมอซางคังได้สอนหมอที่มีความทะเยอทะยานเกี่ยวกับการรักษาใหม่ จากนั้นนางก็ส่งพวกเขาไปยังร้านห้องโถงสมุนไพรซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศเพื่อไปทำงาน
แน่นอนเหยาเซียนไม่ปรากฏที่ร้านห้องโถงสมุนไพรในเวลานี้ในความเป็นจริงหมอบางคนที่เหยาเซียนสอนเลือกที่จะจากไป และไปที่คฤหาสน์เหยาเพื่อขอคำสอนจากเหยาเซียน ในเรื่องนี้ปฏิกิริยาของเฟิงหยูเฮงคือการสาปแช่งคนเหล่านี้ที่หน้าร้านห้องโถงสมุนไพรแล้วหันหลังให้กับพวกเขา จากนั้นคนเหล่านั้นก็จะบอกกับคนอื่นว่าที่ห้องโถงสมุนไพรไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาแม้แต่เหรียญเดียวก็ไม่ให้
แต่เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่ไม่เชื่อในเฟิงหยูเฮงและตระกูลเหยาที่แยกตัวออกไปเชื่อว่ามันมากกว่าเดิม ดังนั้นส่วนหนึ่งของผู้คนที่เฝ้าดูจากเงามืดได้จากไป สิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดคือสิ่งที่คงดื้อรั้น พวกเขารู้เพียงว่าพวกเขากำลังเฝ้าดูเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่ามีนกขมิ้นเฝ้าดูจากด้านหลัง ขณะที่องครักษ์เงาของเฟิงหยูเฮงเฝ้ามองพวกเขาอยู่
“คุณหนูต้องการให้ข้าไปภาคใต้ไปกำจัดจดหมายขององค์ชายแปดหรือไม่ขอรับ? ” ภายในคฤหาสน์ขององค์หญิง บานซูยืนอยู่ตรงหน้าเฟิงหยูเฮง และถามนางด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “เมื่อภาพของผู้หญิงคนนั้นถูกส่งออกไป มันควรจะหยุดและไม่ควรได้รับอนุญาตให้ไปทางภาคใต้” บานซูพูดอย่างไม่สุภาพกับเฟิงหยูเฮง “เมื่อภาพนั้นตกไปอยู่ในมือขององค์ชายแปด คนที่ดูเหมือนคุณหนูจะทำให้องค์ชายแปดคิด องค์ชายแปดจะใช้นาง ภาคใต้อยู่ไกล เมื่อเขาใช้เสี่ยวหยาทำอะไรและใช้ชื่อของคุณหนูทำ เราจะทำอย่างไรขอรับ ? ”
เฟิงหยูเฮงอุ้มเสี่ยวไป๋และฟังเพียงครึ่งเดียวนางไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย แม้แต่หวงซวนก็กังวลกับรูปร่างหน้าตาของนางในปัจจุบัน และนางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “หากพวกเขาใช้เสี่ยวหยาทำตัวเหมือนคุณหนูและทำบางสิ่งที่ไม่ควรทำ เราจะรู้ว่ามันเป็นตัวปลอมและผู้คนในเมืองหลวงจะรู้ว่ามันเป็นตัวปลอม แต่คนทางภาคใต้นั้นแตกต่างกัน พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรจริงและอะไรปลอม ? พวกเขาจะถูกหลอก”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและดวงตาของนาง…“ทำไมเจ้ามองเราเหมือนคนโง่ ? ”
บานซูทนไม่ได้“เจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นจริงหรือ ? แต่ในความเป็นจริงพระสนมหยวนชูมีภาพวาดของเสี่ยวหยา ในภาพวาดนางสวมชุดสวยมาก เช่นนั้นนางดูเหมือนคุณหนู คุณหนูสั่งข้าให้ไปเฝ้านางที่บ้านของเหยาซื่อ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ข่าวที่สำคัญที่สุดที่ข้าได้รับคือเสี่ยวหยาได้ขอการสนับสนุนจากพระสนมหยวนชู และพระสนมหยวนชูตั้งใจที่จะแนะนำเสี่ยวหยาให้กับองค์ชายแปด ปัญหาของสิ่งนี้ดูได้ง่าย”
“มันคืออะไร”เฟิงหยูเฮงยิ้ม และมองไปที่ทั้งสอง “มันเป็นความจริงที่ข้าควรคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างที่เจ้าสองคนพูด ถ้าองค์ชายแปดใช้มันมาแทนข้า มันจะมีอิทธิพลที่แย่มาก แต่เจ้าลืมไปหรือไม่ว่าซวนเทียนหมิงกำลังอยู่ภาคใต้ ! ข้าไม่เชื่อว่าด้วยการที่เขาอยู่ที่นั่น พระสนมหยวนชูจะส่งภาพวาดถึงองค์ชายแปดได้ เจ้าสองคนมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ? ”
ทั้งบานซูและหวงซวนต่างก็ถูกแช่แข็งเร็วมาก บานซูตบหน้าผากตัวเองและดูถูกตัวเอง “โง่” จากนั้นเขาถ่มน้ำลาย “ไม่เป็นไร” เขาก็หายตัวไป
หวงซวนก็รู้สึกอึดอัดใจมากและดูไร้ประโยชน์วังซวนและเฟิงหยูเฮงหัวเราะเยาะนาง นางไม่กล้าพูดอะไรกับเฟิงหยูเฮง ดังนั้นนางจึงจ้องมองที่วังซวนและกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่เตือนข้า ? ”
วังซวนยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าพึ่งคิดออกตอนนี้หรือ ? ” จากนั้นนางก็มองที่เฟิงหยูเฮง “คุณหนูฉลาดจริง ๆ แต่เราไม่รู้ว่าองค์ชายเก้าได้เตรียมสิ่งใด ภาพวาดนั้นถูกดัก หรือใช้ภาพวาดอื่นเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงลูบขนเสี่ยวใบและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก เขาเตรียมการที่ดีที่สุดแน่นอน เจ้าสองคนควรให้ความสนใจมากกว่านี้ เขามักจะส่งจดหมายมากกว่า”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดอยู่ฉิงหยูกลับมาจากข้างนอก นางมาพร้อมกับคนที่แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ในพระราชวัง…
——————————————————————————————————
*T / N: ไม่แน่ใจว่าพวกเขาหมายถึงธุรกิจของครอบครัวหลู่ หรือหลู่หยานหลังจากที่นางแต่งงาน …
ตอนที่ 730 ท่านพ่อ ในที่สุดเปี้ยนเปี้ยนก็สามารถพบท่านได้อีกครั้ง
ตอนที่730 ท่านพ่อ ในที่สุดเปี้ยนเปี้ยนก็สามารถพบท่านได้อีกครั้ง
เฟิงหยูเฮงสามารถรับรู้ว่านางเป็นคนจากพระชายาหยุนและนางถามอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลคารวะเฟิงหยูเฮงก่อนที่จะกล่าวว่า“ตอนนี้ตำหนักศศิเหมันต์ได้รับการซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว และพระชายาหยุนได้ย้ายเข้ามาแล้วเจ้าค่ะ หากองค์หญิงไม่มีอะไรทำในวันพรุ่งนี้ องค์หญิงสามารถไปเยี่ยมได้เจ้าค่ะ พระชายาหยุนคิดถึงเจ้าค่ะ”
“โอ้? ตำหนักศศิเหมันต์ซ่อมแซมเสร็จแล้วหรือ ? ” เฟิงหยูเฮงดีใจและกล่าวกับตัวเอง เมื่อพระชายาหยุนย้ายมาอยู่ที่ตำหนักศศิเหมันต์ ฮ่องเต้คงจะหดหู่อีกครั้ง ใครจะรู้เมื่อเขาจะได้พบนางอีก นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้การซ่อมแซมตำหนักศศิเหมันต์ล่าช้ามาเป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ
นางพยักหน้า“กลับไปบอกเสด็จแม่ว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยม” เมื่อเห็นนางกำนัลจากไปอย่างมีความสุข นางตะโกนขึ้นไปในอากาศ “บานซู”
บานซูปรากฏตัวและเฟิงหยูเฮงได้ออกคำสั่ง “มุ่งหน้าไปที่ตระกูลเหยาในเช้าวันพรุ่งนี้และแอบพาท่านปู่มา ให้ท่านปู่ไปเยี่ยมพระชายาหยุนกับข้า”
เช้าวันรุ่งขึ้นบานซูก็พาเหยาเซียนมายังคฤหาสน์ขององค์หญิงอย่างเงียบๆ เฟิงหยูเฮงพาเหยาเซียนเข้ามาในมิติของนาง แล้วพาเขาเข้าไปในพระราชวังโดยที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้ว่าการเดินทางนี้เข้ามาในพระราชวังที่ดูเหมือนว่าองค์หญิงจี่อันอยู่ตามลำพังกับหวงซวนบ่าวรับใช้ของนาง จะให้เหยาเซียนเข้ามาขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่มีใครรู้ ตามความคาดหวังของเฟิงหยูเฮง เขาสามารถถูกพาไปที่ไหนก็ได้ เป็นไปได้อย่างไรที่ตระกูลเหยาและองค์หญิงจี่อันจะเกลียดกันอย่างกะทันหัน
ตำหนักศศิเหมันต์ที่ได้รับการซ่อมแซมใหม่มีความหรูหรามากกว่าเมื่อก่อนจริง ๆ แล้วฮ่องเต้ใช้ประตูที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ เฟิงหยูเฮงพูดไม่ออกและรู้สึกถึงมัน จากนั้นนางก็ถอนหายใจ “มันทำด้วยทองคำ นั่นทำให้ข้ากลัวแทบตาย”
หวงซวนไม่เข้าใจ“คุณหนูพูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ ? ”
นางเคาะประตูพระราชวังและบอกหวงซวน“มันทำด้วยทองคำ และไม่ได้ทำด้วยทองคำทั้งหมด มีเพียงชั้นทองบาง ๆ วางอยู่ด้านนอก มันดูยอดเยี่ยมมาก ไม่ฟุ่มเฟือยมากเกินไป ดูเหมือนว่า…” นางลดเสียงของนาง “ฝ่าบาทยังไม่โง่ขนาดที่จะโยนทองคำไปรอบ ๆ เหมือนสิ่งสกปรก” หลังจากพูดเช่นนี้แล้ว ประตูแห่งตำหนักศศิเหมันต์ก็เปิด เฟิงหยูเฮงหันกลับมาและยิ้มให้กับคนที่อยู่ข้างใน “ป้าซู่หยู”
คนที่เปิดประตูก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้านางกำนัลซู่หยูเมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมา นางก็ยินดีต้อนรับเฟิงหยูเฮงอย่างรวดเร็วและมีความสุขมาก เมื่อเฟิงหยูเฮงพาหวงซวนไปยังอาคารชมจันทร์ ซู่หยูก็เริ่มที่จะออกเดิน แม้แต่หวงซวนก็ถูกทิ้งไว้ข้างนอก นางผลักประตูเปิดแล้วเข้ามา อย่างไรก็ตามในทันทีที่ประตูถูกเปิดออก นางใช้พวกมันเพื่อซ่อนตัวเองและหลีกเลี่ยงการถูกมองเห็นได้สำเร็จ เมื่อนางพาเหยาเซียนออกมา
ปกติพระชายาหยุนจะมีคนไม่กี่คนที่คอยดูแลนางเสมอส่วนใหญ่นางชอบฟังเรื่องนินทาหรือกินผลไม้ หรือของว่างเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่มีบ่าวรับใช้มากมายอยู่ข้างนาง บางครั้งมี 2 คนและมีบางครั้งที่ไม่มี แน่นอนว่าองครักษ์หญิงที่ซ่อนอยู่ทั่วไปจะไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับยามของนาง สำหรับยามเหล่านี้พวกเขาเชื่อมั่นในผู้คนและไว้ใจเฟิงหยูเฮงมาก
นางกับเหยาเซียนเข้ามาในอาคารชมจันทร์ด้วยกันแน่นอนว่าพระชายาหยุนเอนไปด้านข้างบนเก้าอี้ยาวนุ่ม ๆ ขณะกินลูกสาลี่ ไม่มีบ่าวรับใช้แม้แต่คนเดียวที่อยู่ข้างนาง นางไม่แม้แต่จะมองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางพูดอย่างสบาย ๆ “อาเฮงรีบเข้ามาเร็ว ไม่จำเป็นต้องสุภาพ วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้ว มากินของดีด้วยกัน…” นางหยุดกลางประโยคเมื่อนางได้ยินเสียงคนสองคนกำลังขยับ ในตอนแรกพระชายาหยุนคิดว่าอาจเป็นไปได้ว่าเฟิงหยูเฮงนำบ่าวรับใช้มา แต่นางรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ ทุกครั้งที่เฟิงหยูเฮงมาเยี่ยม นางจะให้บ่าวรับใช้ออกไปข้างนอก หวงซวนและวังซวนทั้งคู่ได้รับการฝึกฝนในตำหนักหยูและย่อมเข้าใจกฎของตำหนักศศิเหมันต์เป็นธรรมดา แต่ก็มีบางคนที่มากับนาง
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัยในทันใดที่นางเห็นเหยาเซียน ลูกสาลี่ที่นางยังไม่ได้เคี้ยวติดอยู่ในลำคอของนาง และนางเริ่มสำลึกจนไออย่างหมดหวัง
เฟิงหยูเฮงเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อตบหลังของนางและในที่สุดก็สามารถช่วยให้พระชายาหยุนได้ ใบหน้าของพระชายาหยุนเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการสำลัก และในที่สุดก็สามารถฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตามนางจ้องมองที่เหยาเซียนด้วยความว่างเปล่าซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความคิดถึงและความคาดหวังที่กระตือรือร้น
ความปรารถนาที่ซุบซิบของเฟิงหยูเฮงพุ่งทะยานในใจของนางในเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระชายาหยุนกับเหยาเซียน นางเคยพูดคุยกับซวนเทียนหมิง ในเวลานั้นความคิดของซวนเทียนหมิงคือ เป็นไปไม่ได้ ! เหตุผลคืออายุที่ไม่เหมาะสมและมีช่องว่างอายุมากเกินไป แต่นางคิดในภายหลังว่าช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างชายและหญิงในยุคโบราณนั้นเป็นไปไม่ได้ อาจเป็นไปได้ว่าเหยาเซียนเดิมได้พบกับพระชายาหยุนเมื่อนางยังเด็กและมีความรู้สึกผูกพัน แต่เมื่อนางบอกซวนเทียนหมิงถึงความคิดของนาง ซวนเทียนหมิงเขกหัวของนาง และบอกนางว่ามันเป็นการดีที่สุดที่จะหยุดคิดเช่นนั้น มิฉะนั้นความสัมพันธ์ของเขากับนางจะกลายเป็นเครือญาติ
ในความเป็นจริงมันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นในขณะนี้เฟิงหยูเฮงได้เฝ้าดูทั้งสองและคิดว่าเหยาเซียนคนเดิมและพระชายาหยุนมีความรู้สึกเมื่อหลายปีก่อน ความรู้สึกเหล่านั้นอาจไม่เกิดผล อย่างดีที่สุดพวกเขาเป็นเพียงชายและหญิงที่เป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันไม่สามารถเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของนางกับซวนเทียนหมิงได้ มันเป็นเพียงแค่ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ การที่นางพาเหยาเซียนไปพบพระชายาหยุนเป็นการส่วนตัว ถ้าหากฮ่องเต้ค้นพบสิ่งนี้ นางจะถูกกำจัดหรือไม่ ?
เฟิงหยูเฮงมองพระชายาหยุนจากนั้นก็มองเหยาเซียน และรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัดใจ นางจึงพูดกับพระชายาหยุนอย่างเงียบ ๆ “เสด็จแม่ ข้าแอบพาท่านปู่มาที่นี่ อย่าบอกใครนะเพคะ ! ”
พระชายาหยุนไม่ได้สูญเสียการควบคุมอย่างมากจนนางลืมทุกอย่างเมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงหยูเฮง นางก็ปรับอารมณ์ของนางอย่างรวดเร็ว แม้กระนั้นนางก็ยืนขึ้นเพื่อหยิบเก้าอี้ไม่ไกลจากนั้น จากนั้นนางก็พูดกับเหยาเซียน “นั่งก่อน”
เหยาเซียนพยักหน้าและนั่งลงพระชายาหยุนก็กลับไปยังจุดที่นางนั่งลง นางไม่ได้ขี้เกียจเหมือนเมื่อก่อน แต่นางนั่งอย่างถูกต้องราวกับว่านางเป็นเด็ก หางตาของนางแสดงให้เห็นถึงความสุขที่ไม่สามารถซ่อนได้ เฟิงหยูเฮงนั่งข้างนางและมองนางเป็นครั้งคราว ในใจของนาง นางวิเคราะห์ตลอดเวลาว่าทำไมพระชายาหยุนถึงดูมีความสุขมาก แต่ความสุขนี้ดูเหมือนจะไม่เหมือนคนที่ได้พบคนรักของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่า…
“ท่านพ่อในที่สุดเปี้ยนเปี้ยนก็ได้พบท่าน” ความคิดของเฟิงหยูเฮงยังไม่เสร็จสิ้นเมื่อนางได้ยินเสียงพระชายาหยุนพูดอย่างนี้โดยไม่คาดคิด เพื่อเป็นการสังเกตการแสดงออกของพระชายาหยุน นางนั่งตรงขอบ คำว่าบิดาทำให้นางล้มลงพื้นพร้อมกับเสียง “ปึก” ด้วยความตกใจ ฤดูใบไม้ร่วงนั้นตรงตามฤดู เหยาเซียนก็สะดุ้ง
พระชายาหยุนรีบไปประคองเฟิงหยูเฮงอย่างไรก็ตามนางเห็นลูกสะใภ้นั่งอยู่บนพื้น ขณะมองนางด้วยท่าทางเหลือเชื่อ แม้แต่มือของนางก็สั่น
“เสด็จแม่”เฟิงหยูเฮงมีสีหน้าขมขื่น “เสด็จแม่เรียกท่านปู่ว่าอะไรเพคะ ? ” นางจะพูดยังไงดี ? ถูกต้องแล้ว แม้ว่าเหยาเซียนเป็นบิดาของพระชายาหยุน ในสายตาของพระชายาหยุน นางอยู่กับซวนเทียนหมิงก็เป็นเพียงครอบครัวที่ใกล้ชิดกันมาก พระชายาหยุนและเหยาซื่อเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นนางกับซวนเทียนหมิงจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน การจับคู่ในยุคโบราณนี้ยอดเยี่ยมมากทีเดียว ! แต่สวรรค์ ! นางเกิดในโลกสมัยใหม่เติบโตในโลกสมัยใหม่และได้รับการศึกษาในโลกสมัยใหม่ นางเข้าใจอย่างชัดเจนว่าแม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง นั่นคือการแต่งงานที่ถูกห้ามโดยกฎหมายการแต่งงาน นอกจากนี้ นี่ไม่ใช่แค่จากมุมมองทางกฎหมาย แม้แต่ยาก็สนับสนุนอย่างยิ่งต่อการแต่งงานระหว่างญาติสนิท ถ้าพวกเขาแต่งงานในรุ่นต่อไปหรือรุ่นหลังจากนั้น จะเกิดข้อบกพร่องทางพันธุกรรมขึ้น นางจะอธิบายเรื่องนี้ให้บุตรหลานของนางฟังได้อย่างไร
ใจของเฟิงหยูเฮงเต็มไปด้วยความคิดที่ดุร้ายเหล่านี้ในเวลาเดียวกันนางก็มองเหยาเซียนและเห็นว่าเหยาเซียนมีสีหน้าตกใจเหมือนนาง เห็นได้ชัดว่าเขายังคิดในจุดนี้ แต่ท้ายที่สุดเหยาเซียนมีความทรงจำดั้งเดิมของเจ้าของ เขาผ่านความทรงจำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วกล่าวกับพระชายาหยุน “พระชายาหยุนจำคนผิดแล้วพะยะค่ะ”
“ใช่ถูกต้องต้องเป็นกรณีของตัวตนที่เข้าใจผิด เสด็จแม่คิดอย่างรอบคอบ บางทีท่านพ่อของเสด็จแม่อาจดูคล้ายกับท่านปู่มากเจ้าค่ะ”
อย่างไรก็ตามพระชายาหยุนยิ้มและช่วยเฟิงหยูเฮงลุกขึ้นยืนและนั่งลง ในที่สุดนางก็พูดขึ้น “ไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับมัน ใต้เท้าเหยาไม่ได้ดูเหมือนท่านพ่อของข้าแม้แต่น้อย”
“แล้วท่านพ่อมาจากไหนเพคะ? ” เฟิงหยูเฮงกำลังจะล่มสลายทางจิตใจอย่างแท้จริง พระชายาหยุนจะพูดให้ถูกมากกว่านี้ในแบบที่พูดได้ไหม การพูดสั้นๆ แบบนี้ที่หนึ่งประโยคไม่ตรงกับข้อความต่อไปนี้ใครจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พระชายาหยุนก็ไร้ความกังวลและเริ่มยิ้มในช่วงรอยยิ้มนี้นางดูเหมือนบุตรสาวตัวเล็ก ใบหน้าที่ได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดีมองดูเด็กกว่าสิบปีทันที “ทำตามหัวใจ และทำตามความรู้สึกของข้า” นางมองไปที่เฟิงหยูเฮงพร้อมกับแสดงออกอย่างมีความสุขอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากยิ้มไปครู่หนึ่ง ท่าทางของนางก็ค่อย ๆ ดูสง่างาม ในท้ายที่สุดนางพูดอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับการมาเยี่ยมข้า และอนุญาตให้ข้าพบใต้เท้าเหยา”
เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าการวนไปวนมาในบทสนทนานี้น่าเบื่อจริงๆ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถามอะไรเลย นางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองทั้งสองตรงหน้านาง นางไม่ได้พูดอะไร และรอให้พวกเขาพูดด้วยตนเอง นางจะเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์
โชคดีที่พระชายาหยุนไม่ทำให้นางผิดหวังและไม่ทำให้นางเป็นกังวลพระชายาหยุนเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมอย่างรวดเร็วมาก โดยกล่าวว่า “การได้พบท่านปู่ของเจ้าเป็นความปรารถนาที่ข้ามีมานานแล้ว ข้าตามหาใต้เท้าเหยามานานแล้วและรอเขามานาน ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาก่อนที่ข้าจะได้พบกับบิดาของหมิงเอ๋อ ความปรารถนาเดียวของข้าคือการได้พบท่านพ่อ แม้ว่า… เขาไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของข้า” พระชายาหยุนพูดแล้วหันมามองเหยาเซียน บุตรสาวตัวเล็ก ๆ แบบนั้นเริ่มปรากฏตัวอีกครั้ง “ข้าไม่ควรเรียกท่านพ่อ เพราะข้าไม่เคยเรียกท่านเช่นนั้นมาก่อน ข้าจะเรียกท่านลุงเสมอ ท่านแม่บอกว่าท่านลุงเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านลุง ท่านแม่และข้าจะไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”
ขณะที่นางพูดนางยืนขึ้นและเดินไปรอบ ๆ ภายในอาคารชมจันทร์อย่างไร้จุดหมาย อีกหนึ่งรอบหลังจากนั้นนางก็เต็มไปด้วยความคิดถึง เมื่อเสียงที่ไม่ได้รับการควบคุมของนางเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เฟิงหยูเฮงเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติม
“ท่านแม่บอกว่าท่านทำคลอดข้าด้วยตัวเองแต่ข้าไม่มีความทรงจำใด ๆ เมื่อข้าเกิด ความทรงจำของข้าเริ่มต้นเมื่อข้าอายุ 3 ขวบและสิ้นสุดลงเมื่อข้าอายุ 6 ขวบ ข้าเคยเชื่อว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเพียงหลังจากที่ใต้เท้าเหยาจากไป และหลังจากที่ข้าได้ยินเด็กเล็กคนอื่น ๆ พูดถึงครอบครัวของพวกเขาใช้เวลายามค่ำคืนร่วมกัน ข้าจึงเข้าใจว่าใต้เท้าเหยาไม่ใช่ท่านพ่อของข้า มันเป็นอย่างที่ท่านแม่พูด ใต้เท้าเหยาเป็นผู้มีพระคุณของเรา สำหรับข้า ข้าคิดเกี่ยวกับมันเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งมาถึงวันหนึ่งเมื่อข้าเข้ามาในพระราชวัง ใต้เท้าเหยาเป็นคนรักษาผิวของข้า ข้ากล้าที่จะทักทายใต้เท้าเหยาเท่านั้น แต่ไม่สามารถยอมรับใต้เท้าเหยาเพราะ…”