The Divine doctor : ชายาข้าคือแพทย์เทวะ - ตอนที่ 773 -774
ตอนที่ 773 ปฏิญาณที่จะกำจัดตระกูลเหยา
ตอนที่773 ปฏิญาณที่จะกำจัดตระกูลเหยา
ในเรื่องที่เกี่ยวกับเหยาซื่อทั้งสองคนได้พูดคุยเกี่ยวกับนางมาก่อน และเฟิงจื่อหรูก็แสดงท่าทีในอดีต แม้กระนั้นไม่เคยมีครั้งเดียวที่เขาจะตรงไปตรงมา แสดงความไม่พอใจของเขาที่มีต่อมารดา แม้แต่หนี้เก่าจากเวลาในหมู่บ้านบนภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ถูกดึงออกมา
ในความเป็นจริงเฟิงหยูเฮงไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในเวลานั้น แต่เจ้าของร่างเดิมมีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ นอกจากนี้ความทรงจำในช่วงสามปีนั้นก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง และรายละเอียดทั้งหมดอยู่ในใจของนาง อาจไม่มีใครลืม นางรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เฟิงจื่อหรูพูดถึง นางยังจำได้ครั้งนับไม่ถ้วนว่าเจ้าของร่างเดิมได้เก็บงำเรื่องไม่ดีบางอย่างเกี่ยวกับเหยาซื่อ
นางไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเฟิงจื่อหรูได้สำหรับความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงระหว่างเหยาซื่อและบุตรชายคนนี้จนถึงระดับนี้ มันเป็นผลมาจากการที่นางทำตัวเอง แม้ว่านางต้องการจะคืนดี นางก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะยืนหยัดได้ ยิ่งกว่านั้นในฐานะมารดา นางได้ทิ้งบุตรของนางและเลือกเส้นทางเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ทำไมพวกเขาต้องให้อภัยนาง เฟิงหยูเฮงในชีวิตก่อนหน้านี้และชีวิตปัจจุบันของนางไม่เคยมีมารดาผู้ให้กำเนิด ขอให้นางตอบแทนความชั่วด้วยความดี นางจะทำได้อย่างไร นางไม่สามารถเป็นเหมือนมารดาและทำเช่นนั้น “พวกเขาทำผิดต่อข้านับครั้งไม่ถ้วน แต่ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข” สำหรับนางแล้ว คนใกล้ชิดก็สนิทสนมกัน และศัตรูก็เป็นเพียงแค่ศัตรู ถ้าเจ้าต้องการเปลี่ยนจากคนใกล้ชิดไปเป็นศัตรู ข้าจะพยายามหยุดเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถหยุดได้ก็ให้ลืมมันไป ถ้าไม่ใช่เพราะเหยาซื่อมีหน้าตาเหมือนมารดาของนางจากชีวิตก่อนหน้านี้ นางอาจไม่แม้แต่จะพยายามหยุดอีกฝ่ายและจะไม่พยายามเลยแม้แต่น้อย เหยาซื่อคงอยู่ห่างไกลเมื่อนางเริ่มแสดงอาการเหล่านี้เป็นครั้งแรก นางจะจัดการกับเหยาซื่ออย่างไรเมื่อมาถึงจุดนี้
นางมองไปที่เฟิงจื่อหรูและทันใดนั้นก็เริ่มยิ้มพร้อมกล่าวเบา ๆ ว่า “จื่อหรูของข้าโตขึ้นจริง ๆ นับจากวันนี้เป็นต้นไป สิ่งที่ยังคงอยู่ในโลกนี้คือเจ้าและข้า น้องชายและพี่สาว ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อให้เจ้ามีความสงบสุข เฝ้าดูเจ้าเติบโตขึ้นและมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่เจ้า”
เฟิงจื่อหรูกล่าวกับนางว่า“ข้าไม่ต้องการท่านพี่ทำ ข้าจะไปต่อสู้กับพวกเขาเอง เฟิงจื่อหรูต้องเติบโตขึ้นกว่านี้อีกเล็กน้อยและต้องการปกป้องท่านพี่ เพื่อให้ท่านพี่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
ในเวลากลางคืนเฟิงหยูเฮงอยู่กับเฟิงจื่อหรูจนกระทั่งเขาหลับ ในอดีตเฟิงจื่อหรูชอบที่จะยึดติดกับผู้คน เขายึดติดกับเหยาซื่อหรือติดนาง หากเขาไม่สามารถยึดติดกับพวกนางทั้งคู่ได้ เขาก็สามารถไปยึดติดกับวังซวนหรือหวงซวน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด จะต้องมีใครบางคนอยู่กับเขาจนกระทั่งเขาหลับไป และมันก็ไม่เหมือนตอนนี้ที่เขานอนบนเตียงนอน ในขณะที่คนที่นั่งข้างเก้าอี้นั่งขณะที่สามารถอ่านหนังสือ
แต่ปัจจุบันเฟิงจื่อหรูกำลังนอนหลับอย่างสบายเขาไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไปซึ่งในที่สุดเขาก็มักจะสลัดผ้าห่มออกและขาของเขาก็จะเตะไปรอบ ๆ ตอนนี้เด็กคนนี้นอนเหมือนทหารที่มีวินัย แบนและตรง ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ และเมื่อเขาลงไปในความฝันของเขา เขาไม่ได้ดิ้นเตะไปรอบๆ
เฟิงหยูเฮงสังเกตการเปลี่ยนแปลงในน้องชายของนางและนางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ในท้ายที่สุดผู้คนทุกคนจำเป็นต้องเติบโตขึ้น เข้าใจมากขึ้นและสามารถวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเขาเอง เขายังจำกัดร่างกายของตัวเองเมื่อนอน ไม่มีความประมาทในอดีตอีกต่อไป แต่ด้วยความยับยั้งชั่งใจนี้ ความไร้เดียงสาก็หายไป ในวัยเด็ก เขาเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ในยุคนี้ เมื่อวันนั้นมาถึง เขาจะออกเดินทางและแต่งงานกับภรรยาและมีบุตร เขาไม่ต้องการการปกป้องจากพี่สาวของเขาอีกต่อไป
นางยิ้มและแอบออกจากห้องของเฟิงจื่อหรูวังซวนและหวงซวนกำลังยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ทั้งสามกลับไปที่เรือนของนางด้วยกัน หวงซวนเตรียมน้ำไว้ให้นาง ในขณะที่วังซวนช่วยให้นางเปลี่ยนชุด นางได้ยินอีกเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “อีกสักครู่ให้คนไปที่ตำหนักหยู ไม่จำเป็นต้องรบกวนองค์ชายเก้า แค่ทักทายทหารยาม แค่บอกให้เขารออยู่ข้างนอกประตูพระราชวังเมื่อประชุมราชสำนักเลิกในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจะได้พาเฟิงจื่อหรูเข้ามาในพระราชวังเพื่อคารวะฮ่องเต้” วังซวนพยักหน้าและใส่เสื้อนอกของนางก่อนที่จะจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว หวงซวนเกิดขึ้นในเวลานี้ และเฟิงหยูเฮงกล่าวต่อว่า “หวงซวน พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง จื่อหรูกลับมาที่เมืองหลวงและจำเป็นต้องไปพบฮ่องเต้ เจ้าไปส่งเขา ครั้งสุดท้ายที่พบกัน เสด็จพ่อตรัสว่าอยากพบจื่อหรู”
หวงซวนรีบทำตามอย่างรวดเร็วจากนั้นถามว่า“แล้วคุณหนูจะไม่เข้าไปในพระราชวังกับจื่อหรูหรือเจ้าคะ ? ”
นางส่ายหน้า“ข้าไม่ไป เจ้าไปส่งจื่อหรูให้องค์ชายเก้าที่ทางเข้าพระราชวัง ข้าจะนำวังซวนและบานซูไปนอกเมือง ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว และข้าอยากไปเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นการส่วนตัว”
หวงซวนพยักหน้าแล้วคิดสักครู่เพิ่ม“คุณหนู ยังไม่ได้นอนเลย ลองใส่ชุดที่นางกำนัลผู้อาวุโสส่งมาวันนี้ นอกจากนี้เลือก 1 ชุดที่จะสวมไปงานเลี้ยงเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงไม่คัดค้านนางลองเสื้อผ้าทั้งหมดที่นางกำนัลอาวุโสนำมา ในท้ายที่สุดนางแต่งตัวด้วยชุด *สีดอกโบตั๋น ขณะที่นางจ้องมองกระจกอย่างนิ่งงัน
ไม่ใช่แค่นางที่ตกอยู่ในความนิ่งงันเนื่องจากหวงซวนก็นิ่งงันและถอนหายใจซ้ำ ๆ “มันสวยงามจริง ๆ ! นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคุณหนูสวมชุดสีนี้ ใครจะรู้ว่ามันจะสวยงามมาก” หลังจากคิดไปซักพัก นางก็ดูรูปร่างของเฟิงหยูเฮงและเข้าใจในที่สุด “ข้ารู้แล้ว คุณหนูสูงขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อน คุณหนูมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วนที่ควรเติบโตก็มีการเติบโตเช่นกัน มันเป็นธรรมดาที่คุณหนูใส่แล้วสวยกว่าเดิม ผิวของคุณหนูก็ดีขึ้น และสีก็ตัดกันกับคุณหนู มันสวยงามจริง ๆ ”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและชี้ไปที่หน้าอกของนาง“เจ้าบอกว่าส่วนน้เติบโตขึ้นแล้วหรือ ? ” ขณะที่นางพูดสิ่งนี้นางยิ้ม “ข้ากำลังจะอายุ 15 ปี ข้าควรเริ่มพัฒนา ไม่อย่างนั้นการเหี่ยวแห้งไปตลอดเวลานั้นช่างน่าเกลียดทีเดียว”
หวงซวนได้ยินสิ่งนี้และเดาะลิ้นของนางคำพูดเหล่านี้มีแต่คุณหนูของนางเท่านั้นที่กล้าพูดออกมา คุณหนูของครอบครัวอื่น ๆ จะใช้ผ้ามัดหน้าอกเมื่อพวกนางเริ่มเติบโต พวกนางเกลียดที่ไม่สามารถโยนเนื้อที่พวกเขาเติบโต แต่ใครจะรู้ว่าการมีเนื้อเล็กน้อยจะดูดี !
หวงซวนยิ้มและแนะนำให้เฟิงหยูเฮง“ในอนาคตคุณหนูควรใส่เสื้อสีนี้บ่อยขึ้น มันสวยมาก อย่าใส่สีธรรมดามากเลยเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและกล่าวว่า“ข้าไม่เคยให้ความสนใจมากเกินไปเมื่อพูดถึงเสื้อผ้าที่ข้าใส่ ตราบใดที่เสื้อผ้ามีความสบายและดูดี ทุกอย่างก็ดี เมื่อก่อนข้าลังเลที่จะใส่สีเหล่านี้ที่สงวนไว้เพื่อสาวงามล่มเมืองเพราะกลัวว่าจะสร้างปัญหา” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็กล่าวอย่างไร้ประโยชน์ “แม้ว่ามันจะหลีกเลี่ยงเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะหลีกเลี่ยงได้อย่างแท้จริง ยังคงหาวิธีที่แตกต่างในการเข้าถึงข้า”
“ใช่เจ้าค่ะ”หวงซวนเห็นด้วย และกล่าวว่า “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้น ยิ่งกว่านั้นเสื้อผ้าเหล่านี้ถูกส่งโดยนางกำนัลอาวุโสโจว นางกำนัลอาวุโสโจวเป็นคนที่ละเอียดมากที่สุด ถ้าคุณหนูกล้าที่จะใส่เสื้อผ้าสีนี้ มันก็หมายความว่ามันดีสำหรับเราที่จะใส่มันเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้า“ได้” ขณะที่นางกล่าว นางถอดมันออกแล้วมอบให้หวงซวน “วางไว้ อย่าพับ เพื่อป้องกันรอยย่น” นางนำไม้แขวนเสื้อออกมาให้ห้องนอนของนางนานแล้ว บ่าวรับใช้สองคนมีความเชี่ยวชาญในการใช้งาน พวกเขาผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความโบราณ
ที่คฤหาสน์ขององค์หญิงทุกคนเข้านอนเร็ว ภายในคฤหาสน์หลู่, หลู่หยานก็กำลังบ้าคลั่งอยู่กับรังนก เก้อซื่อให้คำแนะนำนางซ้ำ ๆ “สิ่งนี้มีรสชาติแบบนี้ การรับประทานมันเพื่อบำรุงร่างกายของเจ้า ไม่ใช่เพื่อรสชาติที่ดี ไม่ว่าจะพูดอย่างไร มันไม่ใช่เครื่องดื่มรสหวาน”
อย่างไรก็ตามหลู่หยานไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้“เป็นไปไม่ได้ ! ข้าเคยได้ยินคนพูดว่ารังนกอร่อยมากหลังจากปรุงเป็นอาหารแล้ว พระสนมจะทานมันลงได้อย่างไร ? ลองคิดดูสิข้าเป็นเพียงบุตรสาวของขุนนางและรู้สึกว่ามันกลืนยากมาก สำหรับพระสนมผู้มีร่างกายที่บอบบางเช่นนี้ พวกนางจะจัดการกับมันได้อย่างไร ? ”
ไม่มีสิ่งใดที่เก้อซื่อสามารถทำได้และได้แต่บอกความจริงเท่านั้น“เจ้าไม่สามารถถูกตำหนิได้เพราะไม่สามารถทานมันได้ พ่อครัวหลวงเป็นคนทำอาหาร ! และชั้นวางเครื่องเทศของพวกเขามีมากเพียงใด ? มันเป็นธรรมดาที่สิ่งที่พวกเขาทำจะดีมาก จากสถานการณ์ล่าสุดของคฤหาสน์ของเรา พ่อครัวทุกคนก็ออกไป คนที่อยู่ก็เป็นเพียงผู้ช่วยพ่อครัวเท่านั้น”
หลู่หยานตกใจเล็กน้อยอย่างไรก็ตามนางเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ตระกูลหลู่ปัจจุบันอาจยังคงเป็นคฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้าย และแม้ว่าจะไม่มีธุรกิจจากภายนอกก็ตาม มันก็จะไม่ส่งผลให้ตระกูลหลู่ยากจนเช่นนี้ แต่ประเด็นปัญหาคือในครอบครัวเหยากำลังปราบปรามธุรกิจของตระกูลหลู่อย่างรุนแรง ไม่เพียงธุรกิจของพวกเขาพังทลายลงเท่านั้น แต่ยังทำให้ตระกูลหลู่ตกอยู่ในภาวะหนี้สิน เพียงแค่เงินที่จ่ายออกไปก็เป็นจำนวนที่พอ ๆ กับค่าเบี้ยหวัดของเสนาบดีเป็นเวลาหลายเดือน พวกเขาจะไม่ใช้ชีวิตอย่างประหยัดได้อย่างไร ?
ความเกลียดชังในหัวใจของนางที่มีต่อตระกูลเหยานั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้งนางดื่มได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้นก่อนที่รังนกจะถูกโยนลงบนพื้นอย่างรุนแรง นางกัดฟันอย่างรุนแรง “ตระกูลเหยา วันหนึ่งข้าจะทำให้ตระกูลของเจ้าล้มละลาย และทำให้ผู้คนแตกกระซานซ่านเซ็นไปหมด ! วันหนึ่งที่ข้าจะกำจัดตระกูลเหยาและถอนรากถอนโคนพวกเจ้า ! ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหยาจะถูกฆ่า ! ”
ต้องเผชิญกับอาการของหลู่หยานเก้อซื่อไม่ได้หยุดนาง นางเพียงแค่สั่งให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาดที่พื้น สำหรับรังนกที่ถูกทำลาย หากบ่าวรับใช้ชอบมัน พวกนางก็สามารถหยิบมากินได้ หลังจากคิดเล็กน้อย นางกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไปหาคนที่เชี่ยวชาญในการปรุงรังนก แม้ว่าจะไม่หลงเหลือผู้คนในคฤหาสน์หลู่ รังนกเหล่านั้นจำเป็นต้องทำอย่างถูกต้องสำหรับเจ้า! ไม่ว่าเราจะทนทุกข์มากเพียงใดเราไม่สามารถยอมให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานได้”
ใครจะไปรู้ว่าหลู่หยานไม่สนใจฟังสิ่งที่เก้อซื่อพูดนางจ้องตรงไปที่บ่าวรับใช้เพราะพวกเขาหยิบรังนกที่สูญเปล่าอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางมันไว้อีกชามอื่น ขณะที่พวกนางกำลังจะโยนมันทิ้ง นางก็กล่าวเสียงดัง “อย่าเอาทิ้ง เจ้ายังไม่ได้รับอนุญาตให้กิน ไปล้างมันแล้วนำกลับมา ไม่ว่ารสชาติแย่แค่ไหน ข้าจะก็กินมัน มันไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากให้คฤหาสน์หลู่รุ่งเรืองอีกครั้ง ข้าต้องกินรังนกนี้ทั้งหมด”
ในวันรุ่งขึ้นตอนเที่ยงหวงซวนส่งเฟิงจื่อหรูไปยังทางเข้าของพระราชวังและรอซวนเทียนหมิง เฟิงหยูเฮงส่งมอบยาที่ถูกนำออกมาจากมิติไปยังฉิงหยู เพื่อที่พวกมันจะได้ถูกนำไปที่ห้องโถงสมุนไพร จากนั้นนางก็นำวังซวนเข้ามาในรถม้าราชสำนักแล้วออกเดินทาง ในเมืองหลวงนางซื้อสิ่งของสองสามอย่างสำหรับปีใหม่แล้วมุ่งหน้าไปยังที่อยู่นอกเมือง
เมื่อกล่าวถึงเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่บ้านนอกเมืองนอกจากเด็กที่อายุน้อย เด็กที่อายุมากที่ผ่านการฝึกอบรมทางการแพทย์บางคนก็ถูกส่งไปยังร้านห้องโถงสมุนไพรนอกเมืองหลวงอย่างช้า ๆ ในปัจจุบันมีคนหน้าตาแปลกใหม่จำนวนมากในบ้าน และพวกเขาเป็นเด็กกำพร้าจากพื้นที่โดยรอบ เทียนตงและฟู่ซางก็ไปต่างมณฑล แต่พวกเขาก็ยังนำกลับมา ท้ายที่สุดแล้วที่อยู่อาศัยไม่สามารถขาดสองสิ่งนี้ได้ และทั้งสองมีความเข้าใจที่ดีขึ้น และคุ้นเคยกับสถานการณ์ทางด้านนี้มากขึ้น
จากเมืองหลวงไปยังบ้านเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า1 ชั่วยาม เมื่อรถม้าของเฟิงหยูเฮงหยุดที่ด้านนอกบ้าน ผู้คนมากมายภายในเห็น เด็กที่เพิ่งมาถึงเป็นคนอยากรู้อยากเห็นและบางคนก็วิ่งกลับไปที่ห้องด้วยความกลัว แม้กระนั้นเด็ก ๆ ที่จำรถม้าที่สวยงามได้ก็วิ่งออกไปข้างนอก แม้แต่ฟู่ซางและเทียนตงก็ยังตามพวกเขาไป เมื่อเฟิงหยูเฮงออกจากรถม้าแล้ว ฟู่ซางก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “องค์หญิงมาแล้ว ในปัจจุบันมีเรื่องที่บ่าวรับใช้คนนี้และเทียนตงกำลังคิดมาก และไม่สามารถตัดสินใจได้เจ้าค่ะ ! ”
——————————————————————————————————
*TN: ไม่แน่ใจว่าสีนี้เป็นอะไร แต่การค้นหาทางอินเทอร์เน็ตดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางสีชมพู (EN: นั่นน่าจะสมเหตุสมผลเนื่องจากดอกโบตั๋นมีแนวโน้มสีชมพู)
ตอนที่ 774 แขกที่ไม่คาดคิด
ตอนที่774 แขกที่ไม่คาดคิด
เฟิงหยูเฮงเข้ามาในสนามขณะที่เด็กๆ มาออกันเต็ม วังซวนพาคนนำสิ่งของออกจากรถและนำพวกมันไปที่บ้านเพื่อแจกจ่ายให้กับเด็ก ๆ ฟู่ซางชี้ไปที่กลุ่มคนที่ยืนอยู่กลางลาน โดยเฉพาะเด็กสองคนคุกเข่าลงบนพื้นและพูดว่า “องค์หญิง นี่คือเด็กสองคนที่รอดหลังจากพวกเขาตกน้ำ พวกเขายืนยันที่จะมา เราต้องพาพวกเขามาเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงถามฟู่ซาง“พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าหรือไม่ ? ”
ฟู่ซางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า“พวกเขาไม่ใช่เด็กกำพร้าจึงเกิดปัญหานี้เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่เด็กกำพร้าหรือ? ” เฟิงหยูเฮงรู้สึกสับสนและเดินไปข้างหน้า อย่างไรก็ตามนางหันไปมองคนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เด็กสองคน นางให้ความสนใจเป็นพิเศษกับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่ร่างกายเปียกปอน แม้ว่าเขาจะดูเหมือนจะอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเลวร้าย แต่เขาก็ยังมีความสง่างามของบุตรชายขุนนาง นางแค่รู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตาเล็กน้อย อย่างไรก็ตามนางจำไม่ได้ทันทีว่านางเคยเห็นเขาจากที่ไหนมาก่อน คนผู้นั้นต้องการพูดคุยกับนาง แต่เด็กที่คุกเข่าทั้งสองเริ่มร้องไห้และวิงวอนเขาจึงดึงบ่าวรับใช้ของนางกลับมา และทำท่าให้เฟิงหยูเฮงก้าวต่อไป เฟิงหยูเฮงพยักหน้าอย่างสุภาพต่อเขาแล้วถามเด็กสองคนว่า “ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่ใช่เด็กกำพร้า ? ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเจ้าถึงร้องขอให้เราพาพวกเจ้าเข้ามา ? สถานที่นี้เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และคนที่อยู่ในนั้นไม่มีบิดา มารดา”
นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะก้าวไปข้างหน้าจับข้อมือของเด็กสองคน นางตรวจดูชีพจรของพวกเขา ด้วยร่างกายของพวกเขาที่เปียกโชกในวันฤดูหนาว เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาเพิ่งถูกดึงออกจากน้ำ สำหรับพวกเขาที่คุกเข่าบนพื้นดิน มันคงจะแปลกถ้าพวกเขาไม่เป็นหวัด
เด็กสองคนเห็นว่านางดูเหมือนเจ้านายและไม่สนใจว่าเฟิงหยูเฮงจับข้อมือของพวกเขาเขาอย่างรวดเร็วพูดว่า “เราขอร้องให้นางพาพวกเราเข้ามา เรารู้ว่านี่เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เราก็ได้ยินเช่นกันสถานที่แห่งนี้สอนการแพทย์ให้แก่ผู้คนและมียาที่มีชื่อเสียงมาก ท่านแม่ของเราป่วยหนักและครอบครัวของเราใช้เงินทั้งหมดเพื่อรักษาอาการป่วยของท่านแม่จนหมด ไม่มีเงินเหลือสำหรับการรักษา เราขอร้องให้นางพาเราเข้ามาและสอนเรื่องยาให้เรา เพื่อให้เรารักษาท่านแม่ของเรา เราสามารถทำงานเพื่อเป็นค่าที่พักอาศัยได้ น้องชายของข้าและข้าสามารถทำงานได้ ในอนาคตเมื่อเราโตขึ้นและได้รับเงิน เราจะส่งมาที่นี่เพื่อชำระคืน เราจะไม่พักที่นี่ฟรี เราขอร้องท่านขอรับ ! ”
ในขณะที่เด็กกำลังพูดเฟิงหยูเฮงให้เทียนดงและฟู่ซางดูเพื่อให้พวกเขาหยุดเด็กได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นนางปล่อยมือของเขาแล้วกล่าวว่า “ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอและพวกเขาเป็นหวัด ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะตกลงไปในน้ำใช่หรือไม่ ? โชคดีที่พวกเจ้าถูกดึงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถ้าเจ้ายังอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ ชีวิตของพวกเจ้าอาจหายไป”
จากนั้นเทียนดงก็พูดว่า“เด็กสองคนนี้มาจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำที่ไหล แม่น้ำเย็นมากเจ้าค่ะ พวกเขาเสี่ยงและข้ามน้ำแข็ง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าพื้นผิวของน้ำแข็งนั้นไม่แข็งแรงและเกิดหลุมเมื่อพวกเขามาถึงตรงกลางแม่น้ำ แล้วกลืนพวกเขาลงไป” หลังจากพูดจบนางมองไปที่บุตรของขุนนางและพูดต่อ “โชคดีที่คุณชายท่านนี้เดินผ่านพร้อมกับผู้ร่วมงานของเขา เมื่อเห็นเด็กสองคนตกไป เขาก็ช่วยพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นเด็กสองคนนี้อาจไม่รอดเจ้าค่ะ”
เทียนตงพูดจบและในที่สุดชายหนุ่มก็พูดออกมาว่า “เด็กสองคนนี้มีร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแรง หลังจากถูกดึงออกจากน้ำ พวกเขาก็สามารถพูดได้ พวกเขาบอกว่าพวกเขาต้องการข้ามมาที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำเพื่อไปที่บ้านเด็กกำพร้าที่สอนเรื่องยา ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นที่นี่ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจพาพวกเขามาที่นี่”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและพยักหน้าพูดกับชายหนุ่ม“ขอบคุณท่านมาก ไม่ว่าอย่างไรมันเป็นสองชีวิต สำหรับการมีจิตใจที่ใจดี และช่วยชีวิตพวกเขา อาเฮงรู้สึกขอบคุณท่านมาก”
“อาเฮง…”ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพักหนึ่งจากนั้นยิ้มบาง ๆ มองที่เฟิงหยูเฮง และไม่ส่งเสียง
ยิ่งเฟิงหยูเฮงมองดูคนผู้นี้ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นตาแต่นางจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขามาก่อน ในเวลานี้เด็กสองคนที่คุกเข่าเริ่มสั่นแล้ว อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงยืนหยัดในการคว้าเสื้อคลุมของเฟิงหยูเฮงจากด้านหลัง วิงวอน เฟิงหยูเฮงทำอะไรไม่ถูกและพูดกับเทียนดง “จัดการเรื่องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเขาก่อน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรเราจำเป็นต้องดูแลพวกเขาก่อน เรื่องอื่นค่อยพูดกันทีหลัง” หลังจากพูดแบบนี้นางมองไปที่เด็กสองคนอีกครั้ง และพูดว่า “ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าเราจะพาพวกเจ้าเข้ามา มันเป็นเพราะสภาพร่างกายปัจจุบันของพวกเจ้าจะไม่อนุญาตให้พวกเจ้าออกไปข้างนอกได้ สำหรับตอนนี้พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่ และเราค่อยคุยเรื่องนั้นในภายหลัง”
เด็กสองคนพยักหน้ารู้ว่าการขอร้องต่อจะไร้ประโยชน์ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเหนาวมาก หากพวกเขายังคุกเข่าต่อไปพวกเขาอาจตายทันที ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คัดค้านและอนุญาตให้เทียนดงพาบ่าวรับใช้นำพวกเขาเข้ามา
ในเวลานี้ฝ่ายของวังซวนได้แจกของให้กับบ่าวรับใช้ในบ้านจากนั้นนางก็ไปด้านข้างของเฟิงหยูเฮง เมื่อมองดูชายหนุ่มที่เปียกโชกอยู่ นางก็คำนับอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “วังซวน บ่าวรับใช้ผู้นี้ทักทาย…”
“ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องสุภาพมาก”ก่อนที่วังซวนจะพูดจบ ผู้ชายคนนั้นก็รีบพูดเพื่อหยุดนาง ในเวลาเดียวกันเขาก้าวไปข้างหน้าและประคองวังซวนที่โค้งคำนับ ส่ายหัวของเขาลดเสียงของเขา และกล่าวว่า “ในขณะที่เดินไปรอบ ๆ ด้านนอก อย่าใส่ใจกับกฎเหล่านี้”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมารวมกับการกระทำของวังซวนเฟิงหยูเฮงจำได้ทันที นางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแล้วตบหน้าผากตัวเอง นางคิดกับตัวเองว่าความทรงจำของนางแย่จริง ๆ นางจะคิดถึงคนผู้นี้ตรงหน้านางในฐานะคนแปลกหน้าได้อย่างไร นี่เป็นองค์ชายหกที่ไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงเป็นเวลานาน และนางได้พบเพียงครั้งเดียว นี่คือองค์ชายเซียง, ซวนเทียนเฟิง ! จริง ๆ แล้วนางคิดว่านี่เป็นคนแปลกหน้าและสุภาพกับเขาตลอดเวลา นี่คือ…ความล้มเหลวในการจดจำคนในครอบครัว
นางพูดกับองค์ชายหกด้วยความละอายเล็กน้อยว่า“พี่หก อภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ ความทรงจำของข้าไม่ค่อยดีนัก และไม่สามารถจำพี่หกได้”
เมื่อนางเรียกเขาว่าพี่หกฟู่ซางซึ่งยังอยู่ใกล้เคียงก็ตกใจ ฟู่ซางก็เข้าใจเป็นอย่างดีชัดเจนมากว่าเฟิงหยูเฮงเป็นคนแบบไหน นางมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับครอบครัวของเฟิงหยูเฮง เมื่อคำพูดที่ว่าพี่หกออกมาจากปากของนาง ฟู่ซางก็นึกถึงคนสองคนในทันที หนึ่งในนั้นคือหลานชายคนที่หกของตระกูลเหยา, เหยาหยิงเฮง ลูกพี่ลูกน้องคนที่หก และอีกคนเป็นองค์ชายหกของราชวงศ์ นางทำเช่นเดียวกับองค์ชายเก้าทำ และเรียกเขาว่าพี่หก และหลานชายของตระกูลเหยาอยู่ในเมืองหลวงตลอด เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงหยูเฮงจะไม่รู้จักเขา อาจมีเพียงองค์ชายหกที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น ด้วยสิ่งเหล่านี้คนที่อยู่ข้างหน้าพวกนางคือองค์ชายหกในปัจจุบัน !
ฟู่ซางเริ่มและทำตามวังซวนอย่างรวดเร็วในการทักทายอย่างไรก็ตามนางยังจำคำพูดขององค์ชายหกได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรเลย อย่างไรก็ตามทัศนคติของนางก็ยิ่งแสดงความเคารพมากขึ้น
เฟิงหยูเฮงจำเขาไม่ได้แต่วังซวนเติบโตในตำหนักหยู มันเป็นธรรมดาที่นางจะจำเขาได้ ผู้ที่มานั้นแน่นอนว่าเป็นองค์ชายหกในปัจจุบัน องค์ชายซวนเทียนเฟิง
เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงจำเขาได้ในที่สุดซวนเทียนเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นจากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดกับเฟิงหยูเฮงว่า “ข้าไม่โทษน้องสะใภ้ เราเห็นหน้ากันครั้งเดียวเมื่อสองปีก่อน ข้ามาจากต่างมณฑลและไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงมานานแล้ว”
“แถบชายแดนกำลังยุ่งและพี่หกถูกส่งไปประจำการที่นั่นท่านพี่ทำงานหนักมาหลายปีแล้ว” นางพูดคุยอย่างเฉยเมยจากนั้นมองไปที่ร่างที่เปียกขององค์ชายหก และกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “พี่หก รีบพาคนของท่านพี่เข้าไปข้างในเพื่อเปลี่ยนชุดเจ้าค่ะ วันนี้อากาศเย็น เดี่ยวท่านพี่จะไม่สบายเจ้าค่ะ” หลังจากพูดแบบนี้นางพูดกับวังซวน “พาพี่หกเข้าไปข้างใน”
วังซวนพยักหน้าและพูดเสียงเบาๆ “พระองค์ ตามบ่าวรับใช้ไปที่สวนหลังบ้านเพคะ”
ซวนเทียนเฟิงยังรู้ว่าเสื้อผ้าที่เปียกนี้ไม่เหมาะสมดังนั้นเขาพยักหน้าและไม่พูดอะไรเลย พาบ่าวรับใช้ของเขาตามวังซวน เฟิงหยูเฮงจึงสั่งให้คนรับใช้ในบ้านเตรียมชาอุ่น ๆ และให้หมอมาตรวจคนไข้ โดยกลัวว่าซวนเทียนเฟิงจะไม่สบายเพราะเรื่องนี้
เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการสั่งการนั้นได้รับการดูแลฟู่ซางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “บ่าวรับใช้คนนี้หวาดกลัวแทบตายจริง ๆ เจ้าค่ะ ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนบัณฑิตจะกลายเป็นองค์ชาย โชคดีที่องค์หญิงมา ไม่เช่นนั้นข้าไม่รู้วิธีจัดการกับมันจริง ๆ เจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงก็ประหลาดใจแต่ก็ไม่กลัวนางบอกกับฟู่ซาง “ถ้าข้าไม่ได้มา ข้าคิดว่าพระองค์คงไม่เปิดเผยตัวตน ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ สำหรับเด็กสองคนนั้นให้พวกเขากลับเข้ามาพักหนึ่งและดื่มชาอุ่น ๆ เมื่อร่างกายของพวกเขาดีขึ้นเล็กน้อย เราต้องพิจารณาว่าครอบครัวของพวกเขาอยู่ที่ไหน จากนั้นส่งคนไปที่บ้านทันที ปีใหม่มันจะไม่ดีสำหรับเด็กที่จะหนีออกจากครอบครัว พวกเขาเป็นห่วงเด็กทั้งสอง”
ฟู่ซางพยักหน้าและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเด็กสองคนจะถูกส่งกลับด้วยหรือไม่เจ้าค่ะ ? ”
“ดูสุขภาพของพวกเขา! หากพวกเขาดีขึ้นมันจะเป็นการดีที่สุดที่จะพาพวกเขากลับมา แต่ถ้าพวกเขาอ่อนแอ เจ้าต้องรักษาพวกเขาให้พวกเขาหายดี การตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งในวันนี้คืออาจยังไม่เป็นอะไร อาจเกิดอาการขึ้นภายหลัง ให้หมอจับตาดูพวกเขาคืนนี้ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะมีไข้”
ฟู่ซางกล่าวว่า“องค์หญิงไม่ต้องกังวล ข้าจะทำงานให้ดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางถอนหายใจอีกครั้ง “ในความเป็นจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สิ่งนี้เกิดขึ้น มีผู้คนพาเด็ก ๆ มาที่นี่ตลอดขอให้พวกเขาได้รับการสอนเกี่ยวกับยา และพวกเขาทั้งหมดถูกส่งกลับไป มีคนจากเมืองหลวงอยู่บ้าง ดังนั้นเราแนะนำให้พวกเขาไปที่ร้านห้องโถงสมุนไพรเพื่อเรียนรู้ ผู้ที่มาจากภายนอกกลับไปด้วยความเสียใจ ท้ายที่สุดสถานที่ของเราก็มีพื้นที่จำกัด การสอนยาเป็นสิ่งหนึ่ง แต่เราก็ต้องดูแลเด็กกำพร้า เราไม่สามารถดูแลเด็กทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง แต่เด็กทั้งสองที่วิ่งมาที่นี่ด้วยตัวเองในวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นเจ้าค่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหยูเฮงได้ยินว่าที่นี่มีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแต่ถ้าพูดจากใจ นี่เป็นสิ่งที่ดี ด้วยผู้คนจำนวนมากที่ตระหนักถึงการแพทย์และมีความต้องการความรู้ด้านการแพทย์ นี่คือสิ่งที่นางหวังไว้ แต่มันก็เป็นอย่างที่ฟู่ซางพูด พื้นที่ของที่พักมีจำกัด เมื่อมันเต็มไปด้วยเด็กกำพร้า เพื่อให้เด็ก ๆ ที่มีครอบครัวเป็นเรื่องยาก
แต่มันไม่เหมือนกับว่าไม่มีวิธีแก้ไขนางคิดแล้วพูดกับฟู่ซาง “เมื่อการเฉลิมฉลองปีใหม่ผ่านไปแล้ว ข้าจะไปตรวจสอบกับร้านห้องโถงสมุนไพรและให้พวกเขาส่งหมอที่จบการศึกษาไปยังสำนักศึกษาของเอกชนเพื่อสอนยา เราสามารถพูดคุยกับสำนักศึกษาเอกชนเกี่ยวกับการเปิดชั้นเรียนเหล่านี้ หรือเราสามารถเช่าที่ดินจากสำนักศึกษา ไม่เป็นไรถ้าเราใช้จ่ายเงินสักนิด เจ้าต้องเลือกคนจากทางนี้ด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นการสอนการปฏิบัติการพยาบาล เมื่อเวลามาทำงานกับหมอเพื่อสอน เช่นนี้ผู้คนจำนวนมากจะสามารถยอมรับยารักษาโรคที่เราเน้นย้ำ ผู้คนจำนวนมากจะสามารถเลือกวิธีที่พวกเขาจะวางแผนสำหรับชีวิตของพวกเขา และมันจะทำให้ง่ายขึ้นสำหรับเราในการค้นหาความสามารถทางการแพทย์ที่ดี”
นางนึกถึงประเด็นใหม่และอดไม่ได้ที่จะสงสัยและแม้แต่จินตนาการถึงวันที่ยาแผนปัจจุบันที่นางก่อตั้งขึ้นจะสามารถดำรงอยู่ได้ในศตวรรษที่ 21 เมื่อเปิดสำนักศึกษาพิเศษ เด็ก ๆ ทุกคนที่ต้องการเรียนรู้การแพทย์จะสามารถเข้าเรียนได้ และพวกเขาทุกคนสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการแพทย์ขั้นสูง
ในเวลานี้องค์ชายหกกลับมาจากสวนหลังบ้านเขาบังเอิญเห็นว่าเฟิงหยูเฮงพูดด้วยสายตาที่เป็นประกายและใบหน้าที่สดใส เขาอดไม่ได้ที่จะหยุดอยู่กับที่และเฝ้าดูเด็กผู้หญิงจากที่ไกลด้วยใจเต้นแรงที่ไม่สามารถอธิบายได้…