The Divine doctor : ชายาข้าคือแพทย์เทวะ - ตอนที่ 859 -860
ตอนที่ 859 ทำไมเจ้าถึงมา ?
ตอนที่859 ทำไมเจ้าถึงมา ?
ฮันกังนำทหารกว่า1,000 นายเข้ามาในเมืองโดยใช้เวลาชั่วข้ามคืน ข่าวนี้ถึงหูของท่านฮูหยินผู้เฒ่าในคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่โง่ แต่น่าเสียดายที่นางแก่แล้ว แม้ว่านางจะชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ นางก็ไม่สามารถตัดสินใจใด ๆ นางทำได้แค่ถอนหายใจ “มันจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย มันจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย ! ข้าบอกปิงเอ๋อมานานแล้วว่ามณฑลนี้ไม่ได้เป็นของตระกูลเต็ง แต่ไม่มีใครฟังข้า ตอนนี้การลงโทษได้มาถึงแล้ว กรรมตามทันแล้ว !”
ด้านในของคฤหาสน์ของผู้พิทักษ์ประจำมณฑลนั้นวุ่นวายและในเมืองหยูโจว สายลับที่เฟิงหยูเฮงวางไว้นอกเมืองได้มารายงานเกี่ยวกับทหาร 1,000 นายที่เคลื่อนไหว
หลังจากเฟิงหยูเฮงได้ยินสิ่งนี้นางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และทิ้งองครักษ์เงา 3 คนเพื่อปกป้องคนที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นนางก็สั่งให้หลี่จู้รวบรวมกองทหารก่อนนำวังซวนและหวงซวนไปยังที่ทำการของทางการ เฉียนเฟิงโจวก็ได้รับรายงานและกำลังรออย่างใจจดใจจ่อที่ทางเข้าของคฤหาสน์ เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมาถึง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อรอคำสั่ง เฟิงหยูเฮงกล่าว “ปกติเจ้าหน้าที่ควรอยู่ในเมืองเพื่อปลอบโยนผู้คน รวบรวมทหารปกป้องเมือง และให้พวกเขาติดตามองค์หญิงเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ! ”
เมื่อนางพูดสิ่งนี้ประตูเมืองหยูโจวก็ถูกทำลายโดยทหารศัตรู ภายใต้การนำของฮันกัง พวกเขาพุ่งเข้าเมืองอย่างหยิ่งยโส หากพวกเขาทำตามปกติของพวกเขา พวกเขาจะเริ่มทุบสิ่งต่าง ๆ และทำร้ายผู้คนเมื่อเข้ามาในเมือง แต่เนื่องจากเป็นตอนกลางคืนจึงไม่มีคนอยู่ข้างนอก แม้ว่าพวกเขาต้องการที่จะตีผู้คนก็ไม่มีผู้คนให้ตี และไม่มีใครให้ต่อย ฮันกังก็สั่งให้ทุกคน “รักษาความแข็งแกร่งของพวกเจ้าเพื่อต่อสู้กับองค์หญิงจี่อันอย่างเต็มประสิทธิภาพ”
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้พบกันที่ถนนของเมืองหยูโจว
เมื่อเทียบกับทหารนับพันคนของตระกูลเต็งคนไม่กี่คนของเฟิงหยูเฮงดูน่าสงสารมาก แม้ว่าจะมีกองกำลังเสริมทหาร 500 นายของหยูโจว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ในทันใดที่ฮันกังเห็นกองกำลังของเฟิงหยูเฮง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อชี้นิ้วไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮงแล้วหัวเราะ “องค์หญิงจี่อัน ท่านเตรียมทหารให้มาเผชิญหน้ากับข้าจริง ๆ งั้นหรือ ? ฮ่าๆๆๆ ! ท่านเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้ แค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ของท่านยังไม่พอที่จะเติมรอยแตกระหว่างฟันของเรา เด็กผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์ปากก็ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม รีบกลับไปที่เมืองหลวงเร็ว อย่าเป็นยืนอุจาดตาที่นี่ให้เสียหน้า ! ”
คำพูดที่หยาบคายเหล่านี้ถูกกล่าวโดยไม่มีการกลั่นกรองใดๆ เนื่องจากสิ่งที่กล่าวมานั้นน่าเกลียดมาก อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่โกรธเพราะนางรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามพูดสิ่งนี้ เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทน นอกจากนี้ค่าตอบแทนนี้จะไม่ผ่อนปรน มันจะต้องจ่ายทันที
พอหลังจากที่ฮันกังหยุดพูดทันใดนั้นเลือดก็ปรากฏออกมาจากปากที่ยังไม่ได้ปิด ฟันถูกอาวุธลับเลาะออกมา และฟันทั้งหมดก็ร่วงเข้าไปในลำคอของเขาพร้อมกับเลือด มันถูกกลืนลงท้องของเขา สำหรับคนที่ทำหน้าที่ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากบานซูที่เกลียดการได้ยินคนอื่นที่พูดถึงเจ้านายของเขาไม่ดี
ฮันกังถูกกระแทกอย่างกะทันหันแต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นใคร เมื่อฟันของเขาถูกเลาะออกมา เขาทั้งเจ็บปวดและคลื่นไส้ มีแม้กระทั่งฟันหนึ่งซี่ติดอยู่ในลำคอของเขาทำให้เขาไอ
เฟิงหยูเฮงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข“ข้าขอโทษจริง ๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าไม่ชอบเห็นจ้านายถูกรังแก คราวนี้เจ้าอาจถือว่าโชคดีที่เสียแค่ฟันของเจ้าไปเท่านั้น โดยปกติการพูดแบบนี้ พวกเขาจะพุ่งไปสังหารคนผู้นั้น แต่เจ้าก็เห็นมันเช่นกัน เมื่อพูดถึงการต่อสู้ แม้ว่าเราจะมีคนไม่กี่คน แต่ชัยชนะไม่ได้ถูกกำหนดโดยจำนวนคน กองกำลังที่แข็งแกร่งจะไม่แพ้กองทัพที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตระกูลเต็งของเจ้าเตรียมโลงศพแล้วหรือยัง ? หากเจ้ายังไม่มี เราสามารถโยนพวกเจ้าทุกคนเข้าสู่หลุมศพเมื่อถึงเวลาต้องทำความสะอาดสนามรบ”
นางพูดด้วยรอยยิ้มอย่างไรก็ตามทุกคำพูดที่นางพูดนั้นน่าตกใจ หน้าผากของทหารเริ่มมีเหงื่อออกเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เมื่อมองฮันกังที่ฟันหายไปในพริบตา พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาวู่วามเกินไปที่ตรงดิ่งมาที่หยูโจว ความรู้สึกสยองขวัญที่ไม่กลับมาเริ่มเติมเต็มจิตใจของพวกเขา และหลาย ๆ คนต้องการที่จะล่าถอย
ฮันกังทำฟันของเขาหายแต่สิ่งนี้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต เขาฟังดูเหมือนหญิงชราเมื่อเขาพูด ไม่ว่าคนหนึ่งคนใดฟัง มันค่อนข้างแปลก เขาชี้ไปที่เฟิงหยูเฮงแล้วตะโกน “เด็กหญิงตัวน้อยผู้หยิ่งผยอง วันนี้ข้าจะทำให้หัวของเจ้ากลิ้งลงพื้น และปล่อยให้คนของเจ้าเก็บศพของเจ้า ! ”
เขาพ่นคำพูดที่น่ากลัวเหล่านี้ออกมาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เฟิงหยูเฮงตกใจ แต่มันทำให้เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เจ้าจะให้หัวของข้ากลิ้งลงพื้น เช่นนั้นเจ้าจะต้องถามองค์ชายเก้า ว่าที่สามีของข้าว่าพระองค์เต็มใจหรือไม่ ! ”
ฮันกังโกรธและจิตใจของเขาก็ร้อนรนเขาจะจัดการเรื่องบางอย่างเช่นองค์ชายเก้าได้อย่างไร เขาไม่ได้สังเกตเห็นความกลัวเล็กน้อยในกองทหารของเขา เขายังคงตะโกนต่อไปว่า “พาม้ามา ! ไปต่อสู้กับปู่คนนี้จนตายไปข้างหนึ่ง ! ”
หลังจากเสียงตะโกนของฮันกังทั้งสองฝ่ายก็ยืนขึ้น หลี่จู้ได้นำทัพของเขาไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว แม้กระนั้นในเวลานี้ความสับสนวุ่นวายก็เกิดขึ้นในหมู่กองกำลังส่วนบุคคลของตระกูลเต็ง ทหารคนหนึ่งรีบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและรายงานต่อฮันกัง “แม่ทัพฮัน แย่แล้ว พวกเราถูกล้อมขอรับ ! ”
ฮันกังตกตะลึง“เจ้าหมายถึงอะไรที่ล้อมเรา ? ฝ่ายตรงข้ามมีเพียงไม่กี่ร้อยนาย พวกเขาจะล้อมเราได้อย่างไร ? ”
“ไม่นั่นไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ ! ” ทหารรายงานว่า “ไม่ใช่แค่ไม่กี่ร้อยนายเท่านั้น มีทหารนับหมื่น ! พวกเขาได้ล้อมเมืองหยูโจวแล้ว หัวหน้าของพวกเขาเข้าเมืองแล้ว และมุ่งหน้ามาในทิศทางนี้ ! ”
“นับหมื่น”ฮันกังได้ยินเรื่องนี้แล้วสับสน เขาไม่ได้ใช้กำลังทหารสองสามร้อยคนอย่างจริงจัง และเขาสามารถต่อสู้กับคนสองสามพันคนได้ แต่ทหารนับหมื่นสร้างช่องว่างที่ใหญ่เกินไป ! รายงานของตระกูลเต็งไม่เคยกล่าวว่าองค์หญิงจี่อันยังคงมีคนสนับสนุนอยู่ เขาไม่เคยได้ยินมาเลยว่ามีทหารหลายหมื่นนายมาด้วย สิ่งที่ควรทำ “เจ้าแน่ใจหรือ ? ” เขาถามคนนั้นว่า “ทหารนับหมื่นนาย พวกเขามาภายใต้ธงของใคร ทหารเหล่านี้มาจากไหน ลักษณะของธงเป็นอย่างไร ? ”
คนนั้นเกาหัว“ดูเหมือนว่าจะมีตัวอักษรว่าลมเขียนไว้ที่ธง ! ข้าไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมาจากไหน แต่พวกเขาไม่ได้ช่วยเราอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาฆ่าสหายที่เหลือไว้เฝ้าประตูขอรับ ! ”
”หืม! ” ฮันกังสูดหายใจเข้า และในที่สุดก็ตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ดี แต่การล่าถอยในเวลานี้ก็สายเกินไป เมื่อเห็นว่าหยูโจวถูกล้อมรอบอย่างสมบูรณ์ ทุกคนถูกบีบลงบนถนนสายนี้ ธงที่อ่านคำว่า “เฟิง” นั้นสังเกตได้ชัดเจนในตอนกลางคืน และรูปร่างของมันทำให้เขาเจ็บปวดมากกว่าปากของเขา แต่ฮันกังยังไม่เข้าใจ ตัวอักษร “ลม” หมายถึงอะไร ?
ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงก็สังเกตเห็นทหารที่เข้ามาในเมืองหยูโจวทันทีธงที่มีตัวอักษรที่เขียนว่า “ลม” ก็ได้เข้ามาเช่นกัน อย่างไรก็ตามความคิดของนางเปลี่ยนไป แม้ว่านางจะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ในหมู่ผู้คนในราชวงศ์ต้าชุนที่สามารถนำทัพได้เพียงคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับตัวอักษร “ลม” นอกจากคนผู้นั้นก็ไม่มีใครอีกแล้ว แต่ทำไมคนผู้นั้นถึงมาที่หยูโจว ? และด้วยทหาร 30,000 นาย ?
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายงงงวยแต่ในเวลานี้มีคนขี่ม้าจากกองทัพที่โบกสะบัดธง “ลม” ออกมา หยุดอยู่ข้างหน้ากองทัพคนนั้นอยู่ในชุดคลุมสีเทา และมีกลิ่นอายที่หนาแน่นของบัณฑิต เขาไม่ได้เข้าคู่กับกองทัพที่อยู่ข้างหลังเขาเลย แต่เมื่อเขากล่าว คำพูดก็ทำให้ฮันกังรู้สึกสิ้นหวังพร้อมกับทหารคนอื่น ๆ ในขณะที่เขาพูดว่า “องค์หญิงจี่อัน ผู้พิทักษ์ประจำมณฑลจี่อันได้ก่อกบฏ และทำให้เกิดความโกลาหล องค์ชายผู้นี้มาพร้อมกับทหารเพื่อปราบปรามความวุ่นวายในนามของฮ่องเต้ ! ” หลังจากกล่าวอย่างนี้เขาก็โบกมือ และทหาร 30,000 นายจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือพุ่งไปข้างหน้า ในชั่วพริบตากองทัพของตระกูลเต็งก็ถูกลบทิ้งไปอย่างไร้ร่องรอย
ด้วยกองทัพขนาดใหญ่ที่กดไปข้างหน้ามันโชคดีที่มันเกิดขึ้นตอนกลางคืน มิเช่นนั้นพลเมืองของเมืองหยูโจวคงกลัวจนตาย แต่กองทัพภายใต้ธง “ลม” เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่ล่าช้า เร็วมาก กองกำลังส่วนตัว 1,000 นายถูกกำจัดจนหมด
เลือดไหลไปตามถนนและถนนทั้งหมดก็ย้อมเป็นสีแดงของเลือดจะได้ยินเสียงเบา ๆ ของทหารที่ไม่ได้ถูกฆ่าตาย แม้กระนั้นพวกเขาก็ถูกฆ่าตายอย่างรวดเร็วโดยไม่มีความสงสาร
เจ้าเมืองหยูโจวเฉียนเฟิงโซวเป็นเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการ แม้ว่าบุตรชายของเขาจะกลายเป็นรองแม่ทัพ แต่เขาไม่เคยเห็นเลือดในสนามรบ ในเวลานี้เมื่อเห็นเลือดที่ไหลไปที่เท้าของเขาและสูดดมเลือด เขาก็อาเจียนออกมา แต่ผู้ช่วยที่อยู่ข้างเขาคอยประคองเขาและกล่าวอย่างเงียบ ๆ ว่า “ใต้เท้าต้องอดทนนะขอรับ ! ท่านคือเจ้าเมือง หากท่านเป็นลมหรืออาเจียนในเวลานี้ มันจะน่าอายเกินไป”
เฉียนเฟิงโจวยังเข้าใจเหตุผลนี้ยิ่งกว่านั้นเขายังจำคนที่นำกองทัพ 30,000 นายมาที่หยูโจว และเหงื่อที่เย็นเฉียบก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา ใครจะรู้ว่ามีลมชนิดใดพัดมาในหยูโจวที่จะดึงดูดคนสำคัญเหล่านี้
เขานำคนของเขาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับถนนที่เต็มไปด้วยเลือด เขาเริ่มที่จะกล่าวกับชายหนุ่ม ในเวลาเดียวกันเขาก็กล่าวว่า “องค์ชายเซียน องค์ชายเซียน องค์ชายเซียน ! ”
บุคคลที่มาไม่มีใครอื่นนอกจากองค์ชายหก,ซวนเทียนเฟิง
เขาจ้องมองที่เฉียนเฟิงโจวและท่าทางของเขายังคงมีรัศมีของบัณฑิต เขายกมือขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า “ใต้เท้าเฉียนลุกขึ้น”
เฉียนเฟิงโจวยืนขึ้นและร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยเลือดเขาโซเซไปมาเล็กน้อย และดูอ่อนแอมาก
ซวนเทียนเฟิงไม่ได้สนใจเขามากนักเขาบังคับให้ม้ามุ่งหน้าไปทางด้านของเฟิงหยูเฮง พวกเขาอยู่ตรงข้ามกัน ขณะที่ซวนเทียนเฟิงยิ้มสงบ “น้องสะใภ้ พี่หกไม่ได้มาช้าเกินไปใช่หรือไม่ ? ”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและตอบว่า “ไม่สายเจ้าค่ะ แต่พี่หกมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”
ขณะที่ทั้งสองเริ่มพูดเฉียนเฟิงโจวก็รู้สึกอึดอัดใจมากที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาจึงหาทางออกเพื่อตัวเอง เขาสั่งให้ทหารของหยูโจวเริ่มทำความสะอาดสนามรบ หลี่จู้ก็จัดการให้กองทหารออกไปและกลับไปยังที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามกองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 30,000 นายไม่ได้ดำเนินการต่อไป ภายใต้การนำของรองแม่ทัพ พวกเขามุ่งหน้าไปยังมณฑลจี่อัน แม้แต่วังซวนและหวงซวนก็ติดตามกลุ่มของหลี่จู้ ในพริบตานอกจากทหารที่จัดระเบียบสนามรบ เหลือเฟิงหยูเฮงและซวนเทียนเฟิงเท่านั้นพร้อมกับองครักษ์เงา
ซวนเทียนเฟิงไม่มีความปรารถนาที่จะดูฉากนองเลือดแบบนี้และหันกลับมามองอย่างไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เฟิงหยูเฮงใช้ความคิดริเริ่มเพื่อแนะนำว่าพวกเขามุ่งหน้าไปยังที่พักที่นางอาศัยอยู่ชั่วคราว ซวนเทียนเฟิงก็ไม่มีข้อคัดค้าน ทั้งสองหันหลังให้ม้าแล้วก็จากไป ซวนเทียนเฟิงกล่าวกับนางว่า “จริง ๆ แล้วเมื่อสองเดือนก่อนปีใหม่ กองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับคำสั่งลับจากเสด็จพ่อให้กลับมา กองทัพเคลื่อนไหวแยกกันและไม่ได้เตือนใครเลย ในขั้นต้นพวกเขาซ่อนตัวในบริเวณรอบ ๆ เมืองหลวง แต่ก็มีความกลัวว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันในเมืองหลวง เสด็จพ่อและทางน้องเก้าจะไม่สามารถจัดการได้ อย่างไรก็ตามข้ากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ ข้าได้คุยกับเสด็จพ่อ แล้วนำกองทัพมาที่นี่เพื่อช่วยเจ้า” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนไป เขาไม่สามารถทนเห็นนางด้วยภาระบางอย่างดังนั้นเขาจึงกล่าวเสริม “ทั้งหมดนี้ได้รับอนุญาตจากเสด็จพ่อ ข้าเคลื่อนไหวตามคำสั่ง หากเจ้าต้องการที่จะขอบคุณเพียงแค่รอจนกว่าเจ้าจะกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อขอบคุณเสด็จพ่อ”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้าแต่ก็ยังกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อาเฮงจะจดจำความเมตตาของพี่หกอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ! ”
ตอนที่ 860 เจ้าต้องการที่จะเป็นคนขององค์หญิงจี่อัน หรือของราชวงศ์ต้าชุน?
ตอนที่860 เจ้าต้องการที่จะเป็นคนขององค์หญิงจี่อัน หรือของราชวงศ์ต้าชุน?
นางกับองค์ชายหกเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอแม้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันผ่านทางซวนเทียนหมิง แต่มันก็ไม่ถึงจุดที่เฟิงหยูเฮงจะมีองค์ชายนำกองทหาร 30,000 นายมาช่วยนาง แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้จริง ๆ แต่นางก็ไม่กลัวทหารจากมณฑลจี่อัน มันเป็นเรื่องที่รับประกันได้มาก แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ถูกต้อง การชนะการต่อสู้ด้วยจำนวนที่น้อยกว่า แม้ว่าการต่อสู้จะชนะก็จะมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ทหาร 100 นายที่นางควบคุมจะถูกทิ้งไว้เพื่ออนาคตของมณฑลจี่อัน นางยังคิดที่จะฝึกฝนพวกเขาอย่างเหมาะสมหลังจากที่มณฑลจี่อันเข้าที่เข้าทาง แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝึกฝนพวกเขารวมทั้งกองทัพเจตจำนงสวรรค์ แต่พวกเขาก็จะก้าวหน้าจากที่เขราเป็นอยู่ การปกป้องที่ดินศักดินาจะไม่ใช่ปัญหา
“ตอนนี้พวกเขากำลังจะเข้ายึดมณฑลจี่อัน”ซวนเทียนเฟิงกล่าวตามธรรมชาติ ราวกับว่าพวกเขากำลังจะเอาอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน และเขาไม่สนใจเลย เขาเป็นกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์หลังจากที่มณฑลจี่อันถูกนำกลับมา ในขณะที่เขาบอกกับเฟิงหยูเฮง “ความมั่งคั่งที่สะสมมานานหลายปีของตระกูลเต็งนั้นไม่ได้อุดมสมบูรณ์ ด้านพี่แปดจะไม่นิ่งเงียบ เจ้าต้องเตรียมตัวด้วยตัวเอง แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป ท้ายที่สุดเสด็จพี่ไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในกองกำลัง ทหารองครักษ์ไม่สามารถออกจากพระราชวังได้อย่างแน่นอน พี่เจ็ดยังอยู่ในเมืองหลวง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็จะช่วยเจ้าออกไป”
“พี่ที่หกจะกลับไปเร็วๆ นี้หรือไม่ ? ” นางจำได้ว่าซวนเทียนเฟิงมาที่นี่ก่อนลงมือ เขาจะต้องรีบกลับไปแน่นอน หลังจากทั้งหมดสถานการณ์ในเมืองหลวงไม่มั่นคงมาก ด้วยกองทัพ 30,000 นายที่ซ่อนตัวอยู่นอกเมือง นางรู้สึกสบายใจขึ้นอีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าซวนเทียนเฟิงจะส่ายหน้า”กองทัพจะต้องกลับไปแน่นอน ข้าจะให้รองแม่ทัพพาทหารกลับไป สำหรับข้า… น้องสะใภ้” เขามองเฟิงหยูเฮงและกล่าวความคิดที่แท้จริงของเขาทันทีที่พวกเขาเข้ามาในบ้าน “ข้าต้องการอยู่ในมณฑลจี่อันเพื่อเป็นอาจารย์”
เฟิงหยูเฮงตกตะลึงและไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต่น้อย“เป็นอาจารย์หรือเจ้าคะ ? ทำไม ? ” แทนที่จะเป็นองค์ชายที่สง่างาม เจ้ามาที่นี่เพื่อเป็นอาจารย์หรือ ? ”
ซวนเทียนเฟิงพยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าวว่า “เมื่อนำทหารในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาหลายปีแล้ว ข้าก็รู้สึกรำคาญกับชีวิตแบบนั้นมานานแล้ว หากน้องสะใภ้ไม่ชอบก็ให้ข้าอยู่ที่นี่ในฐานะอาจารย์ เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ แต่นี่คือชีวิตที่ข้าต้องการ”
“แต่…”เฟิงหยูเฮงทำอะไรไม่ถูกเลย “แต่ถ้าพี่หกอยู่ที่นี่ จะมีทหารประมาณ 30,000 นาย ? รองแม่ทัพสามารถพาพวกเขากลับไปยังเมืองหลวง แต่จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น พี่หกไม่กังวลเกี่ยวกับกลุ่มที่ไม่มีผู้นำหรือ ? ” ทหาร 30,000 นายนั้นมีจำนวนไม่มาก แค่ถูกเก็บไว้นอกเมืองหลวงแบบนี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดมันจะเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อเมืองหลวง สำหรับอาณาจักร เมืองหลวงคือหัวใจ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับหัวใจ ก็ไม่สามารถรักษาราชวงศ์ต้าชุนไว้ได้
อย่างไรก็ตามซวนเทียนเฟิงมีการจัดการของตัวเอง“ไม่ต้องกังวล เมื่อข้ามาที่นี่ข้าได้ทำข้อตกลงกับพี่เจ็ดแล้ว เมื่อทหาร 30,000 นายกลับไป เสด็จพี่จะได้รับทันทีที่เมืองหลวง หลังจากนั้นพี่เจ็ดจะนำกองทัพ 30,000 นาย เมืองหลวงจะได้รับการปกป้องเหมือนกันทั้งหมด ถ้าเป็นพี่เจ็ด น้องสะใภ้คงจะรู้สึกสบายใจใช่หรือไม่ ! ”
เมื่อเขายกให้ซวนเทียนฮั่วเฟิงหยูเฮงก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก ไม่ว่าใครจะถูกส่งมอบให้ทหาร 30,000 นาย นางจะไม่รู้สึกสบายใจแม้ว่านางจะเป็นองค์ชายหกก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์มากเกินไป นางไม่สามารถปฏิบัติต่อเขาในแบบที่นางปฏิบัติต่อซวนเทียนหมิงและซวนเทียนฮั่ว เฟิงหยูเฮงคิดว่าองค์ชายหกฉลาดและไม่ล้มเหลวที่จะเข้าใจสิ่งที่นางคิด แม้ว่าจะมีทหารกว่า 30,000 นายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนในการเป็นอาจารย์ในมณฑลจี่อัน นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับ แม้ว่าจะเป็นเพราะความปลอดภัยของเมืองหลวง นางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับ
ลืมไปเลยนางยิ้ม“ข้าคิดเรื่องนี้มากเกินไป พี่หกอยากเป็นคนธรรมดาและมาที่มณฑลจี่อันเพื่อสอน…นี่เป็นไปไม่ได้”
“ในเมื่อน้องสะใภ้เห็นด้วยสิ่งต่าง ๆ จะถูกกำหนดไว้เช่นนี้” ซวนเทียนเฟิงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เฟิงหยูเฮงเห็นด้วย สำหรับเขาแล้วมันไม่สำคัญ เขาแค่อยากเป็นอิสระจากสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่น่ารังเกียจ เขาแค่อยากจะอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพื่อดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับมณฑลจี่อันซึ่งตระกูลเต็งปกครองมาหลายร้อยปีภายใต้การบริหารจัดการของเด็กสาวที่เขาหวังไว้
ทุกครั้งที่เขาเห็นเฟิงหยูเฮงซวนเทียนเฟิงจะนึกถึงวันที่เขายืนอยู่ข้างหลังบ้านในชานเมืองกับนาง หญิงสาวชี้ไปที่ภูเขาและพูดถึงแผนการของนางในการปรับปรุงดินแดนรกร้างและปลูกพืชสมุนไพร นางพูดถึงที่อยู่อาศัยที่นางสร้างขึ้นมาให้กับพลเมืองที่อยู่ใกล้เคียง เขาสามารถจดจำสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสุขของเฟิงหยูเฮงเมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านั้น และเขายังสามารถจดจำพลเมืองในเมืองหลวงที่รำลึกถึงร้านห้องโถงสมุนไพรก่อนที่เขาจะมาที่หยูโจว
เพื่อประโยชน์ในการมาที่มณฑลจี่อันเพื่อเป็นอาจารย์ เขาได้สละสิทธิ์ในการบังคับบัญชากองกำลัง ทิ้งศักดิ์ศรีของเขาไว้ เขาคุกเข่าและวิงวอนต่อหน้าเสด็จพ่อเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดเสด็จพ่อของเขาก็ยินยอม แล้วเขาก็รีบมาอย่างอดทน เขารู้สึกดีใจ นี่คือชีวิตที่เขาใฝ่ฝัน ชีวิตที่เรียบง่ายมากในการสอนผู้คน
ทหาร30,000 นายจากกองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือรีบเข้าสู่มณฑลจี่อัน หากไม่มีกองทัพส่วนตัว มณฑลจี่อันก็เหมือนเสือที่ไม่มีฟัน ทุกคนในตระกูลเต็งถูกจับโดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามใด ๆ เต็งปิงฟื้นคืนสติได้แล้ว แม้กระนั้นเขาก็เกือบจะตาย นอนอยู่บนเตียง เขาหายใจเป็นครั้งสุดท้าย ท่านฮูหยินและหลานชายก็ตื่นขึ้นเช่นกัน ท่านฮูหยินผู้เฒ่าได้ทำการตัดสินใจและสั่งให้แขวนคอฮูหยินใหญ่ เมื่อถูกทุกคนเฝ้าดูนางถูกส่งไปยังสวรรค์ สำหรับหลานชาย ยังไงเขาก็ยังเป็นหลานชายของนางและเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตามแท่งหยกของเขานั้นใช้การไม่ได้อีกแล้วจากฝีมือของเฟิงหยูเฮง
ท่านฮูหยินผู้เฒ่านำผู้คนในคฤหาสน์เพื่อเปิดประตูคฤหาสน์เผชิญหน้ากับกองทหารของกองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 30,000 นาย คฤหาสน์ของผู้พิทักษ์ประจำมณฑลก็ยอมแพ้ แม้กระนั้นที่ตั้งของความมั่งคั่งของตระกูลเต็งที่สะสมมานานหลายปีก็ไม่ได้รับการเปิดเผย
แต่นี่ไม่สำคัญรองแม่ทัพทหารราบสั่งให้จับกุมสมาชิกทุกคนในตระกูลเต็ง และเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าตัวตาย เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาจะถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวง ย้อนกลับไปที่บ้านพักในหยูโจว ซวนเทียนเฟิงบอกกับเฟิงหยูเฮงว่า “เสนาบดีกระทรวงราชทัณฑ์ถูกปลดออกจากตำแหน่ง คณะกรรมการกระทรวงราชทัณฑ์ปัจจุบันถูกครอบครองโดยซูจิงหยวน สำหรับเจ้าแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดี”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้า“เป็นข่าวที่ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ” นางไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ต่อไปหันมาพูดว่า “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ข้าจะได้รับมอบมณฑลจี่อันอย่างเป็นทางการ จะมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการ เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าคงต้องรบกวนพี่หกให้ช่วยเหลือ สำหรับสำนักศึกษาที่พี่หกพูดถึง จะสร้างใหม่อีกครั้ง เราต้องคำนวณว่ามีนักเรียนกี่คนที่ต้องการมาศึกษาที่มณฑลจี่อัน”
ซวนเทียนเฟิงรีบรุดพากองทัพมาที่นี่เป็นเวลาหลายวันเฟิงหยูเฮงเองก็ไม่ค่อยได้นอนเป็นเวลาสองสามคืน เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น พวกเขาก็พักผ่อน อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสองตื่นนอนประมาณ 8:30 ในตอนเช้า หลังจากอาบน้ำ พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังมณฑลจี่อัน
คราวนี้เฟิงหยูเฮงเข้าสู่มณฑลจี่อันอย่างเปิดเผยและพาทุกคนมาอยู่ข้างนางพวกเขาเข้ามาถือเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขององค์หญิง และองค์ชายหก, ซวนเทียนเฟิง ในมณฑลจี่อัน ผู้คนในตระกูลเต็งถูกขังไว้ในตู้ขนส่งนักโทษซึ่งรวมถึงท่านฮูหยินผู้เฒ่า และเต็งปิงที่ป่วยหนัก ผู้คนของมณฑลจี่อันทอดยาวไปตามถนนที่มีตู้ขนส่งของนักโทษ และพวกเขาก็ปาสิ่งของที่พวกเขาถือไว้ไปยังตู้ มีบางคนที่ขว้างก้อนหินไปโดนบ่าวรับใช้คนหนึ่งของตระกูลเต็ง
ผู้คนเกลียดตระกูลเต็งอย่างมากโดยเฉพาะคนที่ถูกหลอกมาพวกเขารู้สึกไม่พอใจเต็งปิงมาก แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกกลัวที่จะถูกค้นพบ ตัวอย่างเช่นคนที่เหมือนกับเต็งปิงและมาที่มณฑลจี่อันเพื่อดำเนินธุรกิจที่จะโขกราคาที่สูงเกินไปจากพลเมืองเพื่อหลอกลวงพวกเขา เมื่อตระกูลเต็งล้มลง พวกเขารู้ว่าดินแดนนี้จะมีเจ้าของคนใหม่ในไม่ช้า แม้ว่าร้านค้าของพวกเขาจะถูกสร้างขึ้นที่นี่ พวกเขาไม่มีการกระทำใด ๆ หากองค์หญิงจี่อันไม่พอใจ พวกเขาจะต้องรีบเก็บของออกไปทันที พวกเขาไม่มีที่ว่างให้เหตุผล แต่การก่อสร้างร้านค้าเหล่านี้ต้องใช้เงินสักหน่อย ก่อนที่พวกเขาจะได้รับทุนคืนกลับมาแบบนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกขาดทุน ผู้คนรู้สึกขัดแย้งและรวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำ
ทหาร30,000 นายออกเดินทางหลังจากได้รับคำสั่งจากซวนเทียนเฟิง หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว ภายในมณฑลก็สงบลง ทุกคนยืนอยู่บนถนนรวมถึงเด็กอายุสองหรือสามปีที่ยืนอยู่กับผู้ใหญ่ พวกเขามองเด็กผู้หญิงที่กระตือรือร้นนั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่และราวกับว่าพวกเขากำลังรอคำตัดสินเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขา
ในขณะเดียวกันเฟิงหยูเฮงกำลังปรับขนาดพลเมืองเหล่านี้ไม่ว่าพวกเขาจะทรยศหรือดี นางก็สามารถบอกได้อย่างรวดเร็ว
นางยิ้มและถามว่า“พวกเจ้าจะเป็นคนของราชวงศ์ต้าชุนหรือเป็นคนของมณฑลจี่อัน”
ทุกคนตกตะลึงเป็นคนของราชวงศ์ต้าชุนหรือคนของมณฑลจี่อัน ? พวกเขาควรตอบคำถามนี้อย่างไร สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในมณฑลจี่อัน พวกเขาเป็นคนของมณฑลจี่อันเพราะครอบครัวของพวกเขาถูกบังคับให้เข้ามณฑลจี่อันจากตระกูลเต็งเมื่อหลายชั่วอายุคนก่อนหน้านี้ สำหรับผู้ที่มีธุรกิจ พวกเขาถูกจับโดยตระกูลเต็งเมื่อหลายเดือนก่อน และไม่มีทางเลือกนอกจากย้ายเข้ามาอยู่ที่มณฑลจี่อัน ครอบครัวของพวกเขาเป็นพลเมืองของราชวงศ์ต้าชุนมาหลายชั่วอายุคน ตอนนี้พวกเขาตกลงมาถึงจุดนี้มันเป็นผลมาจากการถูกตระกูลเต็งทำร้าย
ผู้คนก็ตอบไม่ถูกกับคำถามนี้บางคนที่มีความกล้าหาญถามว่า “องค์หญิงต้องการให้เราเป็นคนของราชวงศ์ต้าชุนหรือคนของมณฑลจี่อันหรือขอรับ”
เฟิงหยูเฮงยังคงยิ้มและไตร่ตรองอย่างระมัดระวังแม้กระนั้นรอยยิ้มของนางก็ปกปิดเจตนาร้ายด้วย ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่ารอยยิ้มนี้จะซ่อนอะไร อย่างไรก็ตามพวกเขายังสามารถเข้าใจได้ว่าองค์หญิงจี่อันไม่มีความสุขมาก แม้ว่านางจะได้รับการคืนสิทธิ์ให้มณฑลจี่อัน แม้ว่าตระกูลเต็งถูกลงโทษไปแล้วก็ตาม มีคำถามมากมายเกี่ยวกับการพัฒนามณฑลจี่อัน ตัวอย่างเช่นพลเมืองเหล่านี้ควรได้รับการจัดการอย่างไร
“องค์หญิงผู้นี้ไม่ได้คาดหวังว่าพวกเจ้ามาจากที่แห่งใดพวกเจ้ามาจากที่ที่พวกเจ้าอยู่” เสียงของเฟิงหยูเฮงผ่อนคลายลงเล็กน้อยตามที่นางบอกพวกเขาว่า “แทนที่จะหวังว่าพวกเจ้าจะมาจากไหน ? พวกเจ้าต้องการเป็นคนแบบไหน ? พวกเจ้ารู้สึกผูกพันกับตระกูลเต็งมากแค่ไหนและพวกเจ้ารู้สึกผูกพันกับราชวงศ์ต้าชุนมากเพียงใด ? ข้ารู้ว่านี่เป็นตัวเลือกที่ยากมาก และข้ารู้ว่านี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ มันไม่สามารถตำหนิใครได้ แต่เนื่องจากมณฑลนี้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าชุนได้พระราชทานให้ข้า ข้ามีอำนาจเด็ดขาดในดินแดนนี้ รวมถึงบ้านและโฉนดที่ดิน รวมถึงหญ้าและต้นไม้ และครอบครัว”
ขณะที่นางกล่าวนางดึงพระราชโองการที่นางได้รับจากฮ่องเต้ในเวลานั้นออกมา จากนั้นนางก็ส่งมอบให้กับเจ้าเมืองหยูโจว, เฉียนเฟิงโจว เฉียนเฟิงโจวอ่านพระราชโองการของฮ่องเต้ให้ทุกคนฟังอย่างน่าเชื่อถือ ด้วยความกลัวว่าคำพูดนั้นจะยากเกินไปที่จะเข้าใจ เขาอธิบายในแง่คนธรรมดา “มณฑลนี้เป็นของราชวงศ์ต้าชุนมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นดินแดนที่ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อให้รางวัลแก่คนที่มีความชอบใหญ่หลวง สำหรับตระกูลเต็ง อดีตพวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ประจำมณฑลและคอยดูแลสถานที่แห่งนี้ให้กับราชวงศ์ต้าชุน สำหรับมณฑลจี่อัน พวกเขาเป็นเพียงผู้เฝ้าประตูสำหรับสถานที่แห่งนี้ แต่พวกเขาทะเยอทะยานเกินไป หลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน พวกเขาค่อย ๆ ลืมเกี่ยวกับตัวตนและตำแหน่งของตนเอง พวกเขามองตัวเองในฐานะเจ้านายของสถานที่แห่งนี้ การถูกลงโทษเก้าชั่วอายุคนจะไม่เป็นการพูดเกินจริง ในทางกลับกัน องค์หญิงจี่อันผู้ซึ่งได้รับพระราชทานมณฑลจี่อันเป็นเจ้าของที่แท้จริง นางเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของแผ่นดินนี้ บ้านที่เจ้าอาศัยอยู่และร้านค้าที่เจ้าเปิดมีเพียงองค์หญิงจี่อันเท่านั้นที่มีสิทธิ์มอบโฉนดซึ่งได้รับการยอมรับจากราชสำนักของราชวงศ์ต้าชุน เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ”