The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1036 - องครักษ์นภาจรัส
ตงฟางเถียนเฟิงหัวเราะเบาๆ ตอบ นางถอยไปที่ขอบสนามรบช้า ๆ และมองฮั่นเฟยด้วยรอยยิ้ม
“เฟิงเอ๋อเปลี่ยนใจแล้วพี่เฟยเอ๋อจะทำอะไรไม่ใช่เรื่องของข้า อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ”
อะไรกัน?หลายคนตกใจ เกิดอะไรขึ้น? ตงฟางเถียนเฟิงกำลังแสดงความขี้ขลาดในการต่อสู้!
ฮั่นเฟยหน้านิ่วนางสงสัยในใจ หรือว่านางคิดจะนั่งรอแล้วริบผลประโยชน์ไปในตอนท้าย? หรือเจ้าซือหยูเซี่ยนนั่นทำอะไรกับนางได้จริง ๆ?
แต่ความคิดนั้นก็หายไปในลมหายใจเดียวภูติระดับเก้าจะเป็นภัยกับตงฟางเถียนเฟิงที่เป็นนภาจรัสได้อย่างไร?
“ส่งพลังอสูรของเจ้ามาซะข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า”
ฮั่นเฟยบินขึ้นและก้มลงมองซือหยู
“หากข้าพอใจข้าจะชี้แนะเรื่องการบ่มเพาะให้เจ้า!”
คำพูดอันอวดดีนี้ฟังดูมีเหตุผลเมื่อออกมาจากปากฮั่นเฟย
หลายคนมองซือหยูด้วยความริษยาแม้แต่ศิษย์ในตำหนักโลหิตเองก็อิจฉาเขา เป็นเกียรติระดับไหนกันที่จะได้การชี้แนะจากนภาจรัส?
“ข้ามีผู้ชี้แนะอยู่แล้วแม่นางฮั่นไม่ต้องเป็นห่วงข้า!”
ซือหยูตอบโดยไม่คิดซ้ำสอง
ฮั่นเฟยนิ่งเงียบไปนางราวกับทำใจ
“ก็ได้ข้ามีองครักษ์อสูรอยู่เก้าคน กำลังขาดหนึ่งคน เจ้าไปรับตำแหน่งนั้นได้!”
หลายคนร้องตะโกนด้วยความตกตะลึง
“อะไรนะ?องครักษ์อสูรเรอะ! มันคือตำแหน่งองครักษ์ที่ฮั่นเฟยเชื่อใจ คนเหล่านั้นจะเทียบได้กับผู้เฒ่าอสูรทั้งสิบแห่งสำนักอสูรสวรรค์ มีทรัพยากรให้เลือกไม่จำกัด และจะได้รับคำชี้แนะจากฮั่นเฟยได้ทุกเมื่อ!”
นภาจรัสทั้งสี่ทุกคนล้วนมีองครักษ์ของตัวเอง
ตามข่าวลือองครักษ์ทุกคนเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอดที่เป็นรองเพียงแค่นภาจรัส
องครักษ์แต่ละคนนั้นเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละดินแดนอย่างเช่นยอดฝีมือในระดับที่แกร่งอย่างกู้ไทซู หรือคนที่แกร่งที่สุดในดินแดนมีดสวรรค์อย่างปี้หลิงเทียน
การได้เป็นองครักษ์ของนภาจรัสสักคนเหมือนกับจุดสุดยอดของชีวิต
ถึงอย่างนั้นเงื่อนไขในการเป็นองครักษ์ก็เข้มงวดมาก มันเหมือนกับการตัดสินนภาจรัสไม่มีผิดเพี้ยน คนธรรมดาย่อมไม่เคยได้ใฝ่ฝันถึง สำหรับคนธรรมดาอย่างซือหยู การได้เป็นองครักษ์ของนภาจรัสย่อมหมายถึงการประสบความสำเร็จในทันที!
สายตานับล้านมองทะลวงซือหยูด้วยความอิจฉา
“โชคดีนัก!”
เทียนหยูอิจฉาเช่นกันแต่นางก็หวาดกลัวด้วย
ความแค้นของเฉียนเฟิงหายไปอย่างไร้ซุ่มเสียงมันแทนที่ด้วยความนับถือ แม้แต่ปี้หลิงเทียนกับกู้ไทซูก็ขมวดคิ้วพร้อมกัน เรื่องเริ่มจะซับซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้ว
องครักษ์ของแม่มดแห่งำสนักอสูรสวรรค์มีฐานะที่ไม่เหมือนใครในทั้งทวีป แม้แต่อสูรเนรมิตรก็ไม่กล้าจะแตะต้อง
“เป็นองครักษ์มันยิ่งใหญ่อะไรนักหนารึ?”
เสียงแปลกแยกทำลายความตกใจในเหตุการณ์
ทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อมองต้นเสียง!
มิใช่ใครอื่นที่พูดคำนี้แต่เป็นซือหยูเซี่ยนที่กำลังจะประสบความสำเร็จต่อหน้าต่อตาพวกเขา!
ฮั่นเฟยแปลกใจมากนางอาจเข้าใจหากคนอย่างกู้ไทซูและปี้หลิงเทียนไม่รับข้อเสนอจากนาง เพราะทั้งสองมีพลังพอที่จะเทียบกับสี่นภาจรัสในยุคนี้
แล้วความมั่นใจของซือหยูมาจากไหนกัน?
“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้ารู้ความหมายขององครักษ์อสูรดีแล้ว?”
ฮั่นเฟยถาม
ซือหยูหัวเราะ
“แน่นอนมันหมายถึงการก้มหัวให้ผู้มีอำนาจอื่น และยอมแพ้ในการไล่ตามความฝันในการเป็นผู้แข็งแกร่ง!”
การเป็นองครักษ์อสูรหมายถึงการจำยอมต่อฮั่นเฟยทั้งตัวตนและจิตวิญญาณ
หากก้มหัวแล้ว…ยังพอมีวันที่มันจะเงยขึ้นมาอีกครั้ง แต่หากหัวใจสยบก้มลง…วันที่จะก้าวข้ามเหนือผู้ใดจะไม่มีวันมาถึงอีก ไอลีนโนเวล
ฮั่นเฟยแสดงความทึ่งผ่านสายตานางมองซือหยูหัวจรดเท้าอีกครั้ง นางมองเขาเปลี่ยนไป
นางเคยเห็นคนที่อ้างตัวเองว่ามีเกียรติและอ้างในความมุนานะของตนแต่เพียงเพราะคนเหล่านั้นเห็นสิ่งเย้ายวนใจ พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เกียรติยศและศักดิ์ศรีที่เคยมีก็เลือนหายตามไปด้วย
เป็นเรื่องยากที่จะมีใครรักษาหลักการของตัวเองได้ในทุกสถานการณ์และไม่หวาดกลัวต่อพลังอันยิ่งใหญ่ฮั่นเฟยดีใจที่ได้พบกับอุปนิสัยเช่นนี้ในตัวซือหยู
บุรุษผู้มีเกียรติยอมได้รับความนับถือแม้จากศัตรู
“ช่างเป็นความคิดที่หาได้ยากยิ่งดีมาก! ข้าชอบ”
ฮั่นเฟยยิ้มอย่างจริงใจมันเป็นรอยยิ้มที่ยอมรับใครคนหนึ่ง เป็นรอยยิ้มที่ฮั่นเฟยมักจะไม่เคยให้ใคร
แม้กู้ไทซูที่ใช้เวลาหลายวันกับนางในแดนมณีก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มจากนาง
“น่าเสียดายที่พลังเจ้าไม่ถึงมาตรฐานของข้ามิเช่นนั้นข้าก็คงจะไม่เดียวดายในหนทางเส้นนี้”
ฮั่นเฟยถอนหายใจด้วยความเสียดาย
เมื่อนางมองซือหยูอีกครั้งแววตานางอ่อนโยนขึ้นมาก
“คงน่าเสียดายหากเจ้าต้องตายที่นี่ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าในวันนี้ แต่พลังอสูรที่เจ้ามีสำคัญกับข้าและสำนักอสูรสวรรค์ วันหนึ่ง หากเจ้าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว จงเอาพลังนั้นมาแลกกับสิ่งที่ต้องการได้ในสำนักอสูรสวรรค์”
ฟึ่บ!
ฮั่ยเฟยถอดตราทมิฬจากเอวมันมีกลิ่นอายพลังของนางและมีนามของนางสลักอยู่
“นี่คือตราประจำตัวของข้าดูแลมันให้ดีอนาคตหากได้มาสำนักอสูรสวรรค์…ให้ใช้สิ่งนั้นตามหาข้า”
ซือหยูคว้าตราของนางเขารู้สึกมั่นคงขึ้น
ตงฟางเถียนเฟิงที่ดูเหมือนเด็กสาวไร้เสียงดาและใจดีแท้จริงคือสตรีที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวและเจ้าอุบาย
แต่ฮั่นเฟยที่ดูไร้หัวใจและเย็นชาดั่งอสูรสาวแท้จริงแล้วเป็นผู้มีความเห็นอกเห็นใจ
“ข้าจะเก็บไปคิด”
ซือหยูพยักหน้าและเก็บตราเอาไว้
ความรู้สึกทุกประเภทเกิดขึ้นในจิตใจของผู้คนที่มองดูซือหยูเซี่ยนที่เกือบแตกดับได้รับการยอมรับจากฮั่นเฟยแทนความโกรธแค้น
และด้วยฮั่นเฟยที่อยู่ตรงนี้ใครกันจะกล้าขัดใจซือหยูกับตำหนักโลหิตอีก? แม้แต่ดินแดนมีดสวรรค์เองก็ต้องกลืนความแค้นกลับไป
“ถ้าเช่นนั้นไว้เจอกันใหม่” ฮั่นเฟยยิ้มและหันหลังกลับ
แต่ในตอนนั้นเองม่านแสงสีเขียวได้ส่องประกายมาจากขอบนภา
แสงสีเขียวหมุนวนมาทางพวกเขามันปกคลุมจ้องนภาจากที่ห่างไกล มันถอนขุดภูเขาทีละลูกตาม ๆ กันมาจนเหล่ายอดฝีมือรีบบินหนีด้วยความหวาดกลัว
แสงเข้ามาใกล้มากขึ้นพื้นที่ไร้ขอบเขตได้เปลี่ยนเป็นสีเขียว
ทุกคนถูกบดบังด้วยเงาเขียวพวกเขาเหมือนกับมนุษย์ตัวเขียวน่ากลัว มันเป็นภาพที่ชวนขนลุก
“นี่มันบ้าอะไรกัน?ข้าอยู่ในหนังผีหรือยังไง?”
ซือหยูพูดเบาๆ
เมื่อจ้องมองวายุแสงเขียวซือหยูสัมผัสกลิ่นอายของพลังได้ มันไม่ใช่พลังของมนุษย์ แต่เป็นพลังจากสิ่งอื่นที่ไม่มีชีวิต!
ฮั่นเฟยตงฟางเถียนเฟิง กู้ไทซู ปี้หลิงเทียน และคนอื่น ๆ ที่เหลือต่างหันไปมองวายุเขียว
“ของน่ากลัวกำลังมา”
ในที่สุดรอยยิ้มเล็กๆ ของปี้หลิงเทียนก็จางหายไป เขาเบิกตากว้างขึ้นเรื่อย ๆ
สายพลังของกู้ไทซูหมุนเวียนในความเร็วที่มากกว่าเดิมมาก
“นี่มันจิตวิญญาณ!”
ด้วยกายาเก้าวิญญาณเขาอ่อนไหวต่อจิตวิญญาณมาก
วิหคเพลิงของตงฟางเถียนเฟิงตัวสั่นอย่างแรงดวงตาของมันดูหวาดกลัวราวกับได้เจอสัตว์ประหลาดชั้นสูง ไม่ว่าตงฟางเถียนเฟิงจะปลอบมันเท่าใดก็ไร้ผล
ฮั่นเฟยเหลือบมองและพูดอย่างไร้อารมณ์
“นั่นคือเสี้ยววิญญาณที่เคยเป็นเซียนมาก่อนเมื่อยังมีชีวิต”
เสี้ยววิญญาณของจิตวิญญาณโบราณที่เคยเป็นเซียน!!
แต่ละคนค่อยๆ ขนลุกขึ้นเรื่อย ๆ โลกจมสู่ความเยือกเย็นในทันที ราวกับวิญญาณน่าสะพรึงกลัวได้มาถึง