The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1077 - มิตรเก่า
ขอเปลี่ยนหยุนย่าสี เป็น หยุนหยาซือ นะครับ ขออภัยทุกท่านด้วยครับ
…
ซือหยูตกใจเมื่อเข้าใจสิ่งที่เทพกิเลนตั้งใจจะบอก
“เจ้ากลัวว่ามันจะตกไปอยู่ในมือคนอื่นที่คิดร้ายแล้วทำให้เรื่องเลวร้ายกว่านี้รึ?”
“ฮื่ม!จิวโจวเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ต่อให้ร่างอสูรตกไปอยู่ในมือปิงหวูชิงหรือคนอื่น พลังของเหล่าปรมาจารย์ในจิวโจวยอมมากพอที่จะปกป้องทวีป สิ่งที่ข้ากังวลคือเมื่อร่างอสูรปรากฏออกมา เทพอสูรอื่นจะสัมผัสได้และมาที่จิวโจว นั่นล่ะภัยพิบัติของแท้!”
ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ร่างเทพอสูรจะมิอาจมีตัวตนให้ใครรับรู้ได้
“ย่อมได้คำถามสุดท้าย”
ซือหยูพูดเบาๆ “ทำไมเจ้าถึงต้องใช้ข้า?หาคนที่มีพลังไร้เทียมทานอย่างจางอู๋ชวงคงเหมาะกว่าไม่ใช่รึ?”
เทพกิเลนอาจหาคนช่วยจิวโจวที่ดีกว่าเขาได้ดีกว่าหากจะไม่แพ้ในศึกนี้
“เพราะเจ้าเหมือนข้า…”
เทพกิเลนถอนหายใจด้วยความรู้สึกอ่อนแรง
ซือหยูเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“เหมือนตรงไหนกัน?”
“เจ้าหล่อเหมือนข้า…”
ซือหยูพูดไม่ออก
ดูเหมือนว่าเทพกิเลนจะไม่ปล่อยให้ซือหยูปฏิเสธต่อให้เขาปกป้องร่างของเทพอสูรได้ ด้วยพลังของเขา เขาจะควบคุมร่างกายนี้เองได้
“ถ้าเช่นนั้นมา..เริ่มกันเลย…”
เงาทมิฬบนร่างเทพกิเลนเทพจะสลายหายไป
ภายในหมอกทมิฬผลึกแก้วสีม่วงปรากฏออกมาช้า ๆ มันลอยไปที่เหนือซือหยู ผลึกนั้นไม่ได้ฝังเข้าไปในร่างของเขา แต่มันหายไปภายใต้ผิวหนัง ปรากฏในดวงวิญญาณ
เขาเห็นผลึกสีม่วงขนาดเท่าหัวแม่มือเปล่งแสงเหนือหม้อเก้ามังกร
ควันดำของร่างเทพกิเลนสั่นสะเทือนอย่างไม่มั่นคงเทพกิเลนตกใจ
“หม้อนั่นมัน…”
“ฮ่าฮ่าฮ่าเป็นแบบนี้เองสินะ…ข้าประเมินเจ้าต่ำไป…”
เทพกิเลนระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อได้พบความลับอันยิ่งใหญ่
“แบบนี้ก็ดีข้าจะได้สบายใจที่ฝากหม้อใบนี้กับการต่อสู้ให้เจ้า แล้วเจอกันใหม่ น้องชาย”
ควันหมอกเทพกิเลนเบาบางลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ จิตวิญญาณดับไปอย่างไม่เต็มใจ ร่างกายเทพกิเลนสลายไปด้วย
ซือหยูเศร้าใจดวงวิญญาณยุคแรกแห่งจิวโจวดับไปแล้ว นั่นหมายความว่าทุกดวงวิญญาณในอดีตจากไปแล้วจริง ๆ
ซือหยูย่อตัวโค้งคำนับ
“ท่านทำดีแล้วผู้อาวุโส”
พรึ่บ!
ควันร่างเทพกิเลนแหลกสลายไม่เหลือสิ่งใด
ผ่านไปนานเขากระซิบ
“เจ้ากำลังไว้ทุกข์อยู่หรือ?ออกมาได้แล้ว ปิงหวูชิง!”
ฟึ่บ!
บนซากอสูรจุดเดียวกับที่เทพกิเลนแตกดับ ร่างมนุษย์ผมขาวปรากฏตัวเงียบ ๆ นางยืนหันหลังให้ซือหยูมานานแล้ว นางเงียบและไม่พูดอะไร “เราต่อสู้กันได้อีกตลอดกาลและเจ้าจะต้องไล่ตามข้าตลอดไป”
ปิงหวูชิงพูดกับซากเทพกิเลนด้วยน้ำเสียงที่เป็นได้ทั้งความยินดีและความเศร้า
นางหันมามองซือหยู
“ดวงวิญญาณเทพกิเลนอ่อนแอมันสัมผัสไม่ได้ว่าข้าเข้ามาที่นี่กับเจ้า หากเจ้าสัมผัสได้ ใยเจ้าไม่บอกมันเล่า?”
ไม่นานหลังจากเข้ามาที่นี่ซือหยูสัมผัสรังสีพลังเย็นชาของปิงหวูชิงได้ แต่ในตอนนั้น…
“เทพกิเลนสละชีวิตเพื่อคนมากมายคนเหล่านั้นย่อมจดจำเขาได้ ข้าไม่อยากให้เทพกิเลนต้องโศกเศร้าในวาระสุดท้าย”
ซือหยูถอนหายใจเขารู้ตั้งนานแล้วว่าปิงหวูชิงอยู่ที่นี่ นางกำลังจะเข้าสิงซากอสูร ครอบครองพลังของกึ่งเทพ และทำลายจิวโจวด้วยความแค้น
แต่แม้ว่าเทพกิเลนจะรู้ก่อนเทพกิเลนก็มิอาจทำอะไรเพื่อหยุดยั้งได้ คงจะดีกว่าหากให้เทพกิเลนได้ตายตาหลับ
เทพกิเลนประเมินพลังของปิงหวูชิงต่ำไปเสี้ยววิญญาณในสวนสุสานมิอาจถ่วงเวลานางได้ถึงครึ่งชั่วโมง นางเป็นอิสระในเวลาถ้วยชาเดียว
จากนั้นนางจึงใช้โอกาสนั้นเข้ามาในหอคอยร้อยชั้นเข้าใกล้กับร่างต้นของนาง
ซือหยูได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหวังการผจญภัยครั้งนี้ดูจะยาวไกลขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกย่างก้าว แต่ปิงหวูชิงก็ยังเหนือกว่า และเขาอาจไร้ทางเลือก แม้แต่การถอยก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้
“เจ้าจะตายไม่ได้เพราะเจ้าต้องมาแทนที่เทพกิเลนสินะ?”
ปิงหวูชิงเดินมาหาซือหยูพร้อมกับหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่เสียงหัวเราะของนางเยือกเย็นและซับซ้อน
ซือหยูไร้กระจิตกระใจเขาทั้งเหนื่อยล้าและไม่พอใจ เขาตอบเสียงอ่อน
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดเท่าใดนัก”
“ถึงเวลาจบเรื่องระหว่างเราสักที”
ปิงหวูชิงพูด
“ตั้งแต่แรกข้าอยากจะถ่วงเวลาเจ้าและใช้เวลานั้นฟื้นพลังคืนมา ข้าจะรอจนกว่าร่างอสูรของข้ามีพลังเต็มที่ แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังอยู่ ข้าต้องเสี่ยง ขออภัยด้วย น้องซือ”
นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่นางใช้เวลาในตำหนักโลหิตนางช่วยซือหยูปิดบังตัวตนของเขาเพื่อเป็นการตอบแทน แต่มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
เพียงพริบตาปิงหวูชิงก็ก้าวพริบตาถึงตรงหน้าซือหยู ทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
นางกระซิบและจรดดัชนีที่ระหว่างคิ้วของซือหยู
“ลาก่อน”
สัมผัสเยือกเย็นแห่งความตายเข้าสู่ดวงวิญญาณของเขา แต่จากนั้นปิงหวูชิงก็กรีดร้องด้วยความตกใจดัชนีของนางถูกปัดออกไป นางกระเด็นไปข้างหลังพันศอก
นางตกใจเป็นอย่างมากนางกระวนกระวายและรีบตะโกนสั่ง
“ใครกัน?ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เส้นผมเส้นหนึ่งลอยออกมาจากซือหยูและแปลงเป็นร่างมนุษย์ร่างนั้นหันหลังให้ตามด้วยแสงสว่างจ้า นางตกใจจนขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะ ใบหน้าเรียบเนียนของนางสับสนอย่างหนัก
ซือหยูดีใจมาก
“ท่านอาจารย์!”
เขาอุทานด้วยความตื่นเต้นนี่อาจเป็นครั้งแรกที่หยุนหยาซือสีปรากฏตัวมาเพื่อช่วยซือหยูเป็นครั้งแรก เขาพูดว่าจะไม่มีวันออกมาช่วยชีวิตซือยหู และนี่คือครั้งแรกที่เกิดข้อยกเว้นขึ้น
หยุนหยาซือพยักหน้ากล่าวชมซือหยู “ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้าคาดเจ้าทำได้ดีมาก! ข้าภูมิใจที่มีศิษย์อย่างเจ้า”
ทัศนคติต่ออำนาจความชั่วร้ายความมุมานะ และสติปัญญา ทุกอย่างล้วนไร้ที่ติ
คำชมของเขาเป็นดั่งคำพูดฟื้นฟูจิตใจซือหยูความอบอุ่นและพละกำลังเอ่อล้นออกมาจากร่าง ความเหนื่อยล้าหายไป
“ผู้อาวุโสหยุน!”
ปิงหวูชิงอุทานชื่อออกมาหลังจากตกตะลึง
หยุนหยาซือหันไปมองร่างอสูรสีเลือดบนพื้นและมองปิงหวูชิงเขาถอนหายใจ
“เจ้าคือหนึ่งในผู้มีเกียรติแห่งเก้าตระกูลหลักแต่กลับปรารถนาหันหลังให้เผ่าพันธุ์ตัวเองสู่ด้านมืด สุดท้ายเจ้าก็เลือกหนทางนี้หรือ?”
ซือหยูหูผึ่งปิงหวูชิงไม่ใช่อสูรเลือดบริสุทธิ์ แต่เป็นมนุษย์ที่เลือกเดินทางผิดหรือ?
ปิงหวูชิงตัวสั่นนางหันไปมองท้องนภาใบหน้านางเหมือนกับภูติผี นางโค้งคำนับและพูดด้วยความนับถือ
“ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบกับผู้มีพระคุณเมื่อหมื่นปีก่อนในสถานการณ์เช่นนี้ข้า…ละอายใจยิ่งนัก”
“อดีตบางเบาดุจปุยเมฆหากเจ้าเลือกด้านมืด ความสัมพันธ์ของเราล้วนไร้ค่า ดั่งเมฆาที่แหลกสลาย”
หยุนหยาซือกล่าวอย่างไร้อารมณ์
เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์กับอสูรจะญาติดีต่อกัน
“ข้าเคยคิดว่าเจ้าจะมาพาข้าไปสมบัติที่เจ้าสัญญาตั้งแต่แรก ทุกสิ่งกลับเป็นแค่เหยื่อล่อ”
หยุนหยาซือพูดอย่างหม่นหมอง
สมบัติรึ?ปิงหวูชิงหัวเราะอย่างขมขื่น
“ครั้งนั้นข้าสาบานกับบรรพบุรุษว่าหลังจากข้าตาย ข้าจะทิ้งสิ่งเหล่านั้นกับคนรุ่นหลัง แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ข้าถูกเผ่ามืดจับตัว ข้าไม่ฝืนสิ่งยั่วยวนที่จะได้เป็นอมตะ ข้ายอมรับสายโลหิตจากด้านมืดเพื่อที่ข้าจะได้รักษาเกียรติยศของบรรพบุรุษข้า”
ซือหยูได้แต่ตกใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เป็นอย่างไรกันแน่?
หากยอดฝีมือฝึกฝนและเลือกหนทางที่ต่างกันออกไปสิ่งที่ได้กลับคืนก็ย่อมแตกต่าง แล้วปิงหวูชิงเลือกอะไรกัน?
“ไม่มีสิ่งใดระหว่างเราอีกแล้วไม่มีเรื่องให้พูดกันอีก”
หยุนหยาซือกล่าวอย่างไม่สนใจความโกรธกำลังก่อเกิด
เขาพูดถูกทั้งหมดสายสัมพันธ์ในอดีตขาดสะบั้น เหมือนกับความสัมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับอสูร
ปิงหวูชิงโศกเศร้าอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อหยุนหยาซือโกรธแค้น
นางหลับใหลมากว่าหมื่นปีศัตรูมากมายได้สลายเป็นผุยผงคืนสู่ดิน และเมื่อตื่นขึ้นมานางกลับได้พบผู้มีพระคุณในวันที่ยังเป็นมนุษย์หลังจากที่เป็นอสูรไปแล้ว
นางได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์มืดที่นางเคยชิงชัง
“หมื่นปีผ่านมาแล้วใครจะคิดว่าผู้อาวุโสหยุนจะตกยากจากจุดสูงสุดเป็นเพียงดวงวิญยาณ”
ปิงหวูชิงกล่าว
“ท่านมิได้มีค่าเท่ากับข้าหรอกหรือ?”
ปิงหวูชิงหันไปมองซือหยูนางมองร่างอสูรที่เขาเหยียบ นางพูด
“จงเตรียมตัวให้ดีจนกว่าจะเจอข้าครั้งต่อไป”
นางบินขึ้นฟ้าเลิกล้มที่จะชิงร่างอสูรกลับคืน เลิกล้มความคิดที่จะสังหารซือหยู และจากไป
ที่นี่ยากที่จะเข้าแต่ง่ายที่จะออกนางฉีกมิติออกไปอย่างง่ายดาย
ก่อนไปเสียงถอนหายใจอันซับซ้อนดังก้องฟ้าดิน
“เหรียญมีสองด้านครั้งต่อไปที่ได้เจอ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ จงอย่าหยุดผู้อาวุโสหยุน ถ้าเจ้าพยายามจะหยุดเขา เขาจะฆ่าเจ้า”
ครั้งนี้นางโชคดีที่รอดชีวิตมาได้เพราะความสัมพันธ์เก่าระหว่างกัน
หยุนหยาซือไม่คิดขวางทางนางเขามองตามนางไป
ซือหยูเงียบก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“ท่านอาจารย์หากท่านต้องสู้ จะมีโอกาสมากเพียงใดหรือ?”
“อาจจะมีโอกาสชนะสักสิบส่วน…”
หยุนหยาซือพูด
ซือหยูพูดต่อ
“แล้วใยถึงปล่อยนางไปเล่า?นางอ่อนแอในเวลานี้ ถ้าหากนางกลับจิวโจว โลหิตจะต้องไหลดั่งแม่น้ำ”
มีวิธีโหดร้ายมากมายในการเพิ่มพลังอสูรการทรมานย่อมทำให้อสูรแข็งแกร่งขึ้น
“ปิงหวูชิงเผยตัวตนแล้วข้าเกรงว่าจิวโจวจะ…”
“สิบส่วนของนางศูนย์คือของข้า”
ซือหยูตัวแข็งทื่อ
“นางแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ซือหยูคิดอยู่ตลอดว่าหยุนหยาซือนั้นไม่มีใครเทียบได้ในการต่อสู้พลังของเขาไร้ขีดจำกัด
หยุนหยาซือกล่าว
“จิตวิญญาณนางอาจอ่อนแอแต่นางไม่ได้บาดเจ็บในทางกาย ไม่เหมือนกับข้าที่เคยตายมาก่อน ดวงวิญญาณข้าเทียบกับหนึ่งในร้อยของนางยังไม่ได้”
เทพอสูรมณีเพียงแค่ถูกผนึกมาหมื่นปีนางไม่เคยถูกสังหารมาก่อนเลย
“แล้วถ้าให้เวลาท่านอาจารย์ฟื้นฟูเล่า?”
ซือหยูถามแม้แต่ในตอนนี้ พลังของหยุนหยาซือก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“เวลาเดินแล้ว”
“ท่านอาจารย์ต้องใช้เวลานานเท่าใด?”
ซือหยูถาม
หยุนหยาซือมองซากร่างอสูรที่ยืนอยู่
“มีพลังทิ้งเอาไว้มากพอที่นี่ข้าอาจฟื้นพลังส่วนหนึ่งได้ในหนึ่งปี”
หนึ่งปีรึ?ซือหยูคำนวน จิวโจวกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะเป็นเทพก็ยากที่จะตามล่าซือหยูได้
ยิ่งไปกว่านั้นปิงหวูชิงมีอิสระในจิวโจว นางจะต้องสร้างความปั่นป่วนในสักแห่งแน่ นางคงไม่คิดจะตามหาซือหยูเป็นอันดับแรก
เวลาหนึ่งปีเขาน่าจะหาได้มากพอ
แน่นอนว่านี่คือการทำให้หยุนหยาซือแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ไม่ใช่แนวทางการต่อสู้ของซือหยู เขาจะต้องพัฒนาตัวเองให้แกร่งยิ่งกว่า! “หุ่นเชิดสีเงินของเจ้าจะเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่กี่วันฝึกฝนต่อไป”
หยุนหยาซือเตือนซือหยู
หุ่นเชิดสีเงินรึ?ซือหยูย่อมไม่ลืม อย่างไรมันก็คือสิ่งป้องกันตัวเขา
“ระหว่างหนีข้าจะอ่านตำราโบราณและหาทางแก้เนตรอสูรของเจ้า”
หยุนหยาซือเริ่มแปลงกายเป็นเส้นผม
“แล้วก็วิบัติของเจ้าจะมาถึงเร็วกว่าเดิม”
เมื่อได้ยินอย่างหลังซือหยูใจเต้นด้วยความยินดีเล็กน้อย
เขาเคยคิดถึงเรื่องวิบัติของเขามาก่อนแต่มันก็เป็นเพียงความสงสัย
แต่หยุนหยาซือยืนยันแล้วว่ามันจะมาเร็วขึ้น!
…
ซือหยูตกใจเมื่อเข้าใจสิ่งที่เทพกิเลนตั้งใจจะบอก
“เจ้ากลัวว่ามันจะตกไปอยู่ในมือคนอื่นที่คิดร้ายแล้วทำให้เรื่องเลวร้ายกว่านี้รึ?”
“ฮื่ม!จิวโจวเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ต่อให้ร่างอสูรตกไปอยู่ในมือปิงหวูชิงหรือคนอื่น พลังของเหล่าปรมาจารย์ในจิวโจวยอมมากพอที่จะปกป้องทวีป สิ่งที่ข้ากังวลคือเมื่อร่างอสูรปรากฏออกมา เทพอสูรอื่นจะสัมผัสได้และมาที่จิวโจว นั่นล่ะภัยพิบัติของแท้!”
ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ร่างเทพอสูรจะมิอาจมีตัวตนให้ใครรับรู้ได้
“ย่อมได้คำถามสุดท้าย”
ซือหยูพูดเบาๆ “ทำไมเจ้าถึงต้องใช้ข้า?หาคนที่มีพลังไร้เทียมทานอย่างจางอู๋ชวงคงเหมาะกว่าไม่ใช่รึ?”
เทพกิเลนอาจหาคนช่วยจิวโจวที่ดีกว่าเขาได้ดีกว่าหากจะไม่แพ้ในศึกนี้
“เพราะเจ้าเหมือนข้า…”
เทพกิเลนถอนหายใจด้วยความรู้สึกอ่อนแรง
ซือหยูเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“เหมือนตรงไหนกัน?”
“เจ้าหล่อเหมือนข้า…”
ซือหยูพูดไม่ออก
ดูเหมือนว่าเทพกิเลนจะไม่ปล่อยให้ซือหยูปฏิเสธต่อให้เขาปกป้องร่างของเทพอสูรได้ ด้วยพลังของเขา เขาจะควบคุมร่างกายนี้เองได้
“ถ้าเช่นนั้นมา..เริ่มกันเลย…”
เงาทมิฬบนร่างเทพกิเลนเทพจะสลายหายไป
ภายในหมอกทมิฬผลึกแก้วสีม่วงปรากฏออกมาช้า ๆ มันลอยไปที่เหนือซือหยู ผลึกนั้นไม่ได้ฝังเข้าไปในร่างของเขา แต่มันหายไปภายใต้ผิวหนัง ปรากฏในดวงวิญญาณ
เขาเห็นผลึกสีม่วงขนาดเท่าหัวแม่มือเปล่งแสงเหนือหม้อเก้ามังกร
ควันดำของร่างเทพกิเลนสั่นสะเทือนอย่างไม่มั่นคงเทพกิเลนตกใจ
“หม้อนั่นมัน…”
“ฮ่าฮ่าฮ่าเป็นแบบนี้เองสินะ…ข้าประเมินเจ้าต่ำไป…”
เทพกิเลนระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อได้พบความลับอันยิ่งใหญ่
“แบบนี้ก็ดีข้าจะได้สบายใจที่ฝากหม้อใบนี้กับการต่อสู้ให้เจ้า แล้วเจอกันใหม่ น้องชาย”
ควันหมอกเทพกิเลนเบาบางลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ จิตวิญญาณดับไปอย่างไม่เต็มใจ ร่างกายเทพกิเลนสลายไปด้วย
ซือหยูเศร้าใจดวงวิญญาณยุคแรกแห่งจิวโจวดับไปแล้ว นั่นหมายความว่าทุกดวงวิญญาณในอดีตจากไปแล้วจริง ๆ
ซือหยูย่อตัวโค้งคำนับ
“ท่านทำดีแล้วผู้อาวุโส”
พรึ่บ!
ควันร่างเทพกิเลนแหลกสลายไม่เหลือสิ่งใด
ผ่านไปนานเขากระซิบ
“เจ้ากำลังไว้ทุกข์อยู่หรือ?ออกมาได้แล้ว ปิงหวูชิง!”
ฟึ่บ!
บนซากอสูรจุดเดียวกับที่เทพกิเลนแตกดับ ร่างมนุษย์ผมขาวปรากฏตัวเงียบ ๆ นางยืนหันหลังให้ซือหยูมานานแล้ว นางเงียบและไม่พูดอะไร “เราต่อสู้กันได้อีกตลอดกาลและเจ้าจะต้องไล่ตามข้าตลอดไป”
ปิงหวูชิงพูดกับซากเทพกิเลนด้วยน้ำเสียงที่เป็นได้ทั้งความยินดีและความเศร้า
นางหันมามองซือหยู
“ดวงวิญญาณเทพกิเลนอ่อนแอมันสัมผัสไม่ได้ว่าข้าเข้ามาที่นี่กับเจ้า หากเจ้าสัมผัสได้ ใยเจ้าไม่บอกมันเล่า?”
ไม่นานหลังจากเข้ามาที่นี่ซือหยูสัมผัสรังสีพลังเย็นชาของปิงหวูชิงได้ แต่ในตอนนั้น…
“เทพกิเลนสละชีวิตเพื่อคนมากมายคนเหล่านั้นย่อมจดจำเขาได้ ข้าไม่อยากให้เทพกิเลนต้องโศกเศร้าในวาระสุดท้าย”
ซือหยูถอนหายใจเขารู้ตั้งนานแล้วว่าปิงหวูชิงอยู่ที่นี่ นางกำลังจะเข้าสิงซากอสูร ครอบครองพลังของกึ่งเทพ และทำลายจิวโจวด้วยความแค้น
แต่แม้ว่าเทพกิเลนจะรู้ก่อนเทพกิเลนก็มิอาจทำอะไรเพื่อหยุดยั้งได้ คงจะดีกว่าหากให้เทพกิเลนได้ตายตาหลับ
เทพกิเลนประเมินพลังของปิงหวูชิงต่ำไปเสี้ยววิญญาณในสวนสุสานมิอาจถ่วงเวลานางได้ถึงครึ่งชั่วโมง นางเป็นอิสระในเวลาถ้วยชาเดียว
จากนั้นนางจึงใช้โอกาสนั้นเข้ามาในหอคอยร้อยชั้นเข้าใกล้กับร่างต้นของนาง
ซือหยูได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหวังการผจญภัยครั้งนี้ดูจะยาวไกลขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกย่างก้าว แต่ปิงหวูชิงก็ยังเหนือกว่า และเขาอาจไร้ทางเลือก แม้แต่การถอยก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้
“เจ้าจะตายไม่ได้เพราะเจ้าต้องมาแทนที่เทพกิเลนสินะ?”
ปิงหวูชิงเดินมาหาซือหยูพร้อมกับหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่เสียงหัวเราะของนางเยือกเย็นและซับซ้อน
ซือหยูไร้กระจิตกระใจเขาทั้งเหนื่อยล้าและไม่พอใจ เขาตอบเสียงอ่อน
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดเท่าใดนัก”
“ถึงเวลาจบเรื่องระหว่างเราสักที”
ปิงหวูชิงพูด
“ตั้งแต่แรกข้าอยากจะถ่วงเวลาเจ้าและใช้เวลานั้นฟื้นพลังคืนมา ข้าจะรอจนกว่าร่างอสูรของข้ามีพลังเต็มที่ แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังอยู่ ข้าต้องเสี่ยง ขออภัยด้วย น้องซือ”
นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่นางใช้เวลาในตำหนักโลหิตนางช่วยซือหยูปิดบังตัวตนของเขาเพื่อเป็นการตอบแทน แต่มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
เพียงพริบตาปิงหวูชิงก็ก้าวพริบตาถึงตรงหน้าซือหยู ทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
นางกระซิบและจรดดัชนีที่ระหว่างคิ้วของซือหยู
“ลาก่อน”
สัมผัสเยือกเย็นแห่งความตายเข้าสู่ดวงวิญญาณของเขา แต่จากนั้นปิงหวูชิงก็กรีดร้องด้วยความตกใจดัชนีของนางถูกปัดออกไป นางกระเด็นไปข้างหลังพันศอก
นางตกใจเป็นอย่างมากนางกระวนกระวายและรีบตะโกนสั่ง
“ใครกัน?ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เส้นผมเส้นหนึ่งลอยออกมาจากซือหยูและแปลงเป็นร่างมนุษย์ร่างนั้นหันหลังให้ตามด้วยแสงสว่างจ้า นางตกใจจนขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะ ใบหน้าเรียบเนียนของนางสับสนอย่างหนัก
ซือหยูดีใจมาก
“ท่านอาจารย์!”
เขาอุทานด้วยความตื่นเต้นนี่อาจเป็นครั้งแรกที่หยุนหยาซือสีปรากฏตัวมาเพื่อช่วยซือหยูเป็นครั้งแรก เขาพูดว่าจะไม่มีวันออกมาช่วยชีวิตซือยหู และนี่คือครั้งแรกที่เกิดข้อยกเว้นขึ้น
หยุนหยาซือพยักหน้ากล่าวชมซือหยู “ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้าคาดเจ้าทำได้ดีมาก! ข้าภูมิใจที่มีศิษย์อย่างเจ้า”
ทัศนคติต่ออำนาจความชั่วร้ายความมุมานะ และสติปัญญา ทุกอย่างล้วนไร้ที่ติ
คำชมของเขาเป็นดั่งคำพูดฟื้นฟูจิตใจซือหยูความอบอุ่นและพละกำลังเอ่อล้นออกมาจากร่าง ความเหนื่อยล้าหายไป
“ผู้อาวุโสหยุน!”
ปิงหวูชิงอุทานชื่อออกมาหลังจากตกตะลึง
หยุนหยาซือหันไปมองร่างอสูรสีเลือดบนพื้นและมองปิงหวูชิงเขาถอนหายใจ
“เจ้าคือหนึ่งในผู้มีเกียรติแห่งเก้าตระกูลหลักแต่กลับปรารถนาหันหลังให้เผ่าพันธุ์ตัวเองสู่ด้านมืด สุดท้ายเจ้าก็เลือกหนทางนี้หรือ?”
ซือหยูหูผึ่งปิงหวูชิงไม่ใช่อสูรเลือดบริสุทธิ์ แต่เป็นมนุษย์ที่เลือกเดินทางผิดหรือ?
ปิงหวูชิงตัวสั่นนางหันไปมองท้องนภาใบหน้านางเหมือนกับภูติผี นางโค้งคำนับและพูดด้วยความนับถือ
“ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบกับผู้มีพระคุณเมื่อหมื่นปีก่อนในสถานการณ์เช่นนี้ข้า…ละอายใจยิ่งนัก”
“อดีตบางเบาดุจปุยเมฆหากเจ้าเลือกด้านมืด ความสัมพันธ์ของเราล้วนไร้ค่า ดั่งเมฆาที่แหลกสลาย”
หยุนหยาซือกล่าวอย่างไร้อารมณ์
เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์กับอสูรจะญาติดีต่อกัน
“ข้าเคยคิดว่าเจ้าจะมาพาข้าไปสมบัติที่เจ้าสัญญาตั้งแต่แรก ทุกสิ่งกลับเป็นแค่เหยื่อล่อ”
หยุนหยาซือพูดอย่างหม่นหมอง
สมบัติรึ?ปิงหวูชิงหัวเราะอย่างขมขื่น
“ครั้งนั้นข้าสาบานกับบรรพบุรุษว่าหลังจากข้าตาย ข้าจะทิ้งสิ่งเหล่านั้นกับคนรุ่นหลัง แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ข้าถูกเผ่ามืดจับตัว ข้าไม่ฝืนสิ่งยั่วยวนที่จะได้เป็นอมตะ ข้ายอมรับสายโลหิตจากด้านมืดเพื่อที่ข้าจะได้รักษาเกียรติยศของบรรพบุรุษข้า”
ซือหยูได้แต่ตกใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เป็นอย่างไรกันแน่?
หากยอดฝีมือฝึกฝนและเลือกหนทางที่ต่างกันออกไปสิ่งที่ได้กลับคืนก็ย่อมแตกต่าง แล้วปิงหวูชิงเลือกอะไรกัน?
“ไม่มีสิ่งใดระหว่างเราอีกแล้วไม่มีเรื่องให้พูดกันอีก”
หยุนหยาซือกล่าวอย่างไม่สนใจความโกรธกำลังก่อเกิด
เขาพูดถูกทั้งหมดสายสัมพันธ์ในอดีตขาดสะบั้น เหมือนกับความสัมพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับอสูร
ปิงหวูชิงโศกเศร้าอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อหยุนหยาซือโกรธแค้น
นางหลับใหลมากว่าหมื่นปีศัตรูมากมายได้สลายเป็นผุยผงคืนสู่ดิน และเมื่อตื่นขึ้นมานางกลับได้พบผู้มีพระคุณในวันที่ยังเป็นมนุษย์หลังจากที่เป็นอสูรไปแล้ว
นางได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์มืดที่นางเคยชิงชัง
“หมื่นปีผ่านมาแล้วใครจะคิดว่าผู้อาวุโสหยุนจะตกยากจากจุดสูงสุดเป็นเพียงดวงวิญยาณ”
ปิงหวูชิงกล่าว
“ท่านมิได้มีค่าเท่ากับข้าหรอกหรือ?”
ปิงหวูชิงหันไปมองซือหยูนางมองร่างอสูรที่เขาเหยียบ นางพูด
“จงเตรียมตัวให้ดีจนกว่าจะเจอข้าครั้งต่อไป”
นางบินขึ้นฟ้าเลิกล้มที่จะชิงร่างอสูรกลับคืน เลิกล้มความคิดที่จะสังหารซือหยู และจากไป
ที่นี่ยากที่จะเข้าแต่ง่ายที่จะออกนางฉีกมิติออกไปอย่างง่ายดาย
ก่อนไปเสียงถอนหายใจอันซับซ้อนดังก้องฟ้าดิน
“เหรียญมีสองด้านครั้งต่อไปที่ได้เจอ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ จงอย่าหยุดผู้อาวุโสหยุน ถ้าเจ้าพยายามจะหยุดเขา เขาจะฆ่าเจ้า”
ครั้งนี้นางโชคดีที่รอดชีวิตมาได้เพราะความสัมพันธ์เก่าระหว่างกัน
หยุนหยาซือไม่คิดขวางทางนางเขามองตามนางไป
ซือหยูเงียบก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“ท่านอาจารย์หากท่านต้องสู้ จะมีโอกาสมากเพียงใดหรือ?”
“อาจจะมีโอกาสชนะสักสิบส่วน…”
หยุนหยาซือพูด
ซือหยูพูดต่อ
“แล้วใยถึงปล่อยนางไปเล่า?นางอ่อนแอในเวลานี้ ถ้าหากนางกลับจิวโจว โลหิตจะต้องไหลดั่งแม่น้ำ”
มีวิธีโหดร้ายมากมายในการเพิ่มพลังอสูรการทรมานย่อมทำให้อสูรแข็งแกร่งขึ้น
“ปิงหวูชิงเผยตัวตนแล้วข้าเกรงว่าจิวโจวจะ…”
“สิบส่วนของนางศูนย์คือของข้า”
ซือหยูตัวแข็งทื่อ
“นางแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ซือหยูคิดอยู่ตลอดว่าหยุนหยาซือนั้นไม่มีใครเทียบได้ในการต่อสู้พลังของเขาไร้ขีดจำกัด
หยุนหยาซือกล่าว
“จิตวิญญาณนางอาจอ่อนแอแต่นางไม่ได้บาดเจ็บในทางกาย ไม่เหมือนกับข้าที่เคยตายมาก่อน ดวงวิญญาณข้าเทียบกับหนึ่งในร้อยของนางยังไม่ได้”
เทพอสูรมณีเพียงแค่ถูกผนึกมาหมื่นปีนางไม่เคยถูกสังหารมาก่อนเลย
“แล้วถ้าให้เวลาท่านอาจารย์ฟื้นฟูเล่า?”
ซือหยูถามแม้แต่ในตอนนี้ พลังของหยุนหยาซือก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“เวลาเดินแล้ว”
“ท่านอาจารย์ต้องใช้เวลานานเท่าใด?”
ซือหยูถาม
หยุนหยาซือมองซากร่างอสูรที่ยืนอยู่
“มีพลังทิ้งเอาไว้มากพอที่นี่ข้าอาจฟื้นพลังส่วนหนึ่งได้ในหนึ่งปี”
หนึ่งปีรึ?ซือหยูคำนวน จิวโจวกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะเป็นเทพก็ยากที่จะตามล่าซือหยูได้
ยิ่งไปกว่านั้นปิงหวูชิงมีอิสระในจิวโจว นางจะต้องสร้างความปั่นป่วนในสักแห่งแน่ นางคงไม่คิดจะตามหาซือหยูเป็นอันดับแรก
เวลาหนึ่งปีเขาน่าจะหาได้มากพอ
แน่นอนว่านี่คือการทำให้หยุนหยาซือแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ไม่ใช่แนวทางการต่อสู้ของซือหยู เขาจะต้องพัฒนาตัวเองให้แกร่งยิ่งกว่า! “หุ่นเชิดสีเงินของเจ้าจะเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่กี่วันฝึกฝนต่อไป”
หยุนหยาซือเตือนซือหยู
หุ่นเชิดสีเงินรึ?ซือหยูย่อมไม่ลืม อย่างไรมันก็คือสิ่งป้องกันตัวเขา
“ระหว่างหนีข้าจะอ่านตำราโบราณและหาทางแก้เนตรอสูรของเจ้า”
หยุนหยาซือเริ่มแปลงกายเป็นเส้นผม
“แล้วก็วิบัติของเจ้าจะมาถึงเร็วกว่าเดิม”
เมื่อได้ยินอย่างหลังซือหยูใจเต้นด้วยความยินดีเล็กน้อย
เขาเคยคิดถึงเรื่องวิบัติของเขามาก่อนแต่มันก็เป็นเพียงความสงสัย
แต่หยุนหยาซือยืนยันแล้วว่ามันจะมาเร็วขึ้น!