The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1129 - ย่องเบายามวิกาล
“บังเอิญเข้าคัดเลือก…ใช่ไหม?”
เจ้าตำหนักใต้เพิ่งนึกคำพูดของหลานสาวได้เขาคือคนที่ผ่านการทดสอบทั้งสี่ เขาคือคู่หมั้นหมายเลขหนึ่ง!
หากไตร่ตรองดูแล้วไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ เขาก็ถือเป็นว่าที่บุตรเขยของตระกูลบูรพา!
เมื่อนางคิดได้เช่นนี้เจ้าตำหนักใต้คิดอย่างมีความสุข จากมองซือหยูหัวจรดเท้า ยิ่งมองเขาเท่าใดนางก็ยิ่งชอบเขาเท่านั้น ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เขาได้ประสบความสำเร็จมามากมาย
ตระกูลบูรพาไม่เคยเจอยอดฝีมือที่ดีครบรอบด้านเช่นนี้มาหมื่นปีแล้วอวี่เอ๋อโชคดียิ่งนัก
ซือหยูรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกเมื่อถูกเจ้าตำหนักใต้มอง
“ท่านเจ้าตำหนักพวกท่านควรรีบไปหากมีภารกิจ ข้าจะกลับแล้ว ข้าจะมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งหากมีโอกาส”
ซือหยูรู้สึกถึงลางร้ายเขารีบขอตัว
แต่เจ้าตำหนักเหนือก็คว้าไหล่เขาเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ลูกเขยที่รักของข้าเจ้ามาถึงนี่แล้ว เจ้าจะไปที่ใดได้อีกเล่า?”
ลูก…ลูกเขยที่รักเรอะ?ซือหยูหัวหมุนไปหมด
“ฮ่าๆ เจ้าเดินทางนับล้านลี้มาเพื่ออวี่เอ๋อ เจ้าคงจะลำบาก”
เจ้าตำหนักเหนือและใต้ยืนขนาบซือหยูไม่ให้เขาไปไหน
ทั้งสองมองเขาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าพวกนางมองเขาทุกส่วนของร่างกาย
ซือหยูจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลบูรพามีแผนจะทำให้เขาเป็นลูกเขยก่อนหน้านี้?เขาต้องรีบเดินทางมายังตระกูลบูรพา และก็บังเอิญยิ่งกว่าที่เขาได้เป็นบุตรเขยอันดับหนึ่ง เขาเหมือนกับหมูอ้วนที่เดินเข้าบ้านนักล่าเขากลายเป็นชิ้นเนื้อที่เคาะประตูเข้ามา
ซือหยูจะปล่อยเรื่องใหญ่ในชีวิตให้เข้าใจผิดได้อย่างไร?เขารีบอธิบาย
“ท่านเจ้าตำหนักนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าไม่รู้ว่าข้าได้เข้าร่วมการแข่งหาคู่หมั้น และข้าก็ไม่คิดจะแต่งงานกับบุตรสาวท่าน”
“ข้าอยากจะให้ท่านเจ้าตำหนักคิดถึงเรื่องความสุขของลูกท่านเป็นสำคัญอย่าได้ด่วนตัดสินใจ”
เจ้าตำหนักทั้งสองเหลือบมองกันและยิ้มเจ้าตำหนักเหนือนั้นรีบร้อนมากราวกับว่านางมิอาจรอที่จะเป็นแม่ยายซือหยูได้อีกแล้ว
“หึหึซือหยู ทันทีที่เจ้าผ่านการทดสอบทั้งหมด เจ้าก็ถูกประกาศไปทั่วโลกแล้วว่าเจ้าจะได้เป็นคู่หมั้นของตงฟางอวี่ในอีกไม่นาน”
“มันตัดสินแล้วชื่อเสียงอวี่เอ๋อตกอยู่ในมือเจ้า นางมิอาจแต่งงานกับผู้ใดได้อีก แต่ตอนนี้เจ้ากำลังบ่ายเบี่ยง เจ้าคิดจะทำให้อวี่เอ๋อเดียวดายไปตลอดชีวิตหรือ?”
ซือหยูร้อนรนเขารีบอธิบาย
“ข้าเข้าการทดสอบเพราะข้าได้ยินว่านางไม่ต้องการคู่ครองข้าสัญญานางไปแล้วว่าต่อให้ข้าผ่านการทดสอบ ข้าก็จะไม่บังคับนางให้แต่งงานกับข้า หลายคนยืนยันได้”
เจ้าตำหนักเหนือเหมือนแมวที่เพิ่งจับหนูน่าอร่อยได้นางยิ้มอย่างน่าเย้ายวน
“เจ้าบอกว่าอวี่เอ๋อไม่ต้องการคู่ครองหรือ?ใครพูดกัน? อวี่เอ๋อพูดด้วยตัวเองหรือ?”
“ไม่…”
ซือหยูรู้สึกขมปาก
เจ้าตำหนักเหนือพูดอีกครั้ง
“เจ้าพูดว่าเจ้าสัญญาว่าจะไม่บังคับอวี่เอ๋อให้แต่งงานแม้เจ้าจะชนะเจ้ามีหลักฐานในคำพูดของเจ้าหรือ? เจ้าใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจหรือ? เจ้ามีพยานหรือ?”
“ไม่…” ความขมขื่นแสดงออกมาจากใบหน้าซือหยู
เจ้าตำหนักเหนือกล่าวอีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีอะไรเลยและเจ้าก็เลือกที่จะประลอง เจ้าไม่ได้เตรียมรับอวี่เอ๋อเป็นภรรยาตั้งแต่แรกหรอกหรือ?”
ซือหยูรู้สึกผิดและสิ้นหวังเขาเหลือบมองตงฟางอวี่ที่ก้มหน้าเงียบ แววตาเขามีความหวัง เขารีบเรียกนาง
“เจ้ายืนยันข้าได้”
นางไม่เต็มใจที่จะแต่งงานนี่คือความจริงแท้แน่นอน
ตราบเท่าที่นางส่ายหน้าเรื่องนี้ก็เป็นอันจบ
แต่ด้วยเหตุใดมิอาจทราบตงฟางอวี่ก้มหน้าลงต่ำและไม่พูดออกมาสักคำเดียว
ซือหยูกระวนกระวาย
“เจ้าจะบุ่มบ่ามเรื่องการแต่งงานไม่ได้นะข้าหวังว่าเจ้าจะรีบตัดสินใจ” เมื่อเห็นว่าซือหยูกำลังขอความช่วยเหลือจากตงฟางอวี่ราวกับหาฟางเส้นสุดท้ายเจ้าตำหนักเหนือใต้ยิ้มแหย่ด้วยความสงสาร…เจ้าหมอนี่ เขายังไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจอวี่เอ๋อ
ตงฟางอวี่ก้มหน้าลงต่ำเพราะใบหน้าอันงดงามของนางนั้นมีแต่ความเขินอาย
นางที่มักจะเย็นชามิอาจหาได้พบอีกแล้วนางพูด
“ขะขะ…ข้าขอทำตามการจัดแจงของท่านแม่”
หลังพูดจบนางก็วิ่งหนีหายไปทิ้งซือหยูไว้แต่เพียงลำพัง
ซือหยูตัวแข็งทื่อเขารู้สึกว่าราวกับตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ
เจ้าตำหนักเหนือระเบิดเสียงหัวเราะ
“เจ้าลูกเขยเจ้าสบายใจได้เลย งานแต่งงานเจ้าจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วัน”
เพื่อที่จะไม่ทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น/ไปอีกเจ้าตำหนักทั้งสองเหลือบมองกันและรีบจัดแจงงานแต่งงานในเวลาอันสั้น
ซือหยูที่กำลังจะเอาตัวไม่รอดพูดเสียงแข็ง
“ไม่มีทาง!ข้ามีอยู่สองเรื่อง ช่วยไม่ได้แล้ว ข้าต้องบอกพวกท่าน”
“อย่างแรกคือข้ามีครอบครัวแล้วข้าแต่งงานกับใครไม่ได้หรอก!”
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าตำหนักทั้งสองจะสุขุมเยือกเย็นอยู่ราวกับคาดคิดมาก่อนแล้ว
“แล้วอย่างไรหรือ?เจ้าเป็นบุรุษชั้นยอด พวกข้าไม่แปลกใจที่เจ้ามีครอบครัวอยู่แล้ว”
นี่คือยุคสมัยที่โลกเลื่อมใสในพลังจะแปลกอันใดหากคนสุดยอดอย่างซือหยูแต่งงานกับผู้หญิงหลายคนพร้อมกัน?
เหตุผลนี้ยังไม่ได้อีกรึ?ซือหยูกัดฟัน
“ก็ได้อย่างที่สอง ข้าอยู่ในตระกูลบูรพาไม่ได้! มิเช่นนั้นวิบัติใหญ่หลวงจะมาถึงตระกูลท่าน!”
“มันจะหนักหนาสักเพียงใดกัน?บอกพวกข้ามา”
ทั้งสองพูดพลางหัวเราะพวกนางเหลือบมองซือหยูเพื่อประเมินไม่วางตา ดูเหมือนว่าพวกนางจะไม่สนใจเรื่องปัญหาที่ซือหยูพูดถึงเลย
“ราชาเขตกลางกำลังตามล่าข้ามันจะมาถึงในอีกเจ็ดวัน!”
ใบหน้าของเจ้าตำหนักทั้งสองแข็งทื่อทันทีเจ้าตำหนักเหนือถามเบา ๆ
“เป็นเรื่องจริงหรือ?นี่ไม่ใช่คำอ้างเพื่อปฏิเสธเราใช่ไหม?”
ซือหยูส่ายหน้า
“บอกตามตรงข้ากำลังจะต้องเจอวิบัติสามสิบเก้า ขั้นต่อมาคือวิบัติผู้คน มันอันตรายมาก”
“ข้ามาที่นี่เพราะว่าข้าได้เบาแสให้หาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิหคเพลิงเพื่อที่จะแก่ไขวิกฤติข้าถึงมาหาตงฟางเถียนเฟิง แต่ก็น่าเสียดายที่นางไม่ใช่คนที่ข้าตามหา” “เวลาข้ามีจำกัดโปรดอภัยที่ข้าอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ ข้าต้องขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นว่าซือหยูพูดอย่างจริงใจและไม่ได้โกหกเจ้าตำหนักเหนือใต้เริ่มลังเลแต่ไม่กล้าจะรั้งซือหยู
เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือราชาเขตกลางถ้าหากเขาอยู่ที่นี่ ตระกูลบูรพาจะต้องคิดให้ดีว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะต่อต้านราชาเขตกลางเพื่อคนรุ่นหลังของตระกูล
ซือหยูแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกพวกนางคล้อยตามเขาแล้ว
แต่ทันทีที่ซือหยูก้าวเท้าออกไปเขาก็ถูกพลังที่จับต้องไม่ได้ป้องกันและถูกผลักกลับเข้ามา
“ราชาเขตกลางแล้วจะอย่างไรเล่า?ใครจะมาช่วงชิงบุตรเขตที่ตระกูลบูรพาหมายตาได้?”
เสียงแหบพร่าของหญิงชราดังมาจากความว่างเปล่า เหล่าเจ้าตำหนักรู้สึกสบายใจใบหน้าพวกนางเปี่ยมไปด้วยความสุข
“พวกเราจะทำตามคำสั่งท่านท่านบรรพบุรุษ”
เสียงในความว่างเปล่าหายไปเจ้าของเสียงเป็นได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นางจะต้องเป็นหนึ่งในสองเซียนแห่งตระกูลบูรพา
“ลูกเขยที่รักเอ๋ยพวกเรามาหารือกันเถอะ”
เจ้าตำหนักเหนือยิ้ม
ซือหยูอยากจะออกไปแต่ด้วยสายตาของเจ้าตำหนักทั้งสอง การหนีออกไปนั้นท้าทายยิ่งนัก ไม่ต้องพูดถึงเซียนที่แอบจับตาดูเขาอยู่เลย
เขาไม่เข้าใจว่าเขามีค่าอะไรนักอะไรที่ทำให้ตระกูลบูรพาต้องเสี่ยงต่อต้านราชาเขตกลางเพื่อเขา
มันคงจะเสี่ยงเกินไปถ้าพวกนางเพียงแค่อยากได้เขาเป็นลูกเขย ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่นเขาทำเป็นหมดหวัง แต่ในแววตาก็แสดงถึงความคิดหนึ่ง
…
ในความมืดมิดยามค่ำคืนซือหยูเรียกวิหคไม้ออกมาและยืนขึ้นข้างบนวิหคไม้
แต่ทันใดนั้นเองทันทีที่มิติกำลังถูกฉีก เสียงของเจ้าตำหนักเหนือก็ดังขึ้น
“ลูกเขยข้าเจ้าจะไปไหน?”
ซือหยูหัวใจหยุดเต้นเขาพูดด้วยความอับอาย
“เหะเหะข้าแค่ออกมาเดินเล่นน่ะ บังเอิญนักที่เจ้าตำหนักก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“จริงหรือ?มาเดินกับข้าไหมล่ะ?”
ก่อนที่ซือหยูจะเก็บมันวิหคไม้ก็ถูกยึดเอาไว้ ตามด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ จากความว่างเปล่า
เขาไม่ได้ถอดใจหลังจากที่กลับเรือนอีกครั้ง เขาแอบย่องออกมาจากตำหนัก แต่ก่อนที่เขาจะได้หนีพ้นร่างอันสง่างามก็ปรากฏที่ทางเข้าเอนกายหน้าประตู
“โอ้เดินเล่นยามวิกาลหรือ?”
เจ้าตำหนักใต้ยิ้มมุมปาก
ซือหยูตอบ
“ใช่แล้วอากาศดีนัก ทิวทัศน์ยังงดงาม ข้าจะพลาดได้หรือ?”
“แต่กลางดึกเช่นนี้จะมีแต่ผีที่คอยมาหลอกเจ้าเจ้าต้องระวังตัวสักหน่อยนะ”
เจ้าตำหนักใต้ยิ้มและหันกลับไป
อะไรกัน?นางปล่อยให้ข้าไปรึ? แต่ในตอนนั้นเอง มิติด้านหลังซือหยูก็ถูกฉีกออก มือของเจ้าตำหนักใต้พุ่งออกมาแตะผนึกแผ่นหลังซือหยูอย่างแผ่วเบา
ซือหยูรู้สึกถึงผนึกในร่างกายเขาอุทาน
“นี่มันอะไรกัน?”
“ตำหนักตงฟางใหญ่เกินไปข้ากลัวเจ้าจะหลงทาง ข้าเลยทิ้งผนึกไว้กับเจ้า หึหึ เจ้าไปเดินเล่นสิ”
เจ้าตำหนักใต้เพิ่งนึกคำพูดของหลานสาวได้เขาคือคนที่ผ่านการทดสอบทั้งสี่ เขาคือคู่หมั้นหมายเลขหนึ่ง!
หากไตร่ตรองดูแล้วไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ เขาก็ถือเป็นว่าที่บุตรเขยของตระกูลบูรพา!
เมื่อนางคิดได้เช่นนี้เจ้าตำหนักใต้คิดอย่างมีความสุข จากมองซือหยูหัวจรดเท้า ยิ่งมองเขาเท่าใดนางก็ยิ่งชอบเขาเท่านั้น ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เขาได้ประสบความสำเร็จมามากมาย
ตระกูลบูรพาไม่เคยเจอยอดฝีมือที่ดีครบรอบด้านเช่นนี้มาหมื่นปีแล้วอวี่เอ๋อโชคดียิ่งนัก
ซือหยูรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกเมื่อถูกเจ้าตำหนักใต้มอง
“ท่านเจ้าตำหนักพวกท่านควรรีบไปหากมีภารกิจ ข้าจะกลับแล้ว ข้าจะมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งหากมีโอกาส”
ซือหยูรู้สึกถึงลางร้ายเขารีบขอตัว
แต่เจ้าตำหนักเหนือก็คว้าไหล่เขาเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ลูกเขยที่รักของข้าเจ้ามาถึงนี่แล้ว เจ้าจะไปที่ใดได้อีกเล่า?”
ลูก…ลูกเขยที่รักเรอะ?ซือหยูหัวหมุนไปหมด
“ฮ่าๆ เจ้าเดินทางนับล้านลี้มาเพื่ออวี่เอ๋อ เจ้าคงจะลำบาก”
เจ้าตำหนักเหนือและใต้ยืนขนาบซือหยูไม่ให้เขาไปไหน
ทั้งสองมองเขาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าพวกนางมองเขาทุกส่วนของร่างกาย
ซือหยูจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลบูรพามีแผนจะทำให้เขาเป็นลูกเขยก่อนหน้านี้?เขาต้องรีบเดินทางมายังตระกูลบูรพา และก็บังเอิญยิ่งกว่าที่เขาได้เป็นบุตรเขยอันดับหนึ่ง เขาเหมือนกับหมูอ้วนที่เดินเข้าบ้านนักล่าเขากลายเป็นชิ้นเนื้อที่เคาะประตูเข้ามา
ซือหยูจะปล่อยเรื่องใหญ่ในชีวิตให้เข้าใจผิดได้อย่างไร?เขารีบอธิบาย
“ท่านเจ้าตำหนักนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าไม่รู้ว่าข้าได้เข้าร่วมการแข่งหาคู่หมั้น และข้าก็ไม่คิดจะแต่งงานกับบุตรสาวท่าน”
“ข้าอยากจะให้ท่านเจ้าตำหนักคิดถึงเรื่องความสุขของลูกท่านเป็นสำคัญอย่าได้ด่วนตัดสินใจ”
เจ้าตำหนักทั้งสองเหลือบมองกันและยิ้มเจ้าตำหนักเหนือนั้นรีบร้อนมากราวกับว่านางมิอาจรอที่จะเป็นแม่ยายซือหยูได้อีกแล้ว
“หึหึซือหยู ทันทีที่เจ้าผ่านการทดสอบทั้งหมด เจ้าก็ถูกประกาศไปทั่วโลกแล้วว่าเจ้าจะได้เป็นคู่หมั้นของตงฟางอวี่ในอีกไม่นาน”
“มันตัดสินแล้วชื่อเสียงอวี่เอ๋อตกอยู่ในมือเจ้า นางมิอาจแต่งงานกับผู้ใดได้อีก แต่ตอนนี้เจ้ากำลังบ่ายเบี่ยง เจ้าคิดจะทำให้อวี่เอ๋อเดียวดายไปตลอดชีวิตหรือ?”
ซือหยูร้อนรนเขารีบอธิบาย
“ข้าเข้าการทดสอบเพราะข้าได้ยินว่านางไม่ต้องการคู่ครองข้าสัญญานางไปแล้วว่าต่อให้ข้าผ่านการทดสอบ ข้าก็จะไม่บังคับนางให้แต่งงานกับข้า หลายคนยืนยันได้”
เจ้าตำหนักเหนือเหมือนแมวที่เพิ่งจับหนูน่าอร่อยได้นางยิ้มอย่างน่าเย้ายวน
“เจ้าบอกว่าอวี่เอ๋อไม่ต้องการคู่ครองหรือ?ใครพูดกัน? อวี่เอ๋อพูดด้วยตัวเองหรือ?”
“ไม่…”
ซือหยูรู้สึกขมปาก
เจ้าตำหนักเหนือพูดอีกครั้ง
“เจ้าพูดว่าเจ้าสัญญาว่าจะไม่บังคับอวี่เอ๋อให้แต่งงานแม้เจ้าจะชนะเจ้ามีหลักฐานในคำพูดของเจ้าหรือ? เจ้าใช้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจหรือ? เจ้ามีพยานหรือ?”
“ไม่…” ความขมขื่นแสดงออกมาจากใบหน้าซือหยู
เจ้าตำหนักเหนือกล่าวอีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีอะไรเลยและเจ้าก็เลือกที่จะประลอง เจ้าไม่ได้เตรียมรับอวี่เอ๋อเป็นภรรยาตั้งแต่แรกหรอกหรือ?”
ซือหยูรู้สึกผิดและสิ้นหวังเขาเหลือบมองตงฟางอวี่ที่ก้มหน้าเงียบ แววตาเขามีความหวัง เขารีบเรียกนาง
“เจ้ายืนยันข้าได้”
นางไม่เต็มใจที่จะแต่งงานนี่คือความจริงแท้แน่นอน
ตราบเท่าที่นางส่ายหน้าเรื่องนี้ก็เป็นอันจบ
แต่ด้วยเหตุใดมิอาจทราบตงฟางอวี่ก้มหน้าลงต่ำและไม่พูดออกมาสักคำเดียว
ซือหยูกระวนกระวาย
“เจ้าจะบุ่มบ่ามเรื่องการแต่งงานไม่ได้นะข้าหวังว่าเจ้าจะรีบตัดสินใจ” เมื่อเห็นว่าซือหยูกำลังขอความช่วยเหลือจากตงฟางอวี่ราวกับหาฟางเส้นสุดท้ายเจ้าตำหนักเหนือใต้ยิ้มแหย่ด้วยความสงสาร…เจ้าหมอนี่ เขายังไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจอวี่เอ๋อ
ตงฟางอวี่ก้มหน้าลงต่ำเพราะใบหน้าอันงดงามของนางนั้นมีแต่ความเขินอาย
นางที่มักจะเย็นชามิอาจหาได้พบอีกแล้วนางพูด
“ขะขะ…ข้าขอทำตามการจัดแจงของท่านแม่”
หลังพูดจบนางก็วิ่งหนีหายไปทิ้งซือหยูไว้แต่เพียงลำพัง
ซือหยูตัวแข็งทื่อเขารู้สึกว่าราวกับตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ
เจ้าตำหนักเหนือระเบิดเสียงหัวเราะ
“เจ้าลูกเขยเจ้าสบายใจได้เลย งานแต่งงานเจ้าจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วัน”
เพื่อที่จะไม่ทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น/ไปอีกเจ้าตำหนักทั้งสองเหลือบมองกันและรีบจัดแจงงานแต่งงานในเวลาอันสั้น
ซือหยูที่กำลังจะเอาตัวไม่รอดพูดเสียงแข็ง
“ไม่มีทาง!ข้ามีอยู่สองเรื่อง ช่วยไม่ได้แล้ว ข้าต้องบอกพวกท่าน”
“อย่างแรกคือข้ามีครอบครัวแล้วข้าแต่งงานกับใครไม่ได้หรอก!”
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าตำหนักทั้งสองจะสุขุมเยือกเย็นอยู่ราวกับคาดคิดมาก่อนแล้ว
“แล้วอย่างไรหรือ?เจ้าเป็นบุรุษชั้นยอด พวกข้าไม่แปลกใจที่เจ้ามีครอบครัวอยู่แล้ว”
นี่คือยุคสมัยที่โลกเลื่อมใสในพลังจะแปลกอันใดหากคนสุดยอดอย่างซือหยูแต่งงานกับผู้หญิงหลายคนพร้อมกัน?
เหตุผลนี้ยังไม่ได้อีกรึ?ซือหยูกัดฟัน
“ก็ได้อย่างที่สอง ข้าอยู่ในตระกูลบูรพาไม่ได้! มิเช่นนั้นวิบัติใหญ่หลวงจะมาถึงตระกูลท่าน!”
“มันจะหนักหนาสักเพียงใดกัน?บอกพวกข้ามา”
ทั้งสองพูดพลางหัวเราะพวกนางเหลือบมองซือหยูเพื่อประเมินไม่วางตา ดูเหมือนว่าพวกนางจะไม่สนใจเรื่องปัญหาที่ซือหยูพูดถึงเลย
“ราชาเขตกลางกำลังตามล่าข้ามันจะมาถึงในอีกเจ็ดวัน!”
ใบหน้าของเจ้าตำหนักทั้งสองแข็งทื่อทันทีเจ้าตำหนักเหนือถามเบา ๆ
“เป็นเรื่องจริงหรือ?นี่ไม่ใช่คำอ้างเพื่อปฏิเสธเราใช่ไหม?”
ซือหยูส่ายหน้า
“บอกตามตรงข้ากำลังจะต้องเจอวิบัติสามสิบเก้า ขั้นต่อมาคือวิบัติผู้คน มันอันตรายมาก”
“ข้ามาที่นี่เพราะว่าข้าได้เบาแสให้หาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิหคเพลิงเพื่อที่จะแก่ไขวิกฤติข้าถึงมาหาตงฟางเถียนเฟิง แต่ก็น่าเสียดายที่นางไม่ใช่คนที่ข้าตามหา” “เวลาข้ามีจำกัดโปรดอภัยที่ข้าอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ ข้าต้องขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นว่าซือหยูพูดอย่างจริงใจและไม่ได้โกหกเจ้าตำหนักเหนือใต้เริ่มลังเลแต่ไม่กล้าจะรั้งซือหยู
เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือราชาเขตกลางถ้าหากเขาอยู่ที่นี่ ตระกูลบูรพาจะต้องคิดให้ดีว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะต่อต้านราชาเขตกลางเพื่อคนรุ่นหลังของตระกูล
ซือหยูแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกพวกนางคล้อยตามเขาแล้ว
แต่ทันทีที่ซือหยูก้าวเท้าออกไปเขาก็ถูกพลังที่จับต้องไม่ได้ป้องกันและถูกผลักกลับเข้ามา
“ราชาเขตกลางแล้วจะอย่างไรเล่า?ใครจะมาช่วงชิงบุตรเขตที่ตระกูลบูรพาหมายตาได้?”
เสียงแหบพร่าของหญิงชราดังมาจากความว่างเปล่า เหล่าเจ้าตำหนักรู้สึกสบายใจใบหน้าพวกนางเปี่ยมไปด้วยความสุข
“พวกเราจะทำตามคำสั่งท่านท่านบรรพบุรุษ”
เสียงในความว่างเปล่าหายไปเจ้าของเสียงเป็นได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นางจะต้องเป็นหนึ่งในสองเซียนแห่งตระกูลบูรพา
“ลูกเขยที่รักเอ๋ยพวกเรามาหารือกันเถอะ”
เจ้าตำหนักเหนือยิ้ม
ซือหยูอยากจะออกไปแต่ด้วยสายตาของเจ้าตำหนักทั้งสอง การหนีออกไปนั้นท้าทายยิ่งนัก ไม่ต้องพูดถึงเซียนที่แอบจับตาดูเขาอยู่เลย
เขาไม่เข้าใจว่าเขามีค่าอะไรนักอะไรที่ทำให้ตระกูลบูรพาต้องเสี่ยงต่อต้านราชาเขตกลางเพื่อเขา
มันคงจะเสี่ยงเกินไปถ้าพวกนางเพียงแค่อยากได้เขาเป็นลูกเขย ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่นเขาทำเป็นหมดหวัง แต่ในแววตาก็แสดงถึงความคิดหนึ่ง
…
ในความมืดมิดยามค่ำคืนซือหยูเรียกวิหคไม้ออกมาและยืนขึ้นข้างบนวิหคไม้
แต่ทันใดนั้นเองทันทีที่มิติกำลังถูกฉีก เสียงของเจ้าตำหนักเหนือก็ดังขึ้น
“ลูกเขยข้าเจ้าจะไปไหน?”
ซือหยูหัวใจหยุดเต้นเขาพูดด้วยความอับอาย
“เหะเหะข้าแค่ออกมาเดินเล่นน่ะ บังเอิญนักที่เจ้าตำหนักก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“จริงหรือ?มาเดินกับข้าไหมล่ะ?”
ก่อนที่ซือหยูจะเก็บมันวิหคไม้ก็ถูกยึดเอาไว้ ตามด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ จากความว่างเปล่า
เขาไม่ได้ถอดใจหลังจากที่กลับเรือนอีกครั้ง เขาแอบย่องออกมาจากตำหนัก แต่ก่อนที่เขาจะได้หนีพ้นร่างอันสง่างามก็ปรากฏที่ทางเข้าเอนกายหน้าประตู
“โอ้เดินเล่นยามวิกาลหรือ?”
เจ้าตำหนักใต้ยิ้มมุมปาก
ซือหยูตอบ
“ใช่แล้วอากาศดีนัก ทิวทัศน์ยังงดงาม ข้าจะพลาดได้หรือ?”
“แต่กลางดึกเช่นนี้จะมีแต่ผีที่คอยมาหลอกเจ้าเจ้าต้องระวังตัวสักหน่อยนะ”
เจ้าตำหนักใต้ยิ้มและหันกลับไป
อะไรกัน?นางปล่อยให้ข้าไปรึ? แต่ในตอนนั้นเอง มิติด้านหลังซือหยูก็ถูกฉีกออก มือของเจ้าตำหนักใต้พุ่งออกมาแตะผนึกแผ่นหลังซือหยูอย่างแผ่วเบา
ซือหยูรู้สึกถึงผนึกในร่างกายเขาอุทาน
“นี่มันอะไรกัน?”
“ตำหนักตงฟางใหญ่เกินไปข้ากลัวเจ้าจะหลงทาง ข้าเลยทิ้งผนึกไว้กับเจ้า หึหึ เจ้าไปเดินเล่นสิ”