The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1303 - ยืมวายุพัดพาฝุ่น
ตอนที่ 1303 – ยืมวายุพัดพาฝุ่น
เขามองไปยังต้นไม้สีทองต้นถัดไปที่สูงเท่ากับตัวคน
ทั้งต้นมีเพลิงสีทองแผดเผาแต่ไร้ซึ่งความร้อนสภาพแวดล้อมมันอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง นี่คือไม้ต้องห้ามเพลิงทองคำ
ไม้เพลิงทองคำที่เติบโตแล้วถูกใช้เป็นไม้ต่อเรือหนีออกจากแดนอสูร
ซือหยูทิ้งต้นอ่อนมันเอาไว้ในดินเพาะบ่มเพื่อให้มันเติบโตต่อไปตอนนี้มันเติบโตเป็นต้นเล็ก
ไม้นี้ใช้ต่อกรกับยักษ์ทะเลขมได้ถ้าหากข้าปลูกมันนานพอ บางทีมันอาจจะแข็งแกร่งและได้พลังที่ยังไม่มีใครรู้มาก็ได้
ครั้งที่แล้วเขาใช้มันอย่างรีบร้อน ไม้ต้องห้ามเพลิงทองคำยังไม่ทันโตเต็มที่ก็ถูกขุดขึ้นมาจากดินเพื่อใช้งาน พลังของมันยังไม่ทันเต็มที่ แต่ก็ต่อต้านการกัดเซาะของน้ำทะเลขมได้
ทุกคนรู้ดีว่าน้ำทะเลขมกัดกร่อนได้ทุกสิ่งรวมถึงเทพ
ถ้าหากเขาปลูกไม้ต้องห้ามเพลิงทองคำจนโตเต็มที่เขาเชื่อว่าจะต้องมีพลังมหาศาลรอเขาอยู่
ซือหยูออกจากมุกวิญญาณเก้าหยกด้วยความพอดีเขาเหลือบมองมือตัวเอง กระเรียนตัวเล็กบินในทางช้างเผือก
นายท่าน…
เทพกระเรียนกล่าว
เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?
รายงานนายท่านส่วนสุดท้ายของทรายดาราที่ข้าพบสิ่งกั้นขวางเมื่อก่อนหายไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ท่านใช้มันได้อย่างอิสระแล้ว
ไม่ใช่ข้าถามถึงเจ้า
เทพกระเรียนตกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบ
ขอบคุณนายท่านที่ห่วงใยข้าบ่มเพาะพลังอยู่นาน จิตวิญญาณข้าไม่เพียงจะฟื้นฟู แต่ยังแข็งแกร่งกว่าในอดีตมากนัก
ถ้าหากเทพกระเรียนบ่มเพาะแหล่งพลังเทพขึ้นใหม่พลังเขาจะแตกต่างและแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายขั้น
ถ้าอย่างนั้นก็จงบ่มเพาะต่อไป
…แต่นายท่านข้าเจอจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ในสมบัติ…
เทพกระเรียนลังเลก่อนจะพูดต่อ
จิตวิญญาณนี้ปรากฏออกมาหลังจากที่สิ่งกั้นขวางหายไปเมื่อเดือนก่อน
ซือหยูจ้องมองเทพกระเรียน
ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้เล่า?
มีจิตวิญญาณเหลืออยู่ในสมบัติศักดิ์สิทธิ์!
มันอ่อนแอมากโครงสร้างภายในทรายดารากว้างขวางไร้ขอบเขต ต่อให้ข้าเป็นจิตวิญญาณสมบัติก็มิอาจจับมันได้ในทันทีทันใด ข้าเลยไม่เคยรายงานให้ท่านฟัง! แต่เสี้ยวจิตวิญญาณนั้นเคลื่อนไหวบ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเคยเกือบจับมันได้แล้ว หากมันออกมาอีกครั้งเมื่อไหร่ ครั้งนี้ข้าจะต้องจับมันได้แน่
จะเสียทรายดาราไปไม่ได้จับตาดูอย่าให้พลาด!
ขอรับนายท่าน
เทพกระเรียนกลับเข้าสู่ทรายดาราซือหยูครุ่นคิด
ทรายดาราทางช้างเผือก…ยังเหลือจิตวิญญาณอยู่?ใครกัน? เทียนจี่จื้อทิ้งเอาไว้หรือ?
ซือหยูถามตัวเอง
หรือจะมีใครอื่นที่อยู่ข้างในนั้นมาโดยตลอด?
หากเป็นอย่างแรกเขาย่อมรับมือได้
แต่ถ้าหากเป็นอย่างหลังตัวตนลี้ลับนั้นอยู่ข้างในทรายดาราทางช้างเผือกอยู่เสมอ ข้างกายซือหยูมาหลายปี เพียงแค่คิดก็ทำให้ซือหยูตัวสั่นแล้ว เมื่อได้ข่าวสำคัญซือหยูอดระแวงไม่ได้
เขาหวังว่าเทพกระเรียนจะจับจิตวิญญาณนั้นได้ทันเวลาและกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ให้เร็วที่สุด
เขาบ่มเพาะพลังอย่างเงียบเชียบอยู่หลายวัน
ในเช้าตรู่วันที่ห้าพันธมิตรส่งเทพโท่ป๋าซึ่งเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งมา เขาเข้ามาในตำหนัก
เทพสีเงินพวกเราเตรียมการทุกอย่างเพื่อต้อนรับท่านสู่ตำหนักพันธมิตรแล้ว เทพทุกคนตั้งตารอมานาน ข้าหวังว่าเทพสีเงินจะให้เกียรติเข้าร่วมงานนี้
ซือหยูเปิดประตูศิลาเขายิ้มบาง
ไปกันเถอะ
ขุนพลโท่ป๋าหยุดถาม
ท่านไม่พาเทพไม้ไปด้วยกันหรือ?พันธมิตรเองก็ต้อนรับนาง
ไม่จำเป็นหากนางไปด้วยทุกคนจะไม่สบายใจ ข้าพูดจริง
ตามท่านปรารถนา
ในห้องลับเทพไม้จามและหนาวสั่น นางรู้สึกแปลก
แปลกจริงโอสถที่ข้าขโมยมาเมื่อคืนน่าจะต้านหวัดได้สิ ทำไมข้าถึงหนาวสั่นมาอีกแล้วล่ะ?
…
ตำหนักพันธมิตรเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาดและบรรยากาศครื้นเครง
แสงเทพหลายสิบแสงเปล่งประกายทั่วตำหนัก
น่าแปลกใยตำหนักพันธมิตรที่เงียบกริบถึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้?
ข้าเองก็สงสัยเว้นแต่เหล่าเทพจะรวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องสำคัญหรือชุมนุม เมื่อไหร่กันที่ตำหนักพันธมิตรมีภาพแบบนี้?
นี่พวกเจ้าไม่รู้รึเหล่าเทพพันธมิตรประจิมเตรียมทั้งหมดนี้เพื่อต้อนรับเทพสีเงิน อ๊ะ?เทพสีเงินรึ? เขานั่นน่ะรึ?
นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ?ข้าเห็นข้ารับใช้ตระกูลปราบอสูรหลายคน แต่ข้าไม่คิดเลยว่าตระกูลปราบอสูรทุกตระกูลจะมาด้วย นี่มันเหตุการณ์ที่นาน ๆ จะมีสักหน
อะไรที่เกินไปมักจะมีเบื้องหลัง ข้าคิดว่างานนี้คงสำคัญจริง ๆ
ทุกคนคิดขณะที่ตระหนักถึงบางอย่าง
ความสัมพันธ์ของตระกูลปราบอสูรกับเจ้าพันธมิตรนั้นไม่ลงรอย
หากจะรวมตัวร่วมโต๊ะเดียวกันเพื่อความหรรษาย่อมเป็นไปไม่ได้
มันอาจดูมีชีวิตชีวาที่ด้านนอกแต่บนโต๊ะงานเลี้ยงนั้นไม่มีสิ่งใดเลย
เทพสิบตระกูลปราบอสูรตั้งแต่เทพกงซุนจนถึงฉีเหมินเจี้ยนมารวมตัวกัน
เจ้าตระกูลทั้งสิบนั่งรอบโต๊ะเลี้ยง
เทพบางคนกระซิบกระซาบกันแต่ส่วนมากก็เงียบกริบ บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาเบาๆ
เทพโท่ป๋าเข้ามาก่อนและประกาศเสียงดัง
เทพสีเงินมาถึงแล้ว!
เหล่าเทพหันไปมองชายหนุ่มผมสีเงินที่เดินเข้ามา
เจ้าพันธมิตรตกใจแต่ก็ยืนขึ้นทักทายเขา
เทพสีเงินมาแล้วมานั่งข้างข้าสิ
การที่เจ้าพันธมิตรพูดเช่นนี้ย่อมแสดงว่าซือหยูคือคนที่พวกเขาต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ซือหยูรู้ความตั้งใจของเจ้าพันธมิตรแต่เขาไม่ปฏิเสธ เพราะเขาสัญญาว่าจะสนับสนุนเจ้าพันธมิตรถ้าหากเจ้าพันธมิตรยอมรับการแต่งงาน
แม้จะมีเทพหลายคนต่อหน้าเขาซือหยูก็ไม่ตื่นเหล่าแสงเทพ เขานั่งลงอย่างสบายใจ ฉีเหมินเจี้ยนลืมตามองซือหยู
ได้ยินว่าเจ้าได้เป็นเทพพันธมิตรประจิมเพราะมีเทพไม้อยู่ด้วยใยเทพไม้ไม่มาเล่า ทำไมเจ้าถึงมาแทน?
น้ำเสียงของเขาไม่เป็นมิตรนัก
ซือหยูแอบหัวเราะพันธมิตรกำลังขาดแคลนกำลังคนขนาดนี้เชียวหรือ?
เหล่าเจ้าตระกูลที่เพิ่งจะมารวมตัวกันเผยความรู้สึกไม่พอใจคล้ายฉีเหมินเจี้ยนออกมา
ซือหยูไม่กังวลเขาตอบ
เจ้าหมายความว่ายังไง?
ฉีเหมินเจี้ยนมองเขาอย่างผู้ทรงอำนาจ
หา!เจ้าจะมาเป็นเทพในพันธมิตรประจิมของเราได้ยังไง? เทพไม้อาจจะมีคุณสมบัติ แต่เจ้าล่ะ..? น่าขันนักที่เจ้ายังมีอันดับเดียวกับข้า! เจ้าพันธมิตรตัดสินใจไม่เหมาะสมยิ่งนัก!
ข้าขอให้ทดสอบคุณสมบัติคนผู้นี้ใหม่อีกครั้งมิเช่นนั้น หากคนนอกรู้เข้าว่าใครก็ตามเป็นตัวแทนเทพแห่งพันธมิตรประจิมได้ พวกเราจะถูกหัวเราะเยาะ!
นี่เป็นการตบหน้าซือหยูและเจ้าพันธมิตรอย่างเห็นได้ชัด
งานเลี้ยงต้อนรับยังไม่ทันเริ่มสถานการณ์ก็รุนแรงเสียแล้ว
ไม่เพียงซือหยูจะอับอายแต่เจ้าพันธมิตรยังเสียหน้า
ซือหยูแอบหัวเราะงานเลี้ยงนี้กำลังน่าสนุกแล้ว
แต่ถ้าหากจะมีใครอยากใช้เพียงแต่นามของตระกูลปราบอสูรเตะก้นเขาเขาจะไม่มีทางยอมแน่