The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1331 - ความนับถืออย่างสูงสุด
ตอนที่ 1331 – ความนับถืออย่างสูงสุด
ซือหยูดีดนิ้วเรียกบันทึกที่เปล่งแสงธารดาราออกมา
ในอดีตมีสัตว์อสูรระดับเทพไม่ต่ำกว่าสิบตัวข้างในบันทึกนี้พลังที่หลงเหลืออยู่ของมันนั้นคือพลังระดับเทพ
แน่นอนว่าเงือกน้อยที่ร้องคำรามอย่างจะฆ่าซือหยูแต่นางก็หวาดกลัวบันทึกในมือเขาเป็นอย่างมาก
นางสัมผัสได้ถึงความกระหายเลือดของซือหยูไม่เพียงเท่านั้น นางยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดของจิตเฝ้าสุสานมากมายบนตัวเขาด้วย
นางรู้ว่ามนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนั้นอันตรายมาก!
โฮก…
นางร้องคำรามและปล่อยพลังออกมาที่หน้าผากนางฉีกออก มีสิ่งที่คล้ายหนอนแหวกว่ายออกมา จากนั้นมันจึงหายไปอย่างรวดเร็วในโลกใต้น้ำอันกว้างใหญ่
เงือกน้อยที่ร่างกายอ่อนแอได้หมดสติไป
ป้าหยีพุ่งเข้ามารับตัวนางแต่ก็ถูกแสงห้าสีขวางเอาไว้แสงห้าสีโอบอุ้มนางเอาไว้อย่างแผ่วเบา
ดวงตาซือหยูเปลี่ยนเป็นสีขาวเขาตรวจสอบดูทุกมุมของร่างกายเงือกน้อย
มันยังไม่หยุดความคิดชั่วของมัน!
มือขวาซือหยูเปล่งแสงเขากดมือลงบนอกของเงือกน้อย
เหล่าคนเผ่าเงือกตกใจเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น
ป้าหยีตะโกนทันที
นี่เจ้า!กล้าดียังไงมาแตะต้องร่างกายองค์หญิง?
ป้าหยีเตรียมจะจู่โจมซือหยูแต่ก็ถูกเงือกคนพี่ขวางเอาไว้
ป้าหยีหยุดนะ! เงือกคนพี่เข้าใกล้เพื่อมองมือของซือหยูแม้มือของเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ควรอยู่ แต่ใครก็ตามที่ยังสงสัยว่าซือหยูคิดร้ายนั้นย่อมโง่เขลานัก
แสงสีเงินในมือซือหยูดึงเอาสายโลหิตสีแดงออกมาจากอกเงือกน้อยมันบิดตัวและพยายามเพื่อจะต่อต้าน
นั่นมัน…ร่างเงาเทพของจิตเฝ้าสุสานระดับเทพงั้นรึ?
เงือกคนพี่ตัวแข็งทื่อเมื่อรู้ว่ามันคืออะไร
จิตเฝ้าสุสานระดับเทพน่ากลัวมาก!
แต่เมื่อนางหันไปมองซือหยูแววตานางเต็มไปด้วยความตกใจ
ซือหยูเคยพูดว่าเขาฆ่าจิตเฝ้าสุสานได้อย่างง่ายดายแต่นางก็ไม่เชื่อเขา
แต่ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นนางรู้แล้วว่าเขาพูดจริง
เขาทำให้จิตเฝ้าสุสานระดับเทพหวาดกลัวจนหนีไปต่อหน้าต่อตานาง! นางมิอาจเชื่อได้ว่าจิตเฝ้าสุสานที่น่ากลัวจะหวาดกลัวได้โดยง่ายซือหยูจะต้องมีพลังพิเศษที่ทำให้มันไม่สบายใจ
ซือหยูกำหมัดเขาทำลายร่างเงาเทพและส่งเงือกคนน้อยให้กับผู้เป็นพี่ จากนั้นจึงเรียกเขาห้าธาตุที่ปิดทางเข้ากลับมา เขาเดินมือไพล่หลังเข้าสู่เรือ
ป้าหยีสีหน้าเย็นชาเขาตะโกน
หยุดเดี๋ยวนี้!ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามา!
เงือกคนพี่ไม่พอใจหลังจากที่เขาช่วยพวกนางถึงสองครั้งสองคราและป้องกันความพินาศแก่เผ่าเงือก คนฝ่ายนางมาทำกับผู้มีพระคุณเช่นนี้ได้อย่างไร?
หุบปากป้าหยี!
ป้าหยีจะพูดต่อ
แต่มัน…
ข้าบอกให้หุบปาก!
เงือกคนพี่พูดด้วยสีหน้าแข็งกร้าว ป้าหยีกำหมัดแน่นกล้ามเนื้อที่แก้มกระตุกหลายครั้งก่อนที่เขาจะถอยกลับไปและนิ่งเงียบ
เขายังคงจ้องมองซือหยูแต่ครั้งนี้เป็นการมองด้วยความแค้น
ซือหยูมองกลับเขาแสยะยิ้มที่มุมปาก
ภายในเรือนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงมันงดงามเป็นอย่างมาก มีเครื่องใช้อันซับซ้อนและเครื่องกลหลายชนิด
โชคร้ายที่ส่วนใหญ่นั้นเสียหายเหลือเพียงส่วนน้อยที่ยังใช้งานได้ ม่านพลังที่ปกป้องเรือรบคือหนึ่งในสิ่งที่ยังทำงาน
ซือหยูถือโอกาสนี้สำรวจอารยธรรมโบราที่สูญหายมาหลายพันล้านปีอย่างละเอียด
สิ่งที่ยังเหลืออยู่ในเรือรบนั้นเหนือชั้นกว่าทุกสิ่งที่ธารดารามีได้
เรือรบนี้ยิ่งใหญ่ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับทั้งพันธมิตรประจิม!
ยิ่งไปกว่านั้นซือหยูยังไม่นับสิ่งที่เขาสนใจที่สุดนั้นคือกำลังรบ
เมื่อเขาได้พบปืนใหญ่มากมายเขาผิดหวังที่พบว่าโครงสร้างภายในปืนใหญ่ถูกทำลายไปหมดแล้ว พวกมันใช้งานหรือเลียนแบบไม่ได้อีก
ใต้เท้าข้าขออภัยในความหยาบคายของป้าหยี
เงือกคนพี่เดินมาจากด้านหลังและโค้งคำนับด้วยความรู้สึกผิด
ซือหยูไม่สนใจเขาไม่ละสายตาจากสิ่งที่กำลังมองอยู่
เงือกคนพี่คิดว่าซือหยูยังคงโกรธและพูดต่อ
ป้าหนีมักจะเฉลียวฉลาดและพึ่งพาได้แต่…บางทีอาจจะเพราะข้ากับน้องสาวใกล้กับท่านมากเกินไปจนริษยา…
คนเฉลียวฉลาดพึ่งพาได้ประเมินสถานการณ์ไม่เป็นอย่างนั้นหรือ?
ซือหยูหันไปพูดเบาๆ เป็นคนเฝ้าประตูแต่กลับไม่สนใจคำชี้แนะให้ปิดประตูเพื่อความปลอดภัยกับทั้งเผ่าเงือก และยังจะต่อสู้โดยที่ไม่ได้ประเมินสถานการณ์อย่างถ่องแท้อีก เจ้าคิดว่าชายคนนั้นมีคุณสมบัติในการรับตำแหน่งสำคัญหรือ?
เงือกคนพี่เข้าใจทีละน้อย
หมายความว่า…
ซือหยูส่ายหัว
นี่เป็นเรื่องภายในของเผ่าเงือกข้าคงยุ่งเกี่ยวไม่ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยของข้า ข้าขอบอกว่าชายคนนั้นไม่เหมาะกับการเป็นคนเฝ้าประตู หาคนมาแทนโดยเร็วที่สุดซะ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!
นั่นคงจะ…
เงือกคนพี่ลังเลคำพูดซือหยูมีเหตุผล และเมื่อคิดให้ลึกลงไป นางต้องยอมรับว่าการกระทำของป้าหยีนั้นน่าผิดหวัง
สั่งการลงไป!ป้าหยีต้องคืนกุญแจให้กับข้า!
ไม่นานกลุ่มเงือกก็นำกุญแจมาให้นาง
เจ้าเป็นคนสำคัญในเผ่าเงือกทีเดียว
ซือหยูมองนาง
เงือกคนพี่เจียมเนื้อเจียมตัวต่อซือหยูราวกับว่าเขาเป็นคนสำคัญ
เรียกข้าว่าหลูจูจะดีกว่า
เงือกคนพี่สีหน้าหม่นหมอง
รู้เมื่อไหร่ว่าน้องข้าถูกจิตเฝ้าสุสานเข้าสิง?
ซือหยูมองรอบๆ เขาพูดเมื่อไม่พบใคร
ตั้งแต่ที่ข้าเจอเจ้าสองคน
ตอนที่เขาใช้เนตรวิญญาณเขาพบสิ่งที่ประหลาดในร่างเงือกคนน้อง และเมื่ออีกฝ่ายกำลังปิดบัง เขาก็ตัดสินใจที่จะรอดู
ตั้งแต่แรก…น้องสาวถูกจิตเฝ้าสุสานระดับเทพยึดร่างมาตั้งนานแล้วน่ะสิ!
หลูจูตกใจ ไม่แปลกเลยที่จะมีจิตเฝ้าสุสานมากมายที่นั่นเพราะน้องข้าถูกเข้าสิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
หลูจูพึมพำ
มีจิตเฝ้าสุสานน้อยมากในน่านน้ำนี้ข้าสงสัยอยู่นานแล้วว่าทำไมถึงมีจิตเฝ้าสุสานมากมายปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นเพราะมีจิตเฝ้าสุสานระดับเทพอยู่ใกล้ ๆ นั่นเอง!
นางเข้าถึงความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
บางทีท่านอาจพูดถูกเผ่าเงือกเรากำลังเจอปัญหา มันบังเอิญมากเมื่อทันทีที่เราออกไปแล้วจะมีจิตเฝ้าสุสานจำนวนมากพยายามจะตามล่าเราไม่ใช่รึ? จะต้องมีคนเปิดเผยตำแหน่งของเรา ที่น้องข้าถูกเข้าสิงจะต้องเป็นฝีมือของคนที่อยู่เบื้องหลังอีกด้วย แต่จะเป็นใครล่ะ?
ซือหยูเบาๆ
ถ้าเจ้าเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เจ้าก็คงจะเดาได้แล้วล่ะ หากข้าเดาไม่ผิดเผ่าเงือกกำลังมีปัญหาในเรื่องอำนาจ และเจ้าคือผู้ที่จะได้สืบทอดอำนาจคนสำคัญ
หลูจูเบิกตากว้าง
ใครบอกท่านล่ะ?
ซือหยูมิใช่ชายทั่วไปที่นางเคยพบเจอแต่เขารู้ความลับของเผ่าเงือกได้อย่างไร? แม้แต่เงือกในเผ่ายังไม่รู้ตัวเลย
ตั้งแต่ที่ซือหยูมาถึงเขาไม่ได้พูดกับเงือกคนใดเลย เขารู้ได้อย่างไร?
แค่ดูจากเจ้าข้าก็รู้มันแปลกที่องค์หญิงจะเปลี่ยนคนคุ้มกันตำแหน่งสำคัญบนเรือรบได้ง่าย ๆ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดานอกจากเจ้าจะได้อำนาจมาจากผู้นำสูงสุด แต่ดูจากที่คนเหล่านั้นเรียกเจ้า เจ้ายังคงเป็นองค์หญิง อำนาจที่เจ้าถือครองยังไม่เป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์
ให้ข้าเดาผู้นำสูงสุดของเผ่าเงือก…หากไม่เสียชีวิตเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คงป่วยหนักสินะ? จึงกลายเป็นปัญหาเรื่องสืบทอดอำนาจได้
หลูจูเกือบลืมหายใจนางจ้องซือหยูด้วยสายตายอมรับนับถือ
ท่านน่าทึ่งมาก!ท่านรู้ทุกอย่างได้ผ่านการกระทำของข้าเพียงเท่านั้น!
นางกำลังถูกความตระการตาของซือหยูครอบงำถ้าหากนางไม่เห็นกับตาก็คงไม่เชื่อว่ามีสิ่งที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้อยู่บนโลกด้วย
อย่างที่ท่านพูดผู้นำสูงสุดกำลังป่วยหนัก และเขาก็คือท่านพ่อของข้าเอง เขามอบอำนาจให้ข้าก่อนจะหมดสติ สุดท้ายก็มีแค่ขุนพลคนเดียวจากสามคนที่สนับสนุนข้า อีกสองขุนพลนั้นมีกำลังทหารในมือ พวกมันไม่ยอมรับข้าและข้าสงสัยว่าพวกมันกำลังจะชิงตำแหน่งราชาเงือก
ซือหยูฟังอย่างเงียบเชียบ
หลูจูถามเขาอย่างไม่มั่นใจ
ท่านใต้เท้าท่านคิดว่าขุนพลสองคนนั้น ใครกันที่อยู่เบื้องหลังแผนร้ายนี้? สองคนนั้นรึ?
ซือหยูยิ้ม
ข้าว่าเจ้าระวังขุนพลที่อ้างว่าสนับสนุนเจ้าจะดีกว่า
หลูจูไม่เชื่อ
ท่านใต้เท้าขุนพลมัจฉาทมิฬจริงใจต่อข้าจากก้นบึ้งของหัวใจ หากไม่มีเขา ข้าคงจะมาได้ไม่ถึงวันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำแผนนี้ขึ้นมา!
ซือหยูยิ้ม
คิดดูสิแม้แต่เจ้ายังคิดว่าไม่ใช่ แล้วคนอื่นจะคิดอย่างไรกัน!
ท่านหมายความว่าอย่างไร?
ไม่ยาก!ถ้าเจ้าตาย ใครกันที่จะได้ผลประโยชน์? แน่นอนว่าต้องเป็นสองขุนพลที่มีกำลังทัพในมือ สองคนนั้นจะตกเป็นที่ต้องสงสัย! แล้วขุนผลมัจฉาทมิฬที่เจ้าคิดว่าไม่น่าจะลงมือมากที่สุดได้ออกมาอ้างและแก้แค้นแทนเจ้ากับน้องสาวในวันที่เจ้าสองคนตายไปแล้ว ใครกันที่เผ่าเงือกจะยอมเข้าข้าง? ทรราชย์ที่ต้องสงสัยว่าสังหารตระกูลราชวงศ์หรือขุนผลมัจฉาทมิฬผู้ภักดี?
หลูจูไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน
แต่เขาช่วยข้าป้องกันตัวจากขุนพลที่ไม่ภักดีสองคนนั้นมษโดยตลอด!
ก็ถ้าหากเขาปล่อยให้เจ้าสองคนพ่ายแพ้อำนาจจะตกไปอยู่กับสองขุนพลแทนไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าเขาต้องสนับสนุนเจ้าในการต่อกรกับสองขุนพล! จากนั้นเมื่อเจ้าหมดประโยชน์ในวันใด ทันทีที่เจ้าตาย เขาก็จะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าเงือก
หลูจูจมอยู่กับความคิดของซือหยูอีกครั้งนางกำลังสั่นคลอนในใจ
แม้ทุกสิ่งที่ซือหยูพูดจะเป็นเพียงการคาดเดาแต่ทุกประโยคของเขามีเหตุมีผล ราวกับว่าซือหยูอยู่ในระดับที่สูงกว่าและวิเคราะห์ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพูดเท่านี้น่าจะพอแล้วขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะรับมือเช่นใด ข้าไม่สนใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นในเผ่าเงือก ข้ามาที่นี่เพื่อหาข้อมูลเท่านั้น
หลูจูกลับมาได้สติท่าทางต่อซือหยูกลายเป็นความนับถือ ราวกับกำลังคารวะเทพ
โปรดบอกสิ่งที่ท่านต้องการเผ่าเงือกจะช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด
ซือหยูพยักหน้า
ข้ามีสองเรื่องที่อยากรู้เรื่องแรก ข้าจะออกจากแดนเทพโบราณได้อย่างไร? เรื่องที่สอง ข้าอยากจะรวบรวมข้อมูลของอาวุธล้ำสมัยในแดนเทพโบราณ
เขาจะอยู่ที่แดนเทพโบราณนานเกินไปไม่ได้การต่อสู้ในธารดารากำลังจะเกิดขึ้น เขาต้องรีบกลับไป
ถ้าหากเขาต้องการความสามารถในการพลิกกำลังรบเขาจะต้องนำอาวุธที่สูญหายหลายพันล้านปีกลับไปด้วย อาวุธจากแดนเทพโบราณจะช่วยให้เขาต่อกรกับพวกอสูรได้