The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 1337 - สวรรค์ถล่ม
ตอนที่ 1337 – สวรรค์ถล่ม
แหล่งพลังเทพของซือหยูหมุนเวียนที่บริเวณท้องมันปลดปล่อยพลังเทพอันบริสุทธิ์ออกมา
พลังเทพ…ท่านเป็นเทพรึ?
หลูจูตกตะลึงนางไม่เคยคิดว่าซือหยูจะเป็นเทพ
คิดย้อนกลับไปหากซือหยูเป็นเทพ มันก็อธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากเขามาโดยตลอดได้
ในขณะเดียวกันทั้งสองก็ได้ลงไปยังหลุมลึกที่มีพลังเทพหมุนเป็นวายุ
ตู้ม!
ทันทีที่ทั้งสองไปถึงพลังเทพที่ยังหลงเหลือกระจายออกทุกทิศทาง มันจะบดขยี้พวกเขาให้เป็นชิ้น ๆ
โชคดีที่มีพลังเทพของซือหยูป้องกันพลังเทพเหล่านั้นไว้ เมื่อไปถึงด้านในหลุมสามแม่ทัพที่นำโดยแม่ทัพมัจฉาทมิฬได้มาเห็นเข้ามาดี
มีพลังอยู่ข้างในนั้น!มันกล้าลงไปโดยไม่มีพลังเทพป้องกันได้ยังไง?
แม่ทัพมัจฉาทมิฬตกใจเล็กน้อย
แม่ทัพเสือกับแม่ทัพตะเพียนแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ต้องกลับไปรายงานภารกิจแล้วถ้าหากไม่มีเทพ พวกมันก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิต ต่อให้มีผ้าคลุมเก้าจักรพรรดิ พวกมันก็หยุดพลังเทพในนั้นไม่ได้หรอก
แม่ทัพเสือกล่าว
แม่ทัพมัจฉาทมิฬจ้องหลุมลึกและคิดอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเห็นด้วยกับแม่ทัพเสือ
ผ้าคลุมอาจจะป้องกันพลังของเทพได้แต่ในวายุพลังเทพนั้น ถ้าหากไม่มีเทพคุ้มกันให้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอด
แต่แม่ทัพมัจฉาทมิฬยังคงฉงนใจ ทำไมทั้งสองถึงลงไปกัน?
ถึงอย่างนั้นสามแม่ทัพก็กลับไปที่เผ่าเงือกและรายงานต่อจักรพรรดิเงือก
จักรพรรดิเงือกหรี่ตาเขายิ้มออกมาเล็กน้อย
หึหึน่าสนุกนี่ มันรู้เบาะแสและอยากจะสืบเรื่องของข้าสินะ?
จักรพรรดิเงือกไม่เคยพบใครที่ฉลาดเท่ากับซือหยูจักรพรรดิเงือกได้สัมผัสมาเองกับตัวแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าซือหยูจะเข้าไปยังสถานที่อันตรายโดยไม่มีเหตุผล
แม่ทัพเสือเจ้ากลับไปที่ขอบหลุม ยืนคุ้มกันที่นั่น มันจะออกมาในอีกสิบวัน
สามแม่ทัพแปลกใจซือหยูยังไม่ตายรึ?
ข้าไม่มีพลังมากนักในการจัดการมันฝากเจ้าด้วย!
จักรพรรดิเงือกพูดอย่างเย็นชา สั่งการลงไปรวบรวมกำลังทัพเงือกทั้งหมด เราจะเตรียมทำศึก!
ฟึ่บ!
ซือหยูได้ยินเพียงเสียงสายลมในหูการปะทะของเสี้ยวพลังเทพยังคงเกิดขึ้นต่อไป สุดท้ายซือหยูกับหลูจูก็ได้ผ่านวายุพลังเทพมาถึงก้นหลุมลึก
ทั้งสองได้เห็นรอยแยกลึกอย่างชัดเจน
ลงไปกันเถอะ!
ซือหยูพูดเบาๆ และเข้าไปทันที
มันมีแต่ความมืดสนิทเขาแทบมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เขาสัมผัสได้ถึงจิตเฝ้าสุสานเป็นจำนวนมาก
หลูจูเห็นเพียงความมืดมิดแต่ไม่มีสิ่งใดที่เล็ดรอดสายตาซือหยูไปได้แม้จะเป็นในสภาวะนี้
เขาเห็นกำแพงในรอยแยกที่เต็มไปด้วยไข่ฟองเล็กสีดำนับไม่ถ้วน
ผ่านกำแพงไข่ไปเขาได้เห็นจิตเฝ้าสุสานมากมายที่หลบพักอยู่ พวกมันล้วนมีรูปร่างประหลาดและแตกต่างจากกันและกัน
ซือหยูขนลุกเมื่อได้เห็นพวกมันเป็นจำนวนมาก
ไข่ไม่ได้มีเพียงฟองเดียวแต่มีไข่วางอย่างแน่นหนาในกำแพงรอยแยก จำนวนดูจะไม่สิ้นสุดเลย
จิตเฝ้าสุสานมีมากขนาดนี้เลยรึ!ข้าเดาถูกสินะ
ซือหยูพึมพำ
ที่นี่คือสุสานเก่าของนักรบเทพในอดีต
อะไรนะ?หลูจูตกตะลึง คำพูดของซือหยูไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดใส่นางให้สั่นสะเทือนไปทั้งร่าง
ตระกูลราชวงศ์คุ้มกันสุสานของเหล่านักรบเทพอย่างใกล้ชิด
สุสานที่มีเพียงเก้าแห่งเป็นที่รู้กันว่าไม่ได้อยู่ที่นี่นางไม่อยากจะเชื่อว่าสุสานเก่านั้นจะมาอยู่ใต้เหมืองวิญญาณใกล้กับเผ่าเงือก ซือหยูไม่แปลกใจเลยเขาตอบอย่างใจเย็น
เจ้าไม่ได้พูดเองหรอกหรือว่าจิตเฝ้าสุสานเกิดมาจากสุสานเก่าของนักรบเทพ?จิตเฝ้าสุสานที่ยึดร่างจักรพรรดิเงือกมาจากที่นี่ ยิ่งกว่านั้นยังมีจิตเฝ้าสุสานอีกหลายร้อยล้านตัวที่เกิดที่นี่ ถ้าหากที่นี่ไม่ใช่สุสานของนักรบเทพแล้วจะเป็นอะไร?
หลูจูตกตะลึงนางกำลังคิดว่าเผ่าเงือกกับเผ่ายักษ์คงไม่เคยคิดเลยว่ากำลังต่อสู้เพื่อสุสานของนักรบเทพ
ถ้าหากตระกูลราชวงศ์รู้เรื่องนี้เข้าไม่เพียงแต่จะโดนยึดเหมืองวิญญาณ แต่สองเผ่าจะถูกถอนรากถอนโคนไปด้วย
เข้าไปดูกันเถอะ
ซือหยูตามรอยแยกไปลึกขึ้น
ตลอดทางเขาได้เห็นไข่สีดำนับไม่ถ้วนเมื่อทั้งหมดถูกฟักและหลุดเข้าไปในธารดารา มันจะกลายเป็นวิบัติที่ทำลายทุกหนแห่งเป็นแน่ จะเหลือสิ่งที่รอดชีวิตเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ซือหยูยังเห็นร่องรอยของการต่อสู้ตลอดทางรวมถึงพลังของจิตเฝ้าสุสานที่ยึดร่างจักรพรรดิเงือกไป มันเป็นพลังที่น่ากลัวมาก
ทั้งสองหยุดที่หน้ารูลึกที่กว้างสิบศอกซือหยูย่อมตัวลงต่ำ เขาก้มลงมองอย่างตั้งใจ
ในรูลึกมีเพลิงสีเทากำลังลุกไหม้อยู่
เพลิงสีเทานี้ดูลี้ลับมีสิ่งที่อันตรายมากซ่อนอยู่
ซือหยูไม่สบายใจเมื่อเห็นเพลิงสีเทานี้
นั่น..นั่นมันอะไรกัน?มันดู…น่ากลัว
หลูจูตัวสั่นเทิ้ม
ซือหยูกระซิบ
ข้าก็ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใดกันแน่แต่ถ้าหากจักรพรรดิเงือกได้สัมผัสกับมัน เขาจะตายอย่างแน่นอน
ไม่ผิดแน่มีบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ในส่วนลึกของสุสาน เขาลังเลก่อนจะไปต่อ
ท่านซือมีเพียงตระกูลราชวงศ์ที่มีสิทธิ์แตะต้องสุสานเก่าของนักรบเทพ แม้จะเป็นคนเหล่านั้นมาสำรวจ พวกเขาก็มักจะสูญเสียอย่างหนักก่อนจะได้สำรวจด้านใน เรากลับไปรายงานกันจะดีกว่า
ซือหยูหันไปพูด
ข้ามีคนที่ต้องปกป้องเพื่อพวกเขา ข้ายินดีทำทุกอย่าง สุสานเก่านี่ ถ้าหากเป็นสุสานของนักรบเทพ มันจะต้องมีอารยธรรมในอดีตอยู่ด้วย ข้าต้องนำมันกลับไปช่วยพวกเขา
ซือหยูเดินต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยวลึกลงไปในรอยแยก
หลูจูถอนหายใจเบาๆ เขามีคนที่ต้องปกป้อง แล้วนางเล่า?
นอกจากน้องสาวนางที่ติดอยู่ในเผ่าเงือกจะมีใครอื่นที่นางต้องต่อสู้ให้อีก?
จักรพรรดิเงือกรึ?เขาตายไปตาย
เผ่าเงือกรึ?พวกเงือกยังคิดว่านางเป็นองค์หญิงอยู่หรือ?
หลูจูถอนหายใจเดินตามซือหยูนางไม่มีทางเลือกนอกจากตามเขา
ทั้งสองสำรวจกันจนถึงห้าวัน
ทั้งสองได้เดินผ่านเส้นทางอันยืดยาว
สุดท้ายที่ลึกในรอยแยก พวกเขาก็ได้ผ่านมาเห็นประตูศิลาที่ถูกปิดผนึกเอาไว้
ประตูศิลานี้สูงมากวัตถุดิบแข็งแรงสุดยอด แม้จะอยู่ในใต้น้ำมาหลายพันล้านปีก็ไม่เสียหายเลย
ที่แปลกยิ่งกว่าคือประตูนี้เป็นทรงกลมคล้ายกับหยินหยาง
ยันต์เลือดหลายพันใบถูกแปะติดเอาไว้ทั้งสองด้านของประตูหยินหยาง
ยันต์แต่ละใบมีพลังที่แข็งแกร่งอย่างประหลาดมันไม่ใช่พลังของเทพเลย แต่คล้ายกับพลังของอสูรราชวงศ์
ซือหยูมองยันต์เลือดและรู้สึกปวดตาพลังเทพของเขามิอาจควบคุมได้ นี่มัน…โลหิตของนักรบเทพ?!
หลูจูอุทาน
ซือหยูจ้องมองยันต์
เจ้าหมายถึงยันต์พวกนี้ถูกเขียนด้วยเลือดของนักรบเทพรึ?
หลูจูพยักหน้า
ตอนที่ข้าไปส่งเครื่องบรรณาการที่อาณาจักรมืดกับท่านพ่อข้าเคยเห็นจักรพรรดิแสดงยันต์บรรพบุรุษกับทุกคน มันเขียนด้วยเลือดของนักรบเทพ ข้าคิดว่ามันจะต้องเขียนด้วยวิธีเดียวกัน แต่ก็มีบางอย่างที่ต่างออกไปบนยันต์ที่นี่ด้วย
ซือหยูหนักใจ
นักรบเทพถูกฝังใต้สุสานนี้สินะ?
นักรบเทพแบบใดกันที่ต้องใช้ยันต์ของนักรบเทพคนอื่นเพื่อกลบเอาไว้?
ซือหยูคิดหนักเขาใช้เนตรวิญญาณมองทะลุไปที่อีกฟากของประตูศิลา เมื่อเขาใช้พลังยันต์นับหมื่นใบก็ปล่อยพลังออกมาขวางการมองเห็นของซือหยู
ซือหยูมองประตูศิลาอย่างหงุดหงิด
ท่านซือมีแผ่นศิลาที่ตรงนั้นด้วย
หลูจูมองตามยันต์โลหิตและเห็นแผ่นศิลาอยู่ที่มุมหนึ่ง
ทีแรกนางคิดว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดแต่เมื่อมองดูให้ดีก็เห็นว่ามันคือแผ่นศิลาเก่า
หืม?ซือหยูรีบไปยืนหน้าแผ่นศิลา
ท่านซือคำอธิบายเขียนแปลกมาก ข้าอ่านไม่ออกเลย
หลูจูกล่าว
เก้าสิบเก่าเผ่าในอาณาจักรทางใต้ล้วนมีภาษาที่ต่างกันเพื่อการสื่อสาร องค์หญิงเผ่าเงือกต้องเรียนอักษรของต่างเผ่าตั้งแต่อายุยังน้อย
หลูจูจึงคุ้นเคยกับทุกภาษาในอาณาจักรมืด แต่อักษรบนแผ่นศิลานั้นแปลกมากมันดูกระชับ แต่ก็ดูซับซ้อน ซึ่งทำให้นางสับสน
ในระหว่างความสับสนนของนางนางไม่รู้เลยว่าสายตาซือหยูมีแต่ความกระวนกระวายที่ลึกในใจ
ซือหยูหายใจเข้าลึก
เจ้าต้องไม่รู้อยู่แล้วมีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะรู้อักษรจากตำราสวรรค์แรก
ตำราสวรรค์แรกคือสิ่งสุดท้ายที่หยุนหยาซือมอบให้กับซือหยู
มันคือสุดยอดตำราที่เต็มไปด้วยความลับของฟ้าดินเช่นเดียวกับความจริงของโลก หากเข้าในทั้งตำรา คนผู้นั้นจะสามารถเข้าใจปริศนาสูงสุดทั้งแปดของโลกได้
แต่โชคร้ายที่ซือหยูไม่มีเวลาที่จะสนใจมันเขาได้แต่อ่านมันเพียงส่วนเล็กน้อย
ตอนนี้เขาได้ใช้เนื้อหาในตำราในการอ่านแผ่นศิลานี้
เขาบังเอิญเข้าใจคำที่เขียนเอาไว้บนแผ่นศิลา
มันเขียนว่า
‘ยามหญิงชั่วในอดีตมายังโลกใบนี้วิถีทางแห่งความยุติธรรมสูญสลาย นักรบเทพถูกกวาดล้าง ข้าและเหล่านับรบเทพหลั่งเลือดเฉือนเนื้อหนังดึงดวงวิญญาณเพื่อใช้แผ่นศิลาเก้าจักรพรรดิเพื่อสะกดหญิงชั่ว แต่นางมาจากสวรรค์ เกิดมาเพื่อนำพาประสงค์ของฟ้าดิน แผ่นศิลาเก้าจักรพรรดิสะกดนางได้หลายพันล้านปีแต่มิใช่ตลอดกาล หากวันใดสุสานแห่งนี้พังทลาย ผู้ที่อ่านแผ่นศิลานี้ออกจงรีบหนีไปพร้อมกับแผ่นศิลานี้โดยพลัน หนีไปจากดินแดนแห่งนี้! หากนางเกิดใหม่เมื่อใด โลกจะถูกทำลาย รักษาชีวิตตนเองไว้เสีย! ขอให้เจ้าโชคดี’
แม้จะเป็นข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดซือหยูก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการแปลมัน
แต่เนื้อหาที่แปลได้ทำให้ซือหยูตกตะลึง
หญิงชั่วคือใครกัน?นักรบเทพทั้งเก้าแห่งธารดาราใช้แผ่นศิลานี้เพื่อสะกดนางด้วยทุกสิ่งที่มี สละเนื้อหนังของตัวเองและดวงวิญญาณ!
นางไร้เทียมทานเพียงใดกัน?
หรือว่าการที่แดนเทพโบราณถูกทำลายในอดีตจะเกี่ยวข้องกับนางคนนี้?
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าสำหรับซือหยูก็คือที่เขียนไว้ว่าถ้าหากสุสานถูกเปิดออกนางจะกลับมายังโลกอีกครั้ง มิใช่ว่าตอนนี้สุสานถูกเปิดแล้วหรือ?