The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 634
DND.634 – ผู้หญิงลึกลับ
คำขู่นี้ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสี่ตัวสั่นด้วยความกลัวพวกเขาโศกเศร้ามายเมื่อถูกเสี่ยวซุยดัดหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น!
เสี่ยวซุยใช้การเล่นราคะของพวกเขาเป็นข้อต่อรองพวกเขาเสียใจอย่างมาก แต่พวกเขาก็พูดอะไรออกไปไม่ได้! ถ้าพวกเขาบอกความจริงทันเวลา ทุกคนก็คงจะไปช่วยกันซ่อมแซมจุดอ่อนตรงนั้นด้วยกัน
แต่ถ้าพวกเขาบอกไปความลับเรื่องกระโจมน้อยก็คงจะถูกเผยออกมาด้วย จากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาก็จะถูกลากจมลงไปในโคลนตมพร้อมกับเสี่ยวซุย!
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะปิดความจริงในตอนนี้พวกเขาหวังว่ามันจะไม่ถูกเผยออกมา ผู้เฒ่าทั้งสี่เลือกที่จะเงียบ
พวกเขารู้ว่าเมื่อช่องโหว่นั้นถูกศัตรูพบเข้าชะตาที่รอเรือรบอยู่ก็คือการถูกทำลาย และในตอนนั้นจะมียอดฝีมือจากต่างโลกบุกเข้ามาดั่งน้ำป่าไหลหลาก! พวกเขารู้ว่าพวกเขายังคงป้องกันเหตุนั้นได้ในตอนนี้ แต่เมื่อนำชีวิตตัวเองไปเทียบ เขาก็เลือกที่จะปิดบังความจริงและเดิมพันด้วยชีวิตของทุกคนแทน!
“พวกเจ้ามีอะไรกัน?”
หลงจื้อชิงครุ่นคิดเมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวซุยกับผู้เฒ่าอีกสี่คนที่แปลกไป
ทั้งห้าตกใจเมื่อได้ยินคำถามจากหลงจื้อชิง
หนึ่งในนั้นพยายามฝืนจากภายในเขาแสร้งเป็นกังวล
“พวกเราแค่เป็นกังวลกับพวกคนต่างโลกที่แอบมาดูรอบๆเรือ”
เสี่ยวซุยถอนหายใจแรง
“ข้าท้อใจจริงๆที่ท่านเจ้าพันธมิตรพูดกับข้าเช่นนั้นท่านคิดว่าพวกข้าจะทำอันตรายกับเรือรบขณะที่เกิดปัญหาเช่นนี้รึ?”
ผู้เฒ่าอีกสามคนพยักหน้าเงียบๆ
หลงจื้อชิงเหลือบมองทั้งห้าคนและพูดอย่างเย็นชา
“เจ้าห้าคนดูใกล้ชิดขึ้นนะ…”
เสี่ยวซุยสวนกลับทันที
“แล้วมันผิดตรงไหน?มีกฎข้อใหม่ของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ให้ผู้เฒ่าไม่เป็นสหายกันรึ?”
หลงจื้อชิงแววตาเยือกเย็นลงเสี่ยวซุยพูดสวนเขาในทุกประโยคราวกับเขาทนเสียหน้าต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ ความไม่นับถือเช่นนี้ทำให้จิตสังหารของหลงจื้อชิงเพิ่มมากขึ้น แต่เขาก็พยายามจะเก็บอารมณ์และเลือกที่จะไม่สนใจทั้งห้าคน
ที่ภายนอกสิบลี้ไกลออกไป
เหนือภูเขาอันแห้งแล้งที่แทบไม่เป็นจุดสังเกตมีคนหลายคนกำลังซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้าสูง
ซูม
จากนั้นชายผมสีเงินได้ปรากฏจากท้องฟ้า เขาคือซือหยูที่ออกมาจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เขามีสร้อยสื่อสารในมือและใบหน้าดูเป็นกังวล
“นายท่าน!”
ลั่วซวงเรียก
เขาดูดีใจเมื่อเห็นซือหยูเขานำหน่วยกวาดล้างอีกห้าคนออกมาจากที่ซ่อน เขารีบเข้าไปโค้งคำนับให้ซือหยู ซือหยูปัดมือด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ต้องมากพิธีตอนนี้คนอื่นปลอดภัยดีหรือไม่?”
ลั่วซวงตอบ
“นายท่านเจ้าตำหนักฉีกับคนอื่นปลอดภัยดี เราได้เจอกับผู้เฒ่าฉิวด้วย”
“แต่…”
ลั่วซวงรู้สึกผิดอย่างมากเมื่อพูดต่อ
“พวกเรามาสายเกินไปผู้เฒ่าฉิวบาดเจ็บหนักและกำลังได้รับความช่วงเหลือจากเจ้าตะหนักฉีและอาจารย์หลิน”
ซือหยูใจหายเมื่อได้ยินข่าวเขารีบบินไปยังดงหญ้าที่สูงเท่าตัวคน
ที่นั่นมีคนกระจายไปทั่วหนึ่งคนยืนยาม สองคนนอนแผ่อยู่บนพื้นราวกับคนตาย ขณะที่อีกสามคนนั่งสมาธิอยู่และดูเหมือนจะทำสมาธิอยู่อย่างลึกซึ้ง
ใบหน้าซีดของผู้เฒ่าฉิวมีคราบโลหิตเปื้อนอยู่มีรอยฝ่ามือโลหิตที่ช่องท้อง ซือหยูหนาวสั่นเมื่อเห็นสภาพของผู้เฒ่าฉิว เซี่ยจิงหยูกับผู้เฒ่าจิวล้วนอยู่ในสภาพไร้สติ ทั้งคู่ต้องได้รับการดูแลจากผู้เฒ่าฉิว
“ผู้เฒ่าฉิวเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซือหยูร่อนไปที่ข้างนางก่อนจะถาม
เขาอัดพลังชีวิตร่วมกันเจ้าตำหนักฉีและอาจารย์หลินเมื่อพลังชีวิตเข้าสู่ร่างของนาง ซือหยูอ้าปากค้างและสีหน้าเปลี่ยนไป นั่นก็เพราะว่าบาดแผลของผู้เฒ่าฉิวนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก
สายโลหิตสามสายระเบิดอวัยวะภายในเสียหายอย่างหนัก มีกระดูกหลายซี่ที่หัก โชคดีที่มันยังใช้พลังชีวิตรักษาได้
แต่ปัญหาใหญ่คือจุดกำเนิดพลังของนางถูกกระแทกอย่างแรงแก้วพลังชีวิตที่นางพยายามก่อร่างขึ้นมาดูเหมือนจะแตกสลายไปเรื่อยๆ
ดังนั้นพลังชีวิตที่หลั่งไหลออกมาจึงได้ทรมานร่างกายของนางเอง!ไม่ว่าพลังชีวิตล้นไปทางใด ส่วนของร่างกายจะเสียหายอย่างหนัก พลังมหาศาลนี้ยังทำให้สติของนางหลุดลอยมาจนถึงตอนนี้
ชีวิตของนางอยู่ในมือฉีตงไล่กับอาจารย์หลินทั้งสองพยายามกดพลังที่ควบคุมไม่ได้ในร่างกายของนาง มิเช่นนั้นนางคงตายเพราะพลังชีวิตส่วนเกินไปแล้ว! ชีวิตของผู้เฒ่าฉิวแขวนอยู่บนเส้นด้าย!
“ทำไมผู้เฒ่าฉิวเป็นแบบนี้?เจ้าตำหนักฉี อาจารย์หลิน พวกท่านเจออะไรบ้างตอนที่พบตัวนาง?”
ซือหยูลืมตากว้างและถามเขาสับสนอย่างมาก
เพราะเขาเพิ่งจะสอนเซี่ยนเอ๋อถึงวิธีบ่มเพาะพลังในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก่อนที่สร้อยหยกจะเสียหายเป็นลั่วซวงที่ติดต่อขเามาก่อน เขาได้ยินเพียงอย่างเดียวว่า..
“ผู้เฒ่าฉิวตกอยู่ในอันตราย”
ซือหยูจึงต้องรีบบินออกมาเขาทิ้งลูกแก้วไว้สี่ลูกเพื่อปกป้องเซี่ยนเอ๋อ เขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนทางฝั่งเรือรบ
เจ้าตำหนักฉีส่ายหน้า
“พวกข้าก็ไม่แน่ใจพอพวกข้าาถึง พวกเราก็เห็นผู้เฒ่าฉิวอยู่ในสภาพนี้แล้ว เราไม่รู้เลยว่านางถูกใครทำร้าย”
อาจารย์หลินจ้องมองบาดแผลของผู้เฒ่าฉิวเขาลังเลก่อนจะพูด
“ตามที่ข้าสังเกตผู้เฒ่าฉิวถูกจู่โจมด้วยฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่ฝ่ามือนี้มีพลังที่สังหารนางได้ทันที แต่ข้าไม่รู้ทำไมคนที่ลงมือจะต้องออมมือด้วย นางถึงแค่บาดเจ็บหนัก ไม่งั้นพวกเราคงจะได้เห็นศพของนางเท่านั้น!”
ซือหยูมองบาดแผลของนางและเห็นได้ว่ารอยฝ่ามือนี้เรียบเนียนและผอมบางถ้าเขาคิดไม่ผิด นี่จะต้องเป็นฝีมือของผู้หญิง! คนที่ทำร้ายผู้เฒ่าฉิวเป็นผู้หญิง!
และรอยฝ่ามือที่ทิ้งเอาไว้ยังมีพลังที่อันตรายมากติดอยู่ด้วยเพียงแค่มองก็ทำให้ซือหยูตัวสั่น
“นี่เป็นฝีมือของภูติที่แข็งแกร่งมาก!ท่านเจ้าตำหนักฉี นอกจากพวกต่างโลกแล้วมีภูติอื่นอีกกี่คนในทวีปเฉินหลง?”
เจ้าตำหนักฉีกับอาจารย์หลินคิดหนักผู้เฒ่าฉิวไม่ได้ถูกจู่โจมจากคนต่างโลกแน่นอน มิเช่นนั้นศัตรูก็คงจะไม่ไว้ชีวิตพวกเขาทั้งสาม
โดยเฉพาะผู้เฒ่าจิวที่กลายเป็นเป้าหมายหลักของผู้รุกรานดังนั้นโอกาสเดียวที่เป็นไปได้ก็คือฝีมือคนจากทวีปเฉินหลงเอง! ทั้งสองคิดอยู่นาน
อาจารย์หลินพูดคนแรก
“ถ้าเป็นสองปีครึ่งก่อนหน้านี่ข้าก็บอกเจ้าได้อย่างมั่นใจว่ามีแค่ผู้เฒ่าจิวราชาโลกดับสูญ ราชาแห่งความมืด แล้วก็เก้าศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลยี่ มีแค่สี่คนนี้เท่านั้นที่เป็นภูติ! แต่นับตั้งแต่ที่ก้นบึ้งมังกรถูกเปิดออก พลังวิญญาณของเฉินหลงเพิ่มขึ้นมาก ยากที่ข้าจะแน่ใจจำนวนแล้ว!”
อาจารย์หลินพูดต่อ
“ทวีปเฉินหลงมิอาจสร้างภูติได้ก็เพราะสภาพที่แร้นแค้นขาดพลังวิญญาณแต่สองปีนี้เงื่อนไขเปลี่ยนไป ข้าไม่รู้เลยว่ามีกึ่งภูติกี่คนที่กลายเป็นภูติ”
อาจารย์หลินหยุดพูดครู่หนึ่งและพูดต่อ
“ตามที่ข้ารู้ที่ที่น่าจะสร้างภูติขึ้นมาได้ก็คืออาณาจักรทมิฬ พวกเขามีกึ่งภูติที่ไปถึงระดับสุดยอดมาหลายปีแล้ว และเมื่อสภาพแวดล้อมดีขึ้นก็ไม่ยากที่คนพวกนั้นจะกลายเป็นภูติ”
ถ้าอย่างนั้นซือหยูก็ไม่มีทางรู้เลยว่าใครที่ทำร้ายผู้เฒ่าฉิว!
“แต่ผู้เฒ่าฉิวยังรักษาได้ถ้าเรากดพลังวิญญาณที่ยุ่งเหยิงในตัวนางเอาไว้ บางทีนางอาจจะฟื้นขึ้นมาบอกว่าใครที่ทำเรื่องชั่วร้ายนี่!”
เจ้าตำหนักฉีพูดขึ้นมา
ซือหยูแววตาเยือกเย็นเขาเป็นห่วงผู้เฒ่าฉิวมาก เพราะผู้เฒ่าฉิวมีประโยชน์ต่อเขา
ก่อนหน้านี้ซือหยูได้ขอให้นางพอเซี่ยจิงหยูกับผู้เฒ่าจิวออกมาจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เพื่อปกป้องทั้งคู่นั่นทำให้ซือหยูมีโอกาสกำจัดพวกฟู่กังซานกับคนสของเขาโดยไม่ต้องห่วงถึงความปลอดภัยของทั้งสอง เขาไม่คิดเลยว่าผู้เฒ่าฉิวจะต้องมาบาดเจ็บแบบนี้!
ดังนั้นซือหยูจึงรู้สึกว่าเขาติดหนี้ต่อนาง!เขาจะต้องช่วยชีวิตนางเอาไว้! และซือหยูยังต้องการความช่วยเหลือจากผู้เฒ่าฉิวให้สร้างเนตรเงินล้างอสูรให้เขาได้กลับมามองเห็นอีกครั้ง!
“เอาล่ะกดพลังของนางเอาไว้ก่อน เราค่อยพูดเรื่องการรักษาตอนที่กลับไปถึงพันธมิตรผู้คุมสวรรค์! ที่นั่นมีสิ่งที่เป็นประโยชน์กับการรักษา!”
ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
เจ้าตำหนักฉีกับอาจารย์หลินตกใจเมื่อคิด…
กลับไปที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์รึ?พวกขาจะกลับไปได้อย่างไร? มิใช่ว่าจะเป็นการทำให้ตัวเองอยู่ในมือศัตรูรึ?
จากนั้นซือหยูก็อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาหายใจเข้าลึก…
ฟู่กังซานกับคนของเขาถูกกำจัดหมดแล้วรึ?ไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเลยรึ? ผู้เฒ่ามากกว่าสิบคนตายไปทั้งอย่างนั้นจริงๆรึ?
นอกจากความหนาวสั่นในใจพวกเขายังมองซือหยูเป็นคนละคน! ชายคนนี้มิใช่แค่พึ่งพาได้ เขายังมีพลังอันยิ่งใหญ่!
“ข้าหวังว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะยืนบนขาตัวเองได้หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นเรื่องนี้มิใช่เรื่องร้ายแรงต่อพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ ข้าหวังว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”
อาจารย์หลินถอนหายใจเบาๆ
จากนั้นทั้งสามก็ร่วมอัดพลังลงในร่างผู้เฒ่าฉิวผ่านไปครึ่งชั่วยาม พลังในร่างผู้เฒ่าฉิวเริ่มที่จะสงบลง
พลังของทั้งสามอัดแก้วพลังชีวิตของผู้เฒ่าฉิวเอาไว้พลังชีวิตส่วนเกินไม่ไหลออกมาอีกแล้ว
“เท่านี้ก็พอแล้วล่ะถ้าเรากลับไป เราจะหาโอสถให้นางฟื้นตัวเร็วขึ้น”
ซือหยูยังไม่วางใจ
“แต่คงต้องรออีกนานกว่าสติของนางจะกลับคืนมา”
เจ้าตำหนักฉีพูดปลอบ
“ชีวิตนางไม่เสี่ยงแล้วนางจะตื่นเมื่อใดก็เป็นเรื่องของเวลา พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก เจ้าทำดีที่สุดแล้ว”
อาจารย์หลินยิ้ม
“ข้าก็เชื่อว่านางจะตื่นขึ้นมา
“รีบกลับไปที่เรือรบเถอะที่นั่นยังมีเรื่องใหญ่อยู่ มีคนต้องถูกกำจัด เราจะอยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้”
ซือหยูพูด
เขาหันไปรอบๆและดูเหมือนกำลังจะแบกผู้เฒ่าฉิวขึ้นมาแต่ตอนนั้นก็มีหญิงสาวปรากฏตัวจากอีกด้าน นางคือฉีหยุนเซี่ยงที่ทำหน้าที่สอดส่องรอบๆ
“ให้ข้าจัดการเอง”
ฉีหยุนเซี่ยงหน้าแดงระเรื่อนางไม่กล้าจะมองซือหยูตรงๆ แก้มแดงของนางงดงามยิ่งนัก
ซือหยูไม่ได้ปฏิเสธฉีหยุนเซี่ยงเพราะผู้เฒ่าฉิวมาจากคณะวิหคเพลิง ดังนั้นนางจึงต้องปกป้องทั้งร่างกายและชีวิต นางจะต้องไม่ยินดีที่จะให้ซือหยูแบกนางแน่!
“ขอบคุณนะหยุนเซี่ยง”
ซือหยูพยักหน้า
“มะ…ไม่เป็นไร”
ฉีหยุนเซี่ยงตาเป็นประกายนางใจเต้นระรัว นางเลี่ยงสายตาซือหยู
ซือหยูพยักหน้าและเดินไปตรวจดูอาการของเซี่ยจิงหยูกับผู้เฒ่าจิวทั้งสองไม่เป็นอะไรมากนัก
ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาเริ่มอุ้มเซี่ยจิงหยูโดยเหลือผู้เฒ่าจิวให้เจ้าตำหนักฉีและอาจารย์หลิน