The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 657-658
DND.657 – ก้าวสู่ขอบเขตแก้วสามดวง
ซ่า!
เสียงลุกไหม้ดังขึ้นเมื่อบางส่วนของพิษถูกเพลิงเผาแต่มันก็แค่ส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนที่เหลือกำลังจะแล่นถึงหัวใจของซือหยู!
ซือหยูไม่ได้กังวลแม้จะใกล้ตายเขาถอนหายใจยาวเพื่อให้ใจเย็นลง เขาหยิบร่มวิเศษบัวแดงออกมาและเรียกเพลิงของมันมาใช้
เพลิงนี้แข็งแกร่งมากมันเผาภูติให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าต้นกำเนิดอัคคีเสียอีก!
เมื่อเพลิงพิโรธบัวแดงเข้าสู่ร่างพิษสีน้ำนมเริ่มที่จะหายไปราวกับเป็นแค่กองหิมะ ไม่นานพิษสีน้ำนมที่ทำลายภายในซือหยูก็หายไปจนหมด
ซือหยูถอนหายใจยาวและเช็ดเหงื่อบนหน้าผากใครจะไปคิดว่าคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากอย่างเขา ทั้งยังเจอบททดสอบมามากมายจะเกือบตายเพราะสมุนไพรวิญญาณเล่า?
ไม่แปลกใจเลยที่ท่านอาจารย์บอกว่าข้าจะตายถ้ากินมันตรงๆแค่พิษจากขนเส้นเดียวก็เกือบจะเอาชีวิตของข้าไปแล้ว!
ข้าคงช่วยชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้ถ้ากินมันทั้งต้นต่อให้ข้าใช้เพลิงพิโรธบัวแดงทั้งหมดก็เถอะ!
หลังจากที่เขาผ่านพ้นวิกฤติมาได้ซือหยูเริ่มที่จะจริงจังกับม้าเมฆากว่าเดิมมาก!
ซือหยูยืนขึ้นอย่างระวังและเรียกลูกไฟเพลิงบัวแดงออกมาเขากำลังคิดว่าเพลิงจะเผาพิษอันตรายทั้งหมดไปได้หรือไม่ เรื่องอันตรายอย่างเดิมจะได้ไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง
และเมื่อเพลิงลุกอยู่เหนือฝ่ามือจู่ๆซือหยูก็คิดอะไรได้บางอย่าง…
คงน่าเสียดายที่จะทำลายพิษพิฆาตเช่นนี้ถ้าเขาเอาไปได้ดีๆ มันจะกลายเป็นกระบวนท่าสังหารที่ทรงพลัง!
ซือหยูค่อยๆดึงเอาเส้นขนของมันออกมาทีละเส้นและเก็บไว้อย่างดีเขามีเส้นขนเกือบสามร้อยเส้น
หลังจากที่ดึงขนม้าเมฆาออกมาหมดแล้วเขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย ขั้นต่อไปนี่แหละ เวลาที่ข้ารอคอยมาถึงแล้ว!
เกลียวทางช้างเผือกเล็กๆปรากฏในมือเมื่อเขาถือม้าเมฆาเหล่าดาราข้างในเกลียวดูเหมือนกับทรายที่เปล่งแสงออกมาได้ มันช่างสวยงามและน่าอภิรมย์ พิษไหลออกมาจากม้าเมฆาด้วยความเร็วสูง มันถูกขับออกมาเพราะทรายดาราทางช้างเผือก
ร่างของม้าเมฆาเริ่มโปร่งใสมันดูเหมือนกับหยกขาวที่สวยงาม
ผ่านไปนานทรายดาราทางช้างเผือกได้หายไป ม้าเมฆาที่เป็นแก้วใสได้ถือกำเนิดขึ้นมา เขามองด้วยเนตรวิญญาณและพบว่านอกจากพิษสีน้ำนมจะหายไป สิ่งปนเปื้อนต่างๆในร่างของมันก็หายไปด้วย พิษที่ต้องใช้วัตถุดิบมากมายในการสร้างได้ถูกทรายดาราทางช้างเผือกชำระล้างในพริบตาเดียว!
เขารู้สึกทึ่งในสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้อีกครั้ง!เทียนจี่จื้อทิ้งสมบัติที่ประเมินค่ามิได้ไว้ให้เขาจริงๆ!
ในตอนนี้ม้าเมฆาที่บริสุทธ์อย่างสุดขั้วไม่มีอันตรายอีกแล้ว มันเป็นเพียงก้อนพลังงานอันบริสุทธิ์ แม้แต่ภูติก็ต้องน้ำลายไหลเมื่อเห็นมัน!
ซือหยูทนความยั่วยวนไม่ไหวอีกต่อไปเขาเงยหน้ากินมันลงท้อง พลังอันร้อนแรงไหลผ่านลำคอ ซือหยูหน้าแดงก่ำ เขาเริ่มไอ
แต่แม้กระนั้นมันก็มีรสชาติที่น่าอัศจรรย์ถึงจะผ่านไปสิบห้านาทีรสชาติก็ยังอัดแน่นอยู่ในปาก รสชาติที่ร้อนรุ่มราวกับเพลิงได้ไหลลงสู่ท้อง เขารู้สึกราวกับมีเพลิงคลั่งลุกไหม้อยู่ในท้อง มันค่อนข้างเจ็บปวด
พลังร้อนสูงได้เข้าสู่จุดกำเนิดพลังที่มีแก้วอยู่สี่ดวงแก้วสองดวงนั้นเป็นแก้วพลังชีวิต ส่วนอีกสองดวงคือแก้วสายฟ้าที่ปรากฏขึ้นมาอย่างลึกลับ สุดท้ายคือแก้วพลังวิญญาณที่ยังไม่กลายเป็นแก้วพลังชีวิต
หลังจากที่พลังร้อนเข้าสู่ท้องมันได้เข้าโอบล้อมแก้วทั้งสี่ดวง ความร้อนสูงได้ทำให้แก้วทั้งสี่ดวงตอบสนองต่างกันออกไป แก้วเหล่านั้นปล่อยพลังออกมาและพยายามขวางการรุกล้ำ
แก้วพลังชีวิตปล่อยพลังชีวิตแก้วสายฟ้าปล่อยสายฟ้า แก้วพลังวิญญาณปล่อยพลังวิญญาณ พลังชีวิตกับสายฟ้าต่อต้านมันได้อย่างดี แต่พลังวิญญาณที่อ่อนแอที่สุดนั้นมิอาจขวางให้พลังร้อนสูงเข้าไปได้
แก้วพลังวิญญาณหนึ่งในสิบส่วนได้กลายเป็นสีแดงเพลิงเพราะถูกความร้อนสูงรุกล้ำเข้าไปซือหยูมองแก้วพลังที่ถูกบุกรุกอยู่ทุกขณะ
พื้นที่ในแก้วพลังวิญญาณถูกยึดไปมากมันทำให้แก้วพลังวิญญาณอัดตัวเองจนแน่น ผ่านไปครู่หนี่ง วี่แววของพลังชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้นมา มันคือพลังใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อพลังวิญญาณถูกอัดแน่นจนถึงจุดขีดสุด
พลังวิญญาณเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อถูกพลังร้อนสูงอัดจนแน่นนั่นทำให้พลังชีวิตเกิดขึ้นอีกมาก ผ่านไปครึ่งชั่วยาม แก้วพลังวิญญาณสามในสิบส่วนได้กลายเป็นแก้วพลังชีวิต!
แต่พลังวิญญาณเริ่มลดน้อยลงไปแก้วพลังวิญญาณเริ่มที่จะดูดซับพลังจากโลกภายนอกอย่างบ้าคลั่งเพื่อเติมเต็มพื้นที่ว่างที่ขาดหาย! พลังวิญญาณมหาศาลโอบล้อมร่างของซือหยู พลังที่เข้าไปอัดแน่นทำให้แก้วพลังวิญญาณที่เหลือเปลี่ยนเป็นแก้วพลังชีวิตอย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนเช่นนี้เกิดขึ้นต่อไปอีกครึ่งวันซือหยูยังคงหลับตาอยู่ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอันสงบสุข
พลังชีวิตไร้ขอบเขตแล่นผ่านทั่วร่างมันเหมือนกับแม่น้ำเชี่ยวกรากที่ปล่อยแรงกดดันมหาศาล
พลังวิญญาณทั้งหมดของเขาหายไปแล้วมีแค่พลังชีวิตที่อยู่ในร่างกาย
จุดกำเนิดพลังของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากซือหยูรู้สึกราวกับได้เกิดใหม่ พลังชีวิตได้เป็นพลังที่ดุร้ายและแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยหนึ่งในสาม นั่นหมายความว่าพลังของวิชาและสมบัติวิเศษทั้งหมดของเขาจะยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม!
ตอนนี้ต่อให้เขาเอาชนะภูติระดับสี่ไม่ได้ เขาก็หนีออกมาได้ง่ายๆ ชีวิตของเขาจะปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อถึงคราวมีปัญหา!
เขาลืมตาช้าๆลำแสงพลังชีวิตพุ่งออกมาจากดวงตา
สมกับเป็นม้าเมฆาแม้จะผ่านมานาน แต่ผลของมันก็ยังไม่หายไปจนหมด
ซือหยูยิ้มเบาๆเขาเดาะลิ้นสงสัย ถึงเขาจะเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงซึ่งห่างไกลจากการเป็นภูติแค่ก้าวเดียว พลังความร้อนสูงในร่างก็ยังคงอยู่ในจุดกำเนิดพลัง มันยังคงอัดแน่นในแก้วพลังชีวิตต่อไป มันทำให้พลังชีวิตของเขาบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
เมื่อมันไปถึงจุดสุดยอดเมื่อใดพลังชีวิตจะพบกับความเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะได้กลายเป็นภูติ!
เขากำหมัดทั้งสองข้างและสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งซือหยูมั่นใจในพลังยิ่งกว่าเดิม…
น่าเสียดายที่สมบัติหายากอย่างม้าเมฆานั้นมีอยู่น้อยมิเช่นนั้นเขาก็คงจะสร้างยอดฝีมือที่แข็งแกร่งได้อีกหลายคนโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียมันไป! ความคิดนี้ทำให้ซือหยูแอบถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า
ซือหยูยืนขึ้นปัดใบไม้ที่ร่วงใส่ตัวเขามองไปยังทิศทางของอาณาจักรทมิฬ
“ได้เวลาไปที่นั่นเสียที”
ราชาแห่งความมืดเป็นราชาไร้เทียมทานที่ลึกลับขณะที่ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดก็มีเจ็ดจ้าวแห่งความมืดรุ่นก่อนๆอยู่ ซือหยูคิดว่าถ้าโลกเฉินหลงเปลี่ยนแปลงมาแล้วสามเดือน ผู้คนที่นั่นก็น่าจะทะลวงขีดจำกัดมาได้ ฐานพลังของพวกเขาคงจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพราะหัวหน้าผู้ตรวจการอย่างไป่จงเองก็เป็นภูติระดับหนึ่งแล้วแล้วพลังของพวกสัตว์ประหลาดในตำหนักเจ็ดจ้าวเล่า? พวกเขาจะต้องน่ากลัวจนคิดไม่ถึงแน่!
DND.658 – สาวน้อยโอหัง
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อสามปีก่อนทำให้ทวีปเฉินหลงพบเจอกับภัยพิบัติแต่มันก็ได้สร้างภูติชุดใหม่ขึ้นมาด้วยพลังวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไป ไป่จงคือหนึ่งในผลของปรากฏการณ์ครั้งนั้น
ซือหยูไม่เคยได้ยินเรื่องภูติคนอื่นในทววีปเฉินหลงมาก่อนแต่วันนี้เขาก็ได้พบว่าหัวหน้าผู้ตรวจการได้เป็นภูติแล้ว! นั่นหมายความว่าไป่จงจะต้องไม่ใช่คนเดียวที่ได้กลายเป็นภูติจากช่วงเวลานี้!
ซือหยูยิ่งระวังตัวขึ้นเมื่อมั่นใจในเรื่องนี้เขาจะต้องรอบคอบให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ระหว่างที่ไปอาณาจักรทมิฬ ซือหยูหยิบเอาชุดจากตำหนักศีลหวนคืนมาสวม
ชุดนี้เป็นสีขาวและออกแบบมาอย่างเรียบง่ายถ้าหากไม่รู้จักสัญลักษณ์ที่หน้าชุด ชุดนี้ก็ไม่ต่างจากชุดธรรมดาที่ไม่น่าสนใจเท่าใดนัก
เมื่อเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรอบกายซือหยูรายล้อมไปด้วยสายฟ้า เขาเดินทางด้วยวิชาเลี่ยงสายฟ้า
หลังจากครึ่งวันณ กลางทวีป
เหนือยอดเขาสูงสายฟ้าเปล่งประกายพร้อมกับคนหนึ่งคนที่เดินออกมา
“เจอกันอีกแล้วนะ…อาณาจักรทมิฬ”
ซือหยูมองท้องนภาเงียบสงัดยอดเขาลูกใหญ่ยื่นสูงมาถึงหมูเมฆ มันดูยิ่งใหญ่อย่างมาก
ซือหยูเคยถูกจับมาที่นี่โดยอินทรีเทวะในวันนี้ เขากลับมาในฐานะของหัวหน้าขุมกำลังเก่าแก่
ยอดเขาลูกใหญ่นี้คือยอดเขาแรกแห่งทวีปมันตั้งอยู่ตรงกลางทวีปเฉินหลงและถูกอาณาจักรทมิฬยึดครองมาโดยตลอด มันยังเคยใช้เป็นตำหนักหลักของอาณาจักรทมิฬอีกด้วย
ตัวยอดเขาเองก็เป็นดั่งสัญลักษณ์ของอาณาจักรทมิฬแต่ตอนนี้มันกลับถูกโอบล้อมโดยกองทัพใหญ่
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองรอบๆและเห็นกองทัพที่มีคนราวเก้าร้อยคนพวกเขายืนรายล้อมยอดเขา
ทหารแต่ละคนมีพลังอย่างน้อยในระดับกึ่งภูติมีภูติระดับหนึ่งอยู่ด้วยสิบคน กึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงมีอยู่นับไม่ถ้วน ซือหยูแอบตัวสั่นเมื่อมองทหารเหล่านี้
ว่ากันว่าอาณาจักรทมิฬถูกกองทัพใหญ่จากต่างโลกล้อมเอาไว้นอกจากมันจะเป็นเรื่องจริงแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ก็ยิ่งแย่กว่าคำร่ำลือ
เหล่ากองทัพภูติทั้งแปดร้อยคนนี้มีกำลังเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของกองทัพต่างโลกถ้าหากกองทัพนี้ได้จู่โจมพันธมิตรผู้คุมสวรรค์กับตำหนักรองในวันนั้น ทั้งสองฝ่ายก็คงจะถูกกำจัดเป็นแน่!
อาณาจักรทมิฬถูกปิดล้อมทุกทางทุกคนที่ปรากฏตัวจะกลายเป็นเป้าหมายทันที ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าจะไม่มีวี่แววของผู้คนอื่นในยอดเขาแห่งนี้เลย
ซือหยูสับสนยิ่งกว่าจากสิ่งที่ผู้เฒ่าจิวเคยพูดถึงผู้เฒ่าจิวเคยบอกว่าอาณาจักรทมิฬมีพลังมากพอที่จะกำจัดคนจากต่างโลกทั้งหมด เขาสงสัย…
แล้วทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะถูกล้อมแทนที่จะสู้กลับเล่า?
พวกเขากำลังวางแผนอะไรกันอยู่?
ซือหยูจ้องมองยอดเขาใหญ่ด้วยความสับสนบนใบหน้าพื้นที่รอบยอดเขาคือเมืองหนึ่ง มันเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกเมืองในทวีปเฉินหลง
ตอนนี้เมืองถูกยึดครองโดยคนจากต่างโลกมันได้กลายเป็นดินแดนของศัตรู ซือหยูเดาว่าคนในเมืองได้ย้ายไปจากภูเขาหมดแล้ว
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองพื้นที่กว้างใหญ่ในยอดเขาภายในนั้นว่างเปล่า แต่เมื่อใช้เนตรวิญญาณมองไปยังกลางยอดเขา ที่นั่นก็เต็มไปด้วยผู้คนอย่างที่เขาคิด
มีร้านรวงและคนหลากหลายประเภทอยู่ที่นั่นภาพที่ได้เห็นไม่ต่างกับว่ามันเป็นเมือง!
แม้โลกรอบข้างจะตกอยู่ในความปั่นป่วนชีวิตของสามัญชนที่นี่ก็ดำเนินต่อไป เหล่าธุรกิจเฟื่องฟูขึ้นเพื่อคนพยายามจะเพิ่มพลังก่อนที่สงครามครั้งใหญ่จะมาถึง ดังนั้นการค้าจึงดีขึ้นกว่าปกติ
ซือหยูพยักหน้าเบาๆเขาแอบคิดว่าของที่ซื้อขายกันจะมีโอสถสองประเภทที่เขาต้องใช้ช่วยผู้เฒ่าฉิวหรือไม่
แต่ในตอนนี้เขาต้องคิดวิธีที่จะเข้าไปถึงกลางยอดเขาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ได้แผน
ซือหยูรู้ว่ากองทัพนี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเอาชนะทุกคนด้วยตัวคนเดียวเพราะพวกมันมีถึงแปดร้อยคนแต่เขารู้ว่าจำนวนที่มาก บางครั้งก็มีจุดอ่อนอยู่
ยังเป็นไปได้ที่ซือหยูจะพึ่งพาสมบัติผ่านกองทัพใหญ่นี้ไปแต่สิ่งที่เขากังวลอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือยอดเขาของอาณาจักรทมิฬ
เพราะยอดเขานี้ต้องรับมือกับกองทัพใหญ่มาตลอดสามปีแต่จนถึงตอนนี้กองทัพศัตรูก็ยังบุกเข้าไปไม่ได้ ยอดเขานี้จะต้องมีพลังที่ขัดขวางไม่ให้คนเข้าถึง
ถ้าซือหยูไปถึงหน้ายอดเขาแต่เข้าไปไม่ได้นั่นจะเป็นเรื่องร้ายแรงถึงที่สุด ซือหยูลูบคางครุ่นคิด
หืม?จู่ๆเขาก็เลิกคิ้ว
เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันราวกับมีจิตวิญญาณหนึ่งเพิ่งจะปรากฏออกมาและหายไปในพริบตาเดียว
การเคลื่อนไหวนั้นเหมือนจะมาจากสัตว์ป่าตัวเล็กๆถ้าหากเป็นที่อื่นซือหยูก็อาจจะไม่สนใจ แต่เขามองข้ามไม่ได้ในสถานที่อันตรายเช่นนี้
ดวงตามืดบอดเปล่งแสงเขาใช้เนตรวิญญาณมองทะลวงหลายสิ่งตรงหน้า เมื่อผ่านสิ่งกีดขวางมากมายเขาก็ได้พบกับต้นตอของการเคลื่อนไหวนั้น
เขาเห็นสามคนซ่อนตัวอยู่อย่างดีมีชายสองและสตรีอีกหนึ่ง
ชายสองคนเป็นชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มชายวัยกลางคนดูหน้าตาธรรมดาและไม่น่าสนใจ เขาเป็นคนที่จะถูกผู้คนเมินเฉย
ส่วนชายหนุ่มก็เช่นเดียวกันใบหน้าของเขาไม่ดึงดูดเอาเสียเลย
ส่วนผู้หญิงนางนั้นไม่เลว นางอายุราวยี่สิบปีและตัวเล็กมาก ใบหน้าของนางดูดีราวกับตุ๊กตา
นางมีผมยาวหน้าม้าปิดหน้าผากมิดเผยให้เห็นดวงตากลมโต
มีดอกไม้ป่าจนศีรษะที่ทำให้นางดูน่ารักขึ้นแต่ใบหน้าของนางดูโอหัง
“ท่านพ่อทำไมเรายังไม่ไปอีกล่ะ? ยันต์เร้นกายของเราไม่ได้ทำให้เราเข้าอาณาจักรได้เลยหรอกรึ?”
สาวน้อยผู้หยิ่งยโสถามอย่างไม่พอใจ
ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้นางหัวเราะ
“หลิงเอ๋อเจ้าตระกูลกำลังดูการเคลื่อนไหวของศัตรูน่ะ เราประมาทไม่ได้ถึงจะมียันต์ที่อาณาจักรมอบให้ ”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้าอย่ามาพูดแทรก”
หลิงเอ๋อกลอกตามองเขา
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจและไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเลยแววตาของเขาล้ำลึกยิ่งขึ้นเมื่อมองหลิงเอ๋อ เขามิอาจเก็บซ่อนความรักในแววตาได้
“หลิงเอ๋ออย่าพูดแบบนั้นกับยิ่งเฉิงสิ”
ชายวัยกลางคนที่เป็นเจ้าตระกูลตำหนินาง
“ยิ่งเฉิงพูดถูกเราจะประมาทไม่ได้”
หลิงเอ๋อบ่น
“ท่านพ่อไม่รักข้าแล้ว…”
“เอาเถอะ…”
ชายวัยกลางคนเปลี่ยนน้ำเสียงเขาดูจริงจังขึ้น
“ข้าไม่เจอการเคลื่อนไหวของศัตรูเลยแต่ข้าเห็นคนอื่น!”
แววตาเขาเฉียบคมขึ้น
“ท่านเจ้าตระกูลพูดถึงใครกัน?”
ยิ่งเฉิงถามด้วยความแปลกใจ
เขารู้ว่าเจ้าตระกูลเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงง่ายดายนักที่เขาจะผ่านดงศัตรูเข้าไป เขาตอนนี้เขาดูระวังตัวเป็นอย่างมาก ยิ่งเฉิงจึงเริ่มเป็นกังวล
“อะไรนะ?คนอื่นรึ? เขาอยู่ไหน?”
หลิงเอ๋อถามและหันไปมองนางพยายามจะมองหาคนด้วยดวงตากลมโตนั้น
เจ้าตระกูลตอบเบาๆ
“เจ้าไม่สังเกตเห็นชายบนยอดเขารึ?เขาอยู่ที่นั่นตั้งนานแล้ว แต่ข้าเพิ่งจะรู้ตัว!”
ยิ่งเฉิงกับหลิงเอ๋อตกใจหลิงเอ๋อถามด้วยความสงสัย
“ท่านพ่อทำไมข้าไม่เห็นความเคลื่อนไหวของเขาล่ะ? ข้ามีวิชาสังเกตพลังนะ มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าของท่านพ่อด้วย!”
หลิงเอ๋อโผล่หัวขึ้นจากที่กำบังไปยังยอดเขานางใจมาก
“อ๊ะ!มีคนอยู่จริงๆด้วย…อื้ม…”
นางถูกชายวัยกลางคนเอามือปิดปากเขารีบพูด
“ชู่ว!”
หลิงเอ๋อตกใจมาก
“ท่านพ่อนั่นมันใครน่ะ? ทำไมข้าไม่รู้ตัวถึงเขาเลย? วิชาระดับอำมฤตของข้าต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะหนึ่งลี้สิ”
นางพูดต่อ
“ร่างกายมนุษย์ต้องปล่อยพลังออกมาอยู่แล้วข้าถึงรับรู้ได้ง่าย แล้วทำไมข้าถึงไม่รู้สึกว่าพลังรอบๆเปลี่ยนไปในตอนที่เขามาล่ะ?”
หลิงเอ๋อถามด้วยความตกใจและสงสัย
ยิ่งเฉิงตกใจไม่ต่างกัน
“เกิดอะไรขึ้นรึท่านเจ้าตระกูล?”
ชายวัยกลางคนพูดเบาๆอย่างเดิม
“มันยังไม่ชัดอีกรึ?มีแค่สองอย่างเท่านั้น! อย่างแรกคือเขามีพลังเหนือกว่าพวกเรามาก วิชาที่ใช้สังเกตการณ์จะทำให้รู้ความเปลี่ยนแปลงในระยะหนึ่งลี้ก็จริง แต่ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่า สัมผัสของพวกเราก็จะถูกแรงกดดันวิญญาณกดลงไป เราถึงไม่สังเกตถึงอีกฝ่าย”
เขาพูดต่อ
“อย่างที่สองเขาอาจจะมีวิชาลับที่ทำให้เขาซ่อนพลังของตัวเองเอาไว้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้เป็นวิชาของเราก็หาเขาไม่เจอ เป็นไปได้ว่ามันเป็นวิชาที่เหนือกว่าระดับอำมฤต”
เมื่อพูดจบยิ่งเฉิงกับหลิงเอ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอกขึ้นมาพร้อมกัน
“ท่านพ่ออายุเขาเท่าๆกับพวกข้า เขาจะแข็งแกร่งกว่าท่านพ่อได้ยังไง? เขาจะต้องมีวิชาลับที่ซ่อนพลังได้แน่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะวิชาลับ มันก็อาจจะเป็นเพราะโอสถบางอย่าง ใช่หรือไม่?”
หลิงเอ๋อถาม
เจ้าตระกูลเตือนนางอีกครั้ง
“หลิงเอ๋อข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าดูคนแต่ภายนอก? อายุมิได้ตัดสินทุกอย่าง! เจ้าไม่เห็นคนหนุ่มจากต่างโลกรึ? พวกนั้นแข็งแกร่งกว่าข้าตั้งหลายคน!”
หลิงเอ๋อทำแก้มป่องและไม่พอใจเมื่อถูกสั่งสอนยิ่งเฉิงละสายตาและแสร้งทำเป็นกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เขาพูดขึ้นมา
“ท่านเจ้าตระกูลข้าคิดว่าหลิงเอ๋อพูดถูก ชายคนนี้เหมือนกับพวกเรา เขาซ่อนตัวอยู่ที่รอบๆ เขาไม่น่าจะเป็นคนจากต่างโลก แต่เป็นคนในทวีป!”
เขาพูดต่อ
“แต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามียอดฝีมือที่แข็งแกร่งรุ่นราวคราวเดียวกันในทวีปเลยแม้เจ็ดจ้าวแห่งความมืดรุ่นใหม่ก็ไม่มีใครที่แข็งแกร่งไปกว่าท่าน”
คำอธิบายของยิ่งเฉิงดูมีเหตุผลแม้จะมียอดฝีมือมากมายในเฉินหลง แต่ก็ไม่มีกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงอยู่เลย แต่ชายวัยกลางคนก็ส่ายหน้า
“ยังไม่แน่หรอกพวกเราสามคนออกมาทำภารกิจสามเดือนแล้ว พวกเจ้าลืมตำนานของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไปแล้วรึ? พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่กำจัดภูติระดับสามได้เพียงพลิกฝ่ามือ พวกเจ้าไม่รู้เรื่องหยินหยูเลยรึ?”
หยินหยู…แค่สองพยางค์ก็ทำให้วัยรุ่นทั้งสองคนราวกับถูกฟ้าผ่าพวกเขาเริ่มเจียมตัว
“ยะ…อย่าไปนับเขาสิท่าน”
ยิ่งเฉิงตอบอย่างนับถือ
“ถ้าข่าวเป็นเรื่องจริงเขาก็คือตำนานสูงสุดของทวีปเฉินหลง เทียบได้เหมือนกับราชาแห่งความมืดของเรา พวกข้าจะไปเทียบกับคนเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ยิ่งเฉิงเป็นชายหนุ่มที่เป็นภูติระดับสองตามมาตรฐานของเฉินหลงแล้วเขาคือยอดฝีมือสูงสุดของโลกทั้งใบ แต่ถ้าเทียบกับซือหยู เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาผู้ต่ำต้อยเท่านั้น