The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 661-662
DND.659 – คิดแผนไปยอดเขา
“เกิดในยุคเดียวกับชายคนนั้นเป็นโชคร้ายของคนรุ่นหลังจริงๆ”
ยิ่งเฉิงยักไหล่อย่างหมดหวังตราบเท่าที่ซือหยูยังอยู่ในทวีปเฉินหลง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครยืนเหนือกว่าและมีชื่อเสียงขึ้นมา
แต่หลิงเอ๋อที่อยู่ข้างๆกลับบิดปากอย่างเหยียดหยาม
“เจ้านี่มันสิ้นหวังจริงๆ!ไม่มีแม้แต่ใจสู้ ไม่แปลกใจที่เจ้าไม่เหนือกว่าซือหยู เจ้ารู้หรือไม่ว่าซือหยูเพิ่งจะได้เหยียบทวีปเฉินหลงเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นพวกเราเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์กันแล้ว แต่ตอนนั้นเขาเป็นแค่คนที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น แม้แต่สามปีก่อนเราก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขา”
นางถอนหายใจและพูดต่อ
“แต่ซือหยูต่อสู้กับพันธมิตรร้อยดินแดนจนได้เป็นวีรบุรุษเอาชนะเจ้าตำหนักรองทุกเขต ยังสร้างสถานที่ให้กับหวานใจของเขา เขายังเอาชนะยอดฝีมือทุกคนในทวีปเหนือแล้วกลายเป็นยอดฝีมือลำดับหนึ่งของที่นั่น”
นางส่ายหน้า
“และตอนนี้เขากลับมาที่เฉินหลงแล้วเขาเลิกใช้นามราชาปีศาจหิมะทมิฬและแสดงฐานะจริงเป็นซือหยู เขาใช้พลังของตัวเองช่วยพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ให้รอดพ้นวิกฤติมาได้ จากนั้นเขาก็นำพันธมิตรไปคว้าชัยชนะครั้งแรกของทวีป เขากำจัดกึ่งภูติของต่างโลกไปหลายร้อยคน เขายังฆ่ากึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงได้แค่พลิกฝ่ามือ! ด้วยชัยชนะนี้ เขาเลยได้นำดินแดนที่ถูกยึดครองไปกลับคืนมา!”
นางประทับใจซือหยูอย่างมากนางพูดต่อ
“เขาประสบความสำเร็จเพราะความพยายามอย่างหนักชายคนใดที่สำเร็จได้เช่นนี้ล้วนตายตาหลับ เขาไม่ใช่คนอย่างเจ้า เจ้าก็ดีแต่บ่นกับอิจฉาเท่านั้น”
หลิงเอ๋อพูดไม่หยุดเมื่อพวกเขาพูดถึงซือหยูนางพูดโดยไม่ทิ้งช่วงให้ใครได้แทรก ยิ่งเฉิงอับอายมาก เขาพูดอะไรไม่ออก
ชายวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ
“แม่หนูข้าไม่เคยเห็นเจ้าแบบนี้เลย ถึงเราจะทำภารกิจกันอยู่แต่เจ้าก็รู้เรื่องพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ดีเหลือเกิน เจ้ายังทวนอดีตของเขามาไม่ต่ำกว่าสามครั้ง ข้าชักจะเบื่อหูแล้วนะ!”
หลิงเอ๋อหน้าแดงระเรื่อนางจ้องมองเขาอย่างดุร้าย
“ท่านพ่อพูดอะไรน่ะ?ข้าก็แค่ทำหน้าที่ของหน่วยรวบรวมข้อมูล! ข้าก็เลยรู้เรื่องของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มาด้วย!”
ชายวันกลางคนหัวเราะอีกครั้ง
“หึหึข้าไม่ได้พูดว่าเจ้าคิดจะทำอะไรเสียหน่อย เจ้าจะร้อนตัวไปทำไมกัน?”
ยิ่งเฉิงสีหน้ายิ่งซับซ้อนเข้าไปใหญ่เขาที่ทำงานในหน่วยข้อมูลคุ้นเคยกับการอ่านสีหน้าคน เขาพบว่ามีบางอย่างที่แปลกไปในเรื่องที่หลิงเอ๋อได้สืบเรื่องเจ้าพันธมิตรของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อย่างละเอียดเช่นนี้
และเมื่อชายวัยกลางคนพูดถึงเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าหลิงเอ๋ออาจจะตกหลุมรักเจ้าพันธมิตรคนใหม่ ถึงเขาจะอิจฉา แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสิ้นหวัง
เพราะข่าวลือบอกว่ามิเพียงแต่เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะแข็งแกร่งเขายังอายุน้อยและหน้าตาหล่อเหลา และเขาก็ยังมีคุณธรรมและซื่อสัตย์
ดูเหมือนทุกอย่างของเขาสมบูรณ์แบบเขายังนำชัยชนะครั้งแรกมาสู่ทวีป นั่นทำให้ผู้คนเริ่มมีใจสู้ขึ้นมา เขาได้กลายเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปเฉินหลงอย่างไม่ต้องสงสัย
สตรีใดเล่าจะไม่ยอมรับและหลงรักคนเช่นนี้?
“ท่านพ่อถ้ายังพูดไร้สาระต่อไปข้าจะโกรธแล้วนะ”
หลิงเอ๋อพูดกับพ่อด้วยความโกรธขณะที่หน้าแดง
แต่ชายวัยกลางคนก็คิดว่ามันตลกอยู่บ้าง
“ก็ได้ก็ได้ข้าจะไม่พูดอีกแล้ว”
แต้เขาก็ยังพูดอยู่ในใจจะอย่างไรบุรุษในตำนานเช่นนั้นก็คงไม่ได้สัมผัสกับคนอย่างพวกข้า ถึงลูกข้าจะหลงรัก ข้าก็ช่วยอะไรนางไม่ได้อยู่ดี…
“แย่แล้ว!มีคนกำลังมาทางนี้!”
ชายวัยกลางคนอุทาน
หลิงเอ๋อที่กำลังโกรธเห็นคนที่กำลังมาพอดีนางคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้ระบายความโกรธ นางยืนขึ้นและตะโกน
“ข้าจะจัดการมันเอง!”
นางเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วหนึ่งดวงสามารถนับได้ว่านางเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่ด แต่ถึงอย่างนั้นพ่อของนางก็เป็นห่วงนาง เขาตะโกนตามหลัง
“หลิงเอ๋อ…”
แม้ชายวัยกลางคนจะตะโกนให้นางหยุดก็สายไปแล้วเขาทำได้แค่ตามไปด้วยโดยหวังว่าจะปกป้องนางได้บ้าง
ยิ่งเฉิงก็ออกมาด้วยเขาเห็นชายหนุ่มอยู่ตรงหน้า นอกจากใบหน้าที่หล่อกว่าใครแล้ว เขาสวมชุดที่ไร้เครื่องตกแต่ง เขาดูไม่มีอะไรพิเศษเลย
“ท่านพ่อให้ข้าลองดูก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าเขาเป็นคนจากต่างโลกหรือไม่”
หลิงเอ๋อพุ่งไปหาชายคนนั้นทันที
“คลื่นปีแสง!”
หลิงเอ๋อตะโกนพร้อมกับดีดนิ้วดอกบัวสามดอกปรากฏเหนือศีรษะ กลีบของมันพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มพร้อมกัน
ซือหยูไม่มีทางเลือกเขาแค่อยากจะมาทักทายทั้งสามคนก่อนจะหาข้อมูลเรื่องวิธีเข้าไปที่ยอดเขาใหญ่ และถามด้วยว่ามันมีประตูหรือไม่
เขาไม่คิดเลยว่าสาวน้อยจะกระโดดออกมาจู่โจมเขา!และเขาก็รู้ดีว่านี่เป็นความเข้าใจผิด ซือหยูจะไม่ทำให้นางบาดเจ็บ!
“วิชาวารีรึ?”
ซือหยูบอกได้เลยว่าพลังของมันยังอ่อนไปถ้าเทียบกับเซี่ยจิงหยูที่เชี่ยวชาญวิชาวารี
“ไม่เลว…”
ซือหยูหัวเราะเขาจงใจกดฐานพลังของตัวเองและปล่อยพลังชีวิตเทียบเท่ากับกึ่งภูติที่มีแก้วดวงเดียว เขาเปลี่ยนพลังเป็นเกราะป้องกันตัว
แพละ!
เมื่อกลีบดอกบัวปะทะกับโล่เสียงสะท้อนดังขึ้นพร้อมกับโล่ที่ระเบิด พวกมันกลายเป็นหยดพิรุณนับไม่ถ้วนลอยกลับมาที่นาง นางตกใจที่ซือหยูป้องกันกระบวนท่าของนางได้ง่ายๆ
ดวงตาของนางดูเจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้น
“วิชาวารีของข้าไม่ได้อ่อนแอแบบนั้นหรอก!”
เอ๋?ซือหยูแอบแปลกใจกับคำพูดของนาง
ในตอนนั้นเองเส้นไหมที่มองไม่เห็นด้วยตาเปลบ่าได้ปรากฏจากกลีบบุพผาที่ฉีกขาด เส้นไหมเหล่านั้นเกิดจากหยดพิรุณ เขาเข้าใจแล้วว่าหยดพิรุณนี้เพียงใช้หลอกผู้คน พลังที่แท้จริงคือเส้นไหม!
เส้นไหมได้กลายเป็นแหขนาดใหญ่กว่าซือหยูจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว แหได้กักขังเขาไว้ภายใน! ซือหยูถูกจับตัวในทันที!
หลิงเอ๋อบินไปที่เขาและหยิบเอากระบี่มรกตออกมาจากเอวมาจ่อคอซือหยูนางพูดอย่างภูมิใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้ามันก็แค่เด็กน้อยที่คิดจะหลอกผู้คนให้กลัว!เจ้ามีพลังแค่นั้นแต่ก็กล้ามาที่นี่เพื่อหลอกข้ารึ!”
ซือหยูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ในตอนนี้นั่นก็เพราะแหพลังชีวิตที่นางสร้างนั้นจะถูกทำลายเมื่อใดก็ได้ที่เขาต้องการ แต่เขาไม่อยากจะให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิด เขาจึงยอมถูกจับตัว
ทั้งอย่างนั้นซือหยูก็สับสนกับคำพูดของหญิงสาวตัวเล็ก
ข้าน่ะรึพยายามจะไปหลอกพวกเขา?พวกเขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายซ่อนตัว! ทั้งยังมาลอบโจมตีซือหยูอีก!
“ท่านหัวหน้าหน่วยเป็นอะไรหรือไม่?”
ยิ่งเฉิงผ่อนคลายขึ้นเมื่อเห็นว่าซือหยูถูกหลิงเอ๋อจับอย่างง่ายดาย
ในตอนนั้นชายวัยกลางคนถือเข็มทิศสีขาวในมือ เข็มทิศเปล่งแสงสีเลือด
“มันตอบสนองเขาเป็นคนของโลกเรา หลิงเอ๋อ ปล่อยเขา”
หลิงเอ๋อจับแหเส้นไหมเก็บกลับคืน
“เจ้าหนูเจ้าควรจะบ่มเพาะพลังให้ดีเพื่อให้แข็งแกร่ง ทวีปกำลังวุ่นวาย ยิ่งเจ้าอ่อนแอเท่าใดก็ยิ่งจะถูกส่งไปยมโลกเร็วขึ้นเท่านั้น!”
ซือหยูประสานหมัดและยิ้มเบาๆ
“แม่นางข้าจะจำให้ขึ้นใจ”
หลิงเอ๋อกลอกตา
“ยังมีหน้ามายิ้มให้ข้าอีก!เจ้าคนไร้กระดูกสันหลัง”
หลิงเอ๋อหันกลับไปและไม่สนใจเขาอีก
“น้องชายหวังว่าคงจะอภัยให้พวกเราที่ทำกับเจ้าอย่างนั้น”
ชายวัยกลางคนประสานหมัดขอโทษเขาดูอ่อนโยนและใจดี
“ไม่เป็นไรหรอก”
ซือหยูโบกมือและยิ้ม
ชายวัยกลางคนถามต่อ
“น้องชายเจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ? มีกองทัพจากต่างโลกอยู่ตรงหน้าพวกเรา ถ้าเจ้าถูกเจอตัวและถูกคิดว่าเป็นคนอาณาจักรทมิฬ เจ้าจะแย่เอาได้ สามปีที่ผ่านมา คนอาณาจักรทมิฬทั้งหมดที่ตกไปอยู่ในมือพวกมันล้วนถูกการไตร่สวนทรมานจนตาย”
ฟังจากคำพูดของเขาดูเหมือนว่าคนจากต่างโลกอยากจะรู้วิธีเข้าสู่อาณาจักรทมิฬ พวกเขาจึงต้องถามกับคนข้างในด้วยการทรมาน ซือหยูตาเป็นประกายเมื่อรู้ความจริง
ถ้าหากคนผู้นี้รู้เรื่องอาณาจักรทมิฬเขาก็ควรจะเป็นคนที่นี่แน่นอน ถ้าเขาซ่อนตัวที่นี่ก็หมายความว่าเขาอยากจะกลับสู่อาณาจักร ถ้าซือหยูตามไป เขาก็จะได้เข้าสู่ยอดเขานั้นอย่างไม่ยากเย็น!
“ข้าบินหนีมาจากพันธมิตรร้อยดินแดนของทวีปเหนือข้ามาที่นี่เพื่อหาที่หลบภัยจากญาติของข้า ข้าไม่คิดว่าอาณาจักรทมิฬจะย่ำแย่เช่นนี้”
ซือหยูรีบแต่งเรื่อง
ชายวัยกลางคนถอนหายใจ
“เจ้าหนีมาที่นี่จากร้อยดินแดนรึ?ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ว่าที่นี่อันตรายแค่ไหน”
แม้เขาจะพูดแบบนั้นแต่จากแววตานั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อเรื่องของซือหยูเลย
“น้องชายเจ้าควรจะรีบหนีไปจากที่นี่ ที่นี่อันตรายมาก”
ชายวัยกลางคนประสานหมัดให้ซือหยูและบอกลาเขากลับไปหาหลิงเอ๋อและยิ่งเฉิง
ซือหยูคิดในใจ…
เขาระวังตัวกับข้านักเป็นคนที่รอบคอบมาก! ขนาดข้ากดฐานพลังและปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอเพื่อไม่ให้ดูเป็นภัยแล้วนะ…
ซือหยูมองทั้งสามและเริ่มคิดหาทางสานสัมพันธ์หรือไม่ก็สร้างพันธมิตร
หลังจากที่ชายวัยกลางคนกับอีกสองคนเดินไปหกลี้ดวงตาของยิ่งเฉิงก็ลุกวาวขึ้นมา
“ท่านหัวหน้าดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นอยากจะตามเราไปที่อาณาจักรทมิฬนะ”
หลิงเอ๋อกระพริบตาตอบ
“ไอ้เด็กนั่นคิดไม่ดีอยู่แน่!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ
“ข้าก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันถึงเขาจะรู้ไร้พิษภัย ถ้าเราประมาทพาเขาเข้าไปอาณาจักร และถ้าหากเขาเป็นสายลับจากต่างโลก นั่นก็จะเป็นเรื่องใหญ่หลวงเชียวล่ะ”
ยิ่งเฉิงคิดแบบเดียวกัน
“มีคนมากนักที่ถูกพวกต่างโลกติดสินบนระวังเรื่องพวกนั้นให้มากที่สุดจะดีกว่า”
ทุกคนคิดแบบเดียวกันว่าควรจะเลี่ยงซือหยู
“เดี๋ยวก่อนหยุดเดินเดี๋ยวนี้…”
ชายวัยกลางคนหยุดลงสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
ในตอนนั้นมีกลิ่นแปลกๆเข้ามาในจมูก หลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงสะบัดมือไล่กลิ่นออกไป ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหายใจเอาอะไรที่พิเศษเข้าไปแล้ว
“แย่ละ!เราถูกเจอตัวแล้ว พวกมันกำลังมา! เราต้องหนี!”
ชายวันกลางคนรีบตัดสินใจและหันหนี
สีหน้าของหลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงเปลี่ยนไปมากพวกเขาที่ทำงานเกี่ยวกับข่าวนั้นคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี พวกเขาจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทั้งสามบินไปในที่ที่ซือหยูอยู่พอดิบพอดี…
“ยิ่งเฉิงเอาเขาไปกับเจ้าด้วย…”
ชายวัยกลางคนตะโกน
แม้ยิ่งเฉิงจะไม่พอใจกับคำสั่งเพราะมันจะทำให้เขาช้าลงแต่เมื่อหัวหน้าหน่วยสั่ง เขาก็ต้องทำตาม เขาจับไหล่ของซือหยูเอาไว้
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่าขยับ”
ซือหยูมองรอบๆและเห็นว่ามีกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงสองคนกับกึ่งภูติที่มีแก้วสองดวงเจ็ดคนกำลังไล่ตามทั้งสามคนมา!เขาไม่ขันขืนยิ่งเฉิงและปล่อยให้ตัวเองถูกพาไป
DND.660 – เผยฐานะ
แม้จะมีฐานพลังไม่มากพวกเขาก็ยังได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ความเร็วของพวกเขาเหนือกว่าคนที่มีพลังระดับเดียวกัน
เพียงพริบตาซือหยูก็หนีออกมาจากได้หลายร้อยลี้พวกคนที่ไล่ตามมิอาจตามทัน พวกเขาร่อนลงมาที่ลำธาร
“หยุดตรงนี้แหละเราน่าจะปลอดภัยแล้ว”
ชายวัยกลางคนพักอยู่ริมธาร
เฮ้อ
หลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงถอนหายใจทั้งคู่เหนื่อยอยู่บ้าง พวกเขาใช้พลังไปเยอะเพราะต้องหนีอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกต่างโลกถึงหาเราเจอ? พวกเราทิ้งร่องรอยเอาไว้รึ?”
หลิงเอ๋อถามด้วยความสับสน
ศัตรูตามมาถึงพวกเขาอย่างแม่นยำนั่นแสดงว่าศัตรูจะต้องรู้ตำแหน่งที่แน่นอน ถ้าหากไม่ใช่เพราะสัมผัสที่ดีพวกเขาก็คงจะแย่ไปแล้ว
ชายวัยกลางคนคิดหนักเขาไม่ได้ตอบอะไรนาง
แต่ยิ่งเฉิงก็พูดขึ้นมา
“ยังจะต้องถามอีกรึ?เราซ่อนตัวมาดีแล้ว พวกมันจะเจอตัวพวกเราได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนแปลกๆที่ยืนอยู่บนยอดเขานั่นก็ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว”
ยิ่งเฉิงพูดและมองไปทางซือหยูหลิงเอ๋อรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและจ้องมองซือหยู
“ข้าก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นมันเป็นเพราะเจ้า!”
ซือหยูยืนเหนือยอดเขาโดยไม่คิดจะซ่อนตัวแม้เขาจะอยู่ไกล มันก็ยากที่จะแน่ใจว่าศัตรูจะไม่มีวิชาเนตรที่จะมองเห็นได้ เป็นไปได้ว่าพลังของซือหยูจะทำให้พวกเขาถูกพบอีก
ซือหยูไม่พยายามจะซ่อนตัวอย่างที่พวกเขาทำแต่ซือหยูนั้นมีพลังที่กลืนไปกับธรรมชาติทำให้เขากลมกลืนกับสิ่งรอบข้างอยู่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปล่อยพลังใดออกมาถึงคนจากต่างโลกจะมองมาทางเขา พวกมันก็จะเห็นเพียงภาพท้องฟ้าและมองไม่เห็นเขา
นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเขาไม่สัมผัสถึงพลังของซือหยูแม้ว่าจะอยู่ใกล้ก็ตามทีเรื่องที่ถูกเจอตัวจึงไม่ใช่เพราะซือหยูอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่เขาหรอก”
ชายวัยกลางคนตอบ
“ด้วยพลังแบบนั้นแม้แต่พวกเราก็สัมผัสเขาไม่ได้เมื่ออยู่ใกล้ พวกศัตรูจากหลายร้อยลี้จะมองเห็นได้ยังไง? เรานี่แหละที่ทำตัวเอง แล้วเราก็ทำให้ชายคนนั้นต้องเจอศัตรูด้วย”
เขาประสานหมัด
“ขออภัยหนุ่มน้อยที่สร้างปัญหาให้เจ้าข้าว่าเส้นทางของพวกข้าถูกศัตรูพบแล้วล่ะ”
หลิงเอ๋อมองซือหยูด้วยความสงสัยนางมิอาจเชื่อว่าคนฝั่งนางจะถูกศัตรูเจอตัว
“ท่านหัวหน้าเรากำลังทำภารกิจลับของตำหนักเจ็ดจ้าว มีแค่เจ็ดจ้าวที่รู้ร่องรอยทุกอย่างของเรา ต่อให้มีสายลับในอาณาจักรทมิฬ มันก็ไม่ควรจะรู้ตำแหน่งที่แน่ชัด หรือว่าจะมีสายลับในตำหนักเจ็ดจ้าว? ข้าว่าปัญหาใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือชายคนนั้น!”
ยิ่งเฉิงพูดขณะหรี่ตาจ้องมองซือหยูเขาไม่ซ่อนความสงสัยของเขาเลย
ซือหยูยักไหล่เมื่อเห็นแววตาสงสัยสองคู่เขามองรอบๆและเลิกคิ้ว
“ข้าว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดแล้วล่ะว่าข้าเป็นสายลับหรือไม่”
“ฮื่มอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เจ้านั่นแหละสายลับ!”
ยิ่งเฉิงดูเหมือนจะรู้ความตั้งใจของซือหยูเขาคว้ากระบี่ที่เอว จิตสังหารแผ่ออกมา
“หยุดนะ!”
ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นมาเขาไม่พอใจอย่างมาก
“เขาพูดถูกเราไม่มีเวลาแล้ว เรากำลังถูกล้อม!”
“ถูกล้อมรึ?ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลิงเอ๋อถามด้วยตระหนกนางกับยิ่งเฉิงตกใจมาก ทั้งคู่สงสัย…
ศัตรูจะตามทันพวกเรามาเร็วขนาดนี้ได้ยังไงแล้วยังล้อมพวกเราอีกรึ?
ทั้งสองใช้วิชาสัมผัสและได้กลิ่นแปลกๆมากมายแค่ไม่นานสีหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป
“แย่แล้วเราถูกล้อมจริงๆ มีอย่างน้อยสามสิบคนที่ล้อมพวกเราอยู่ พวกมันเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงสองคน! นี่…นี่มันกับดักที่วางไว้ล่วงหน้า!”
ยิ่งเฉิงชักสีหน้า
ความสงสัยในซือหยูของเขาหายไปเลยเพราะการลอบโจมตีแบบนี้ต้องเตรียมการล่วงหน้า และซือหยูก็เพิ่งจะพบพวกเขาเมื่อครู่นี้เอง
“หยุดพูดได้แล้วพาเขาหนีไปเร็ว!”
ชายวัยกลางคนสั่งด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ยิ่งเฉิงดูไม่มั่นใจ
“ท่านหัวหน้าเราแทบจะปกป้องตัวเองไม่ได้ ถ้าเอาเขาไปด้วย…”
หลิงเอ๋อลังเลเช่นกันนางกังวลว่าพวกนางไม่มีพลังที่จะปกป้องคนอีกคน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับศัตรูมากมายเช่นนี้
“หุบปากเราทำให้เขาต้องมาเจอเรื่องนี้ เราจะทิ้งเขาไว้คนเดียวได้ยังไง? พาเขาไปกับเจ้าแล้วหนีเดี๋ยวนี้!”
ชายวัยกลางคนพูดปลายเท้าของเขาแตะพื้นและบินขึ้นทันที
ยิ่งเฉิงกัดฟันแน่นและจ้องมองซือหยูโดยข่มความชิงชังเอาไว้
“ข้าจะพูดตรงๆกับเจ้าถ้าเจ้ามาถ่วงข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนั้นเลย!”
เขาพูดจบและคว้าไหล่ซือหยูพุ่งตามชายวัยกลางคนไปแต่เมื่อบินไได้พริบตาเดียวพวกเขาก็เห็นร่างคนอยู่ใกล้ๆกับก้อนเมฆ
กับดักของศัตรูจัดแจงมาอย่างดีราวกับว่าศัตรูคำนวนตำแหน่งได้แน่ชัดพวกเขาถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา
โชคดีที่ทั้งสามโดยเฉพาะชายวัยกลางคนนั้นมีวิชาสัมผัสที่แข็งแกร่งดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าจุดอ่อนที่ศัตรูมีน้อยอยู่ที่ใด
ในตอนนั้นกึ่งภูติสามคนที่มีแก้วสองดวงเข้ามาขวางพวกเขา หัวหน้าหน่วยนั้นมีพลังเทียบเท่ากึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง พวกเขาจะทะลวงวงล้อมไปได้ง่ายๆ!
“หลีกไปซะ!”
ชายวัยกลางคนตะโกนเสียงดังเสียงนั้นทำให้ร่างของศัตรูชาจนขยับไม่ได้ มันคือวิชาคลื่นเสียง!
เมฆาหนากระจายไปเผยให้เห็นคนสามคนที่อยู่ภายในทั้งสามหยุดนิ่งด้วยผลของวิชาคลื่นเสียง
“ตอนนี้แหละ!”
ชายวัยกลางคนตะโกนขณะที่นำพวกซือหยูฝ่าวงล้อมไปยังขอบนภา
ซูม
จากนั้นชายหนุ่มสวมชุดขาวที่ล้อมวงก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ
“พวกมันหนีไปแล้ว!เกิดอะไรขึ้น? พวกมันรู้ตัวได้ยังไง? เราทำอะไรพลาดงั้นรึ?”
“นายท่านข้ามีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่”
ลูกน้องของเขาดูสับสน
“พูดมา”
ชายชุดขาวตอบด้วยความโกรธ
“นายท่านข้าไม่แน่ใจว่าท่านมองเห็นชายหนุ่มผมสีเงินหรือไม่…”
“ผมสีเงินรึ?คนไหนล่ะ?”
ชายชุดขาวขมวดคิ้วเขาเพียงแค่สนใจกับคนที่ถือข่าวสามคน เขาไม่ได้สนใจกับชายผมสีเงินนัก
ลูกน้องของพยายามอ่านสีหน้าและพูดอย่างไม่มั่นใจ
“ข้าไม่รู้ว่าเดาถูกหรือไม่แต่ข้าคิดว่าคนผมสีเงินนั่นดูเหมือนกับที่ข้าเคยได้ยิน เขาดูเหมือนซือหยูจากเฉินหลง คนที่ทหารเงาทมิฬจากเขตกลางทุกคนของเราพูดถึง”
“อืมผมสีเงินแบบเดียวกัน อายุเท่ากัน รูปลักษณ์ยังเหมือนกันอีก แต่ชายผู้นั้นไม่ต่างอะไรกับจ้าวเทวะ ทำไมจะต้องมายุ่งกับคนธรรมดาสามคนนี้ด้วยเลบ่า?”
ชายชุดขาวสีหน้าเปลี่ยนไปความร้อนรนเปลี่ยนเป็นความกังวล
แม้ว่าคนพูดจะพูดอย่างไม่ชัดเจนแต่คนฟังกลับเปลี่ยนไป เมื่อนามของซือหยูถูกเอ่ยออกมา เหล่าคนจากต่างโลกเริ่มมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป